รีวิวภาคต่อจาก ย้อนเวลา -พาหัวใจไป ล า ว กันเถอะ ,2014
http://ppantip.com/topic/33577674
17 พค 2014
สบายไม่สบายก็จะไปให้ถึง-หลวงพระบาง
ลาล่ะหนอ วังเวียง~~
ต่อไปคือ ห ล ว ง พ ร ะ บ า ง ค่ะ
เราไม่คาดหวังอะไรกับการเดินทางมากนัก แต่ได้ยินชื่อว่า หลวงพระบาง แล้วก็ทำให้เราตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
รู้ว่าเป็นเมืองมรดกโลก รู้ว่าคุณพี่อนันดามาตกหลุมรักสาวลาวที่นี่(ในภาพยนตร์เรื่องสะบายดีหลวงพระบาง)
รู้ว่าเป็นเมืองเก่าที่เขาอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เราจึงรู้สึกดีค่ะที่จะได้พาตัวเองไปเยือนสักทีนะ ไม่ต้องมานั่งมโนแล้ว ฮา...
แปดโมงเช้า เราอยู่บนรถตู้ที่จะพาเราไปหลวงพระบาง เป็นเช้าที่ฝนตกลงมาเล็กน้อยพอให้ชื้นๆและอากาศเย็น ตกหยุดสลับกัน
ก่อนขึ้นรถเพื่อนเกือบลืมกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ดีที่นึกได้เลยวิ่งกลับไปเอาทันก่อนรถจะออกสำหรับใครที่ไปเที่ยวเรื่องของหายนี่แย่แล้ว
แต่ถ้าลืมเองนี่คงไม่ให้อภัยตัวเองตลอดทริป..
เราบอกลาวังเวียงไปด้วยบรรยากาศของม่านหมอกที่ลอยสัมผัสทิวเขา พร้อมฝนโปรยปราย
เป็นภาพสุดท้ายของวังเวียงที่เราเลือกจดจำ
ในตอนแรกรถตู้ที่เรานั่งมีแค่เราสี่คนกับคนขับที่น่าจะเป็นชาวเกาหลีสองคนค่ะ
แต่หลังจากนั้นระหว่างทางก็มีชาวต่างชาติขึ้นมานั่งด้วย เป็นผู้ชายที่มาด้วยกันสองคน แล้วก็ที่มาคนเดียวอีกคนหนึ่ง
เราออกจากวังเวียงโดยที่ที่นั่งข้างเพื่อนเรายังเหลือที่ว่างอยู่1ที่ คิดว่าจะไม่มีใครขึ้นมาแล้ว แต่แล้วก็มีค่ะ
คนที่มานั่งข้างเพื่อนเราเป็นชาวสเปนค่ะ ที่เรารู้ก็เพราะว่าได้ยินเขาพูดอังกฤษกับผู้โดยสารที่มาคนเดียวในรถ
แล้วเขาคงรู้สำเนียงกัน เลยเปลี่ยนไปพูดภาษาสเปนกันเลยค่ะ
ในรถตู้ไปหลวงพระบางของเราโดยสรุปจึงมี
พี่ผู้ชายสองคนที่พูดอังกฤษ-ชายมีอายุหน่อยสองคนที่พูดสเปน-ชายท่าทางเนิร์ดๆหนึ่งคนชาวญี่ปุ่น-เราสาวไทยสี่หัวใจ
-พี่ผู้หญิงคนลาวที่นั่งอยู่ด้านหน้ากับคนขับ-คนขับรถสองคนที่เป็นคนเกาหลีแต่พูดลาวกับพี่ผู้หญิงคนนั้นได้
เรานั่งอยู่ในรถโดยที่ชมวิวภูเขาสูงใหญ่สีเขียวสดไปพร้อมกับฝนโปรยปราย เคล้าเสียงสนทนาภาษาสเปนที่ค่อนข้างออกรสไปตลอดทาง
แต่คงจะออกรสเกินไป เพราะพอขับรถไปได้สักพัก พี่คนขับที่เป็นชาวเกาหลีก็เปิดเพลงที่เราได้ยินว่าเป็นภาษาใต้
เพลงของบ่าววี เราค้นพบทีหลังว่าคือเพลงทุกหยาดเหงื่อเพื่อเธอ
..รั่กแล้ววววว~รั่กเลย หน้องเอ๋ยใจเย็นเย็น~
เราจึงทำใจเย็นตามเนื้อเพลงค่ะ แล้วพี่คนขับก็จะเพิ่มเสียงเพลงขึ้นตอนที่บทสนทนาดังขึ้นไปอย่างนี้ตลอดทาง
เรากับเพื่อนจึงเดาได้ว่า มันเป็นการกระทำที่คนขับต้องการจะสื่อว่า
..คุยกันเบาๆหน่อย ไม่มีสมาธิขับรถเลยเนี่ย
แต่คุณพี่ชาวสเปนก็ไม่ได้สนใจอะไรค่ะ ถ้าเพลงบ่าววีดังมากขึ้นเขาก็จะพูดดังขึ้นอีกไปอย่างนั้น
เราที่นั่งเงียบๆฟังพร้อมกับสายตาที่มองแต่ทิวทัศน์เขียวครึ้มข้างทางเป็นส่วนใหญ่
คิดเอาเล่นๆว่า ตกลงนี่เราอยู่ลาว หรืออยู่ที่ไหน?
การอยู่บนรถที่ได้ยินภาษาสเปน อังกฤษ ลาว ร่วมไปด้วยกับเสียงเพลงบ่าววีของคนขับชาวเกาหลี
ทำให้เรารู้สึกว่าพิกัดของเราตอนนี้คือที่ไหนกันแน่ มันวาไรตี้มาก
ภายหลังเราให้ชื่อรถตู้ไปหลวงพระบางคันนี้กันว่า International Mini Van
ระหว่างทางจากวังเวียงไปหลวงพระบางนี้ค่อนข้างหวาดเสียวค่ะ
เพราะรถตู้ต้องขับขึ้นเขา รถจะเลี้ยวโค้งไปตามทางของภูเขาตลอดเวลา
วนไต่สูงขึ้นไปจนเราเห็นเวิ้งภูเขาลูกต่ำกว่าอยู่ด้านล้าง และโค้งวนลงเขาไปเรื่อยๆอย่างนี้ลูกแล้วลูกเล่าโดยไม่มีทางตรงยาวๆเลยค่ะ
ทำเอาเราหูอื้อกันเลยทีเดียว เพื่อนเราข้างๆที่หลับไปทั้งๆที่มีภาษาสเปนรัวกรอกหูนี่นอนเอียงซ้ายขวาตามรถเป็นที่ปัดน้ำฝนเลยทีเดียว
เราที่ไม่หลับก็ลุ้นไปตลอดทางค่ะ อากาศเย็นกับทิวเขาสูงใหญ่อุดมสมบูรณ์นี่สวยงามมากๆให้อารมณ์สี่หัวใจแห่งขุนเขา
แต่การที่ฝนยังตกไปตลอดทางที่รถต้องไต่วนตามเขาสูงแบบนี้ก็ทำให้เราหวั่นเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ธรรมชาติตามทางที่รถขับผ่านก็ดึงดูดใจ และทำให้เราแทบลืมความกลัวใดใดไปเลย
และเราก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจาก เชื่อมั่นในคนขับที่ยังฟังเพลงบ่าววีไปอย่างใจเย็นและขับได้ค่อนข้างดี
และก็คิดว่าเราจะไม่โชคร้าย..
นั่งรถโค้งไปโค้งมาขึ้นลงเขาจนถึงเวลาเที่ยง ฝนก็ยังไม่หยุดตก
แต่พี่คนขับจอดให้เราพักแวะเข้าห้องน้ำ และกินอะไรกันในที่ที่เป็นเหมือนร้านอาหารบนเขาเลยค่ะ
เราลงจากรถไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นและวิวธรรมชาติที่โอบล้อม ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกไกลเท่าไหร่จะถึงหลวงพระบาง
ในกำหนดบอกว่าเราน่าจะถึงประมาณบ่ายสี่โมง เราไม่เครียดเรื่องเวลานัก ขอแค่อย่าค่ำมืดอยู่บนเขาที่แม้จะแสนสวยนี้ก็เป็นพอ
หลังจากปล่อยใจขึ้นลงไปกับภูเขา
…แล้วเราถึง! หลวงพระบาง อางงๆ~
ในเวลาประมาณบ่ายสามโมงค่ะ ฝนยังคงไม่หยุดตก แต่แค่ปรอยๆเท่านั้น
International Mini Van ของเราจอดลงที่สถานีคล้ายบขส.ของบ้านเรา ไกลจากในเมืองที่เราจะไปเล็กน้อย
เราลาคนขับชาวเกาหลีด้วยภาษาลาว บ๊ายบายคนสเปนเป็นอังกฤษ ยิ้มให้ผู้ชายกล้ามใหญ่สองคนนิดหน่อย
แล้วก็เรียกรถสองแถวเข้าเมืองไปยังGuest Houseที่เราคิดไว้ว่าจะไปพักค่ะ
ในขณะที่เรานั่งรถก็มีคนเดินไปเองด้วยนะ แต่มันไกลพอสมควรเราที่แบกของพะรุงพะรัง กับความเหนื่อยล้าจากโค้งของภูเขา
จึงคิดว่านั่งรถดีกว่า..
เราเข้าไปถามห้องพักที่ Mekong Moon Inn ค่ะ อยู่ไม่ไกลจากถนนแถบริมแม่น้ำโขง
Guest Houseนี้มีห้องไม่เยอะมาก โชคดีที่เราไปแล้วยังเหลือห้องพักอยู่
เก็บของเสร็จเราก็ออกมาเดินตามทางในหลวงพระบางค่ะ แล้วฝนก็หยุดตกพอดีแต่ถนนยังเปียกชื้น
เราหิวกันมากแต่เดินหาไปตามทางไม่มีร้านอาหารเลยในเวลาที่ฝนเพิ่งหยุดตกแบบนี้
มีอยู่ร้านเดียวที่เราพบที่อยู่ริมแม่น้ำโขงพอดี
ในตอนแรกเรากลัวว่าจะแพงหรือเปล่า เพราะร้านตกแต่งค่อนข้างดี มีพนักงานแต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มของเขา
แต่ด้วยความที่หิวและมีร้านเดียวให้เลือกแล้ว เราจึงเข้าไปค่ะ..
สั่งอาหารจานเดียวกันแบบง่ายๆ แต่ราคา100บาทขึ้นไปทั้งนั้นค่ะ
รสชาติอาหารก็ไม่ต้องพูดถึง..ไม่ต้องไปพูดถึงจริงๆค่ะ ผ่านไปดีกว่า ฮา
จากนั้นพออิ่มท้องก็ออกเดินอีกครั้งค่ะ เป็นช่วงเย็นแล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อสำรวจพื้นที่
ทางเดินจากริมแม่น้ำโขงขึ้นมาเป็นทางชัน
ถนนและซอกซอยในหลวงพระบางเป็นแบบต้องเดินไปตามเนิน เราก็เดินไป ดูวัดต่างๆที่มีให้เห็น
บ้านเรือนของคนที่เขายังรักษาความคลาสสิคไว้จริงๆ
บ้านคนหลวงพระบางเป็นสไตล์แบบเก่าก่อนที่เราไม่รู้ว่าเรียกว่าแบบไหน
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้ ทาสีสวยๆ ส่วนใหญ่เป็นสองชั้น ตั้งเรียงรายสลับกันกับโรงแรมสำหรับผู้มาเยือนไปตามเนินถนนค่ะ
เดินเข้าตามตรอกซอกซอยจึงมาพบกับ Guest House ของคุณลุงท่านหนึ่ง
เราได้ทำการทักทายและพูดคุยกันอยู่สักครู่นึง
ก็ค้นพบว่า คุณลุงเคยไปเรียนที่ประเทศไทย มิหนำซ้ำยังเรียนในสถาบันเดียวกับเพื่อนๆของพวกเราด้วย
เป็นเรื่องบังเอิญจริง พี่น้องร่วมสถาบันจึงได้ทำการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้ซักหน่อย
ใกล้ๆกัน เราก็เจอ art wall Laos2013อีกด้วย
บังเอิญมีแม่ลูกอยู่ ด้วยความเป็นมิตรเราคุยกับทุกคน คุยไม่พอ เรายังไม่อุ้มลูกเขามาอีก..
มีร้านขายของ น้ำหวานวางเรียงรายให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเหนื่อยๆอย่างพวกได้ลองชิม
ขนมเค้กตั้งขายริมทางเดิน รวมไปถึงมีมาม่าจากบ้านเราด้วย
เดินไปเรื่อยเข้านู้นออกนี้ ก็ไปเจอร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด พวกเราเลยเล็งไว้และต้องมาโดนให้ได้!!
ยังไม่เท่านั้น เราก็ยังคงเดิน แล้วก็เดินไปสำรวจอีกเส้นทางหนึ่ง
พบที่ทำการไปรษณีย์ของลาว อยู่ในมุมที่คิดว่ามีแต่ป่า
ร้านขนมชื่อดังที่เห็นเขาว่าใครๆมาก็ต้องกิน ร้านโจมา (Joma)
ไม่เท่านั้น มีวุฒิศักดิ์เวอร์ชั่นลาวด้วยนะ
…หลวงพระบางเงียบกว่าวังเวียงมาก เงียบสงบจนพูดมากๆอย่างพวกเรายังต้องเกรงใจ….
เราเดินไปเรื่อยๆจนพระอาทิตย์ตกดิน ไปนั่งที่เก้าอี้ยาวใน Night Market ของหลวงพระบางค่ะ
ตลาดตั้งแผงประมาณห้าโมงกว่าๆ เรียงเป็นแนวยาวบนถนนสีสว่าง ตัดยาวผ่านบริเวณทางขึ้นไปบนพูสี
เรานั่งเม้ากันสักพัก ก็ออกเดินดูของที่ตลาดค่ะ
มีของที่ระลึกขายทั่วๆไป คล้ายๆของในสถานที่ท่องเที่ยวที่เราพบได้อยู่บ่อยๆ
นั่งดื่มด่ำบรรยากาศแบบ s l o w l i f e ของคนหลวงพระบางอยู่พักนึง
ใจก็เรียกร้องความหวานในร่างกาย
เอาล่ะ วันนี้เราไปลุยขนมหวานที่ร้านโจมา (Joma) ที่เราเดินสำรวจเจอกันแล้วดีกว่า
บรรยากาศร้านก็ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีโซนทั้งด้านในและด้านนอก
พวกเราเข้าไปสั่งเค้กมะพร้าว กับพายแอปเปิ้ลมากินกัน
รสชาติถือว่าอร่อยดี เป็นฟิวคนมานั่งทำงาน มานั่งพูดคุยกัน
จนเรากินขนมเค้กหมด เรายังไม่อยากกลับที่พัก ก็ออกมานั่งด้านนอกเพื่อมองบรรยากาศของเมืองหลวงพระบางอีกครั้ง
รวมไปถึงวางแผนการเดินทางในพรุ่งนี้ และสรุปค่าใช้จ่ายประจำวันกัน
--------
หลวงพระบางอีกวัน เราจะไปที่ ตาดกวางสี กันค่ะ
รวมถึงเราได้รู้เรื่องหวย หมู่บ้านม้ง และอื่นๆ
ไว้จะมาเล่าต่อนะคะ
[CR] **ย้อนเวลา -พาหัวใจไป ล า ว ภาค2 (หลวงพระบาง) ,2014
รีวิวภาคต่อจาก ย้อนเวลา -พาหัวใจไป ล า ว กันเถอะ ,2014
http://ppantip.com/topic/33577674
17 พค 2014
สบายไม่สบายก็จะไปให้ถึง-หลวงพระบาง
ลาล่ะหนอ วังเวียง~~
ต่อไปคือ ห ล ว ง พ ร ะ บ า ง ค่ะ
เราไม่คาดหวังอะไรกับการเดินทางมากนัก แต่ได้ยินชื่อว่า หลวงพระบาง แล้วก็ทำให้เราตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
รู้ว่าเป็นเมืองมรดกโลก รู้ว่าคุณพี่อนันดามาตกหลุมรักสาวลาวที่นี่(ในภาพยนตร์เรื่องสะบายดีหลวงพระบาง)
รู้ว่าเป็นเมืองเก่าที่เขาอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เราจึงรู้สึกดีค่ะที่จะได้พาตัวเองไปเยือนสักทีนะ ไม่ต้องมานั่งมโนแล้ว ฮา...
แปดโมงเช้า เราอยู่บนรถตู้ที่จะพาเราไปหลวงพระบาง เป็นเช้าที่ฝนตกลงมาเล็กน้อยพอให้ชื้นๆและอากาศเย็น ตกหยุดสลับกัน
ก่อนขึ้นรถเพื่อนเกือบลืมกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ดีที่นึกได้เลยวิ่งกลับไปเอาทันก่อนรถจะออกสำหรับใครที่ไปเที่ยวเรื่องของหายนี่แย่แล้ว
แต่ถ้าลืมเองนี่คงไม่ให้อภัยตัวเองตลอดทริป..
เราบอกลาวังเวียงไปด้วยบรรยากาศของม่านหมอกที่ลอยสัมผัสทิวเขา พร้อมฝนโปรยปราย
เป็นภาพสุดท้ายของวังเวียงที่เราเลือกจดจำ
ในตอนแรกรถตู้ที่เรานั่งมีแค่เราสี่คนกับคนขับที่น่าจะเป็นชาวเกาหลีสองคนค่ะ
แต่หลังจากนั้นระหว่างทางก็มีชาวต่างชาติขึ้นมานั่งด้วย เป็นผู้ชายที่มาด้วยกันสองคน แล้วก็ที่มาคนเดียวอีกคนหนึ่ง
เราออกจากวังเวียงโดยที่ที่นั่งข้างเพื่อนเรายังเหลือที่ว่างอยู่1ที่ คิดว่าจะไม่มีใครขึ้นมาแล้ว แต่แล้วก็มีค่ะ
คนที่มานั่งข้างเพื่อนเราเป็นชาวสเปนค่ะ ที่เรารู้ก็เพราะว่าได้ยินเขาพูดอังกฤษกับผู้โดยสารที่มาคนเดียวในรถ
แล้วเขาคงรู้สำเนียงกัน เลยเปลี่ยนไปพูดภาษาสเปนกันเลยค่ะ
ในรถตู้ไปหลวงพระบางของเราโดยสรุปจึงมี
พี่ผู้ชายสองคนที่พูดอังกฤษ-ชายมีอายุหน่อยสองคนที่พูดสเปน-ชายท่าทางเนิร์ดๆหนึ่งคนชาวญี่ปุ่น-เราสาวไทยสี่หัวใจ
-พี่ผู้หญิงคนลาวที่นั่งอยู่ด้านหน้ากับคนขับ-คนขับรถสองคนที่เป็นคนเกาหลีแต่พูดลาวกับพี่ผู้หญิงคนนั้นได้
เรานั่งอยู่ในรถโดยที่ชมวิวภูเขาสูงใหญ่สีเขียวสดไปพร้อมกับฝนโปรยปราย เคล้าเสียงสนทนาภาษาสเปนที่ค่อนข้างออกรสไปตลอดทาง
แต่คงจะออกรสเกินไป เพราะพอขับรถไปได้สักพัก พี่คนขับที่เป็นชาวเกาหลีก็เปิดเพลงที่เราได้ยินว่าเป็นภาษาใต้
เพลงของบ่าววี เราค้นพบทีหลังว่าคือเพลงทุกหยาดเหงื่อเพื่อเธอ
..รั่กแล้ววววว~รั่กเลย หน้องเอ๋ยใจเย็นเย็น~
เราจึงทำใจเย็นตามเนื้อเพลงค่ะ แล้วพี่คนขับก็จะเพิ่มเสียงเพลงขึ้นตอนที่บทสนทนาดังขึ้นไปอย่างนี้ตลอดทาง
เรากับเพื่อนจึงเดาได้ว่า มันเป็นการกระทำที่คนขับต้องการจะสื่อว่า
..คุยกันเบาๆหน่อย ไม่มีสมาธิขับรถเลยเนี่ย
แต่คุณพี่ชาวสเปนก็ไม่ได้สนใจอะไรค่ะ ถ้าเพลงบ่าววีดังมากขึ้นเขาก็จะพูดดังขึ้นอีกไปอย่างนั้น
เราที่นั่งเงียบๆฟังพร้อมกับสายตาที่มองแต่ทิวทัศน์เขียวครึ้มข้างทางเป็นส่วนใหญ่
คิดเอาเล่นๆว่า ตกลงนี่เราอยู่ลาว หรืออยู่ที่ไหน?
การอยู่บนรถที่ได้ยินภาษาสเปน อังกฤษ ลาว ร่วมไปด้วยกับเสียงเพลงบ่าววีของคนขับชาวเกาหลี
ทำให้เรารู้สึกว่าพิกัดของเราตอนนี้คือที่ไหนกันแน่ มันวาไรตี้มาก
ภายหลังเราให้ชื่อรถตู้ไปหลวงพระบางคันนี้กันว่า International Mini Van
ระหว่างทางจากวังเวียงไปหลวงพระบางนี้ค่อนข้างหวาดเสียวค่ะ
เพราะรถตู้ต้องขับขึ้นเขา รถจะเลี้ยวโค้งไปตามทางของภูเขาตลอดเวลา
วนไต่สูงขึ้นไปจนเราเห็นเวิ้งภูเขาลูกต่ำกว่าอยู่ด้านล้าง และโค้งวนลงเขาไปเรื่อยๆอย่างนี้ลูกแล้วลูกเล่าโดยไม่มีทางตรงยาวๆเลยค่ะ
ทำเอาเราหูอื้อกันเลยทีเดียว เพื่อนเราข้างๆที่หลับไปทั้งๆที่มีภาษาสเปนรัวกรอกหูนี่นอนเอียงซ้ายขวาตามรถเป็นที่ปัดน้ำฝนเลยทีเดียว
เราที่ไม่หลับก็ลุ้นไปตลอดทางค่ะ อากาศเย็นกับทิวเขาสูงใหญ่อุดมสมบูรณ์นี่สวยงามมากๆให้อารมณ์สี่หัวใจแห่งขุนเขา
แต่การที่ฝนยังตกไปตลอดทางที่รถต้องไต่วนตามเขาสูงแบบนี้ก็ทำให้เราหวั่นเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ธรรมชาติตามทางที่รถขับผ่านก็ดึงดูดใจ และทำให้เราแทบลืมความกลัวใดใดไปเลย
และเราก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจาก เชื่อมั่นในคนขับที่ยังฟังเพลงบ่าววีไปอย่างใจเย็นและขับได้ค่อนข้างดี
และก็คิดว่าเราจะไม่โชคร้าย..
นั่งรถโค้งไปโค้งมาขึ้นลงเขาจนถึงเวลาเที่ยง ฝนก็ยังไม่หยุดตก
แต่พี่คนขับจอดให้เราพักแวะเข้าห้องน้ำ และกินอะไรกันในที่ที่เป็นเหมือนร้านอาหารบนเขาเลยค่ะ
เราลงจากรถไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นและวิวธรรมชาติที่โอบล้อม ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกไกลเท่าไหร่จะถึงหลวงพระบาง
ในกำหนดบอกว่าเราน่าจะถึงประมาณบ่ายสี่โมง เราไม่เครียดเรื่องเวลานัก ขอแค่อย่าค่ำมืดอยู่บนเขาที่แม้จะแสนสวยนี้ก็เป็นพอ
หลังจากปล่อยใจขึ้นลงไปกับภูเขา
…แล้วเราถึง! หลวงพระบาง อางงๆ~
ในเวลาประมาณบ่ายสามโมงค่ะ ฝนยังคงไม่หยุดตก แต่แค่ปรอยๆเท่านั้น
International Mini Van ของเราจอดลงที่สถานีคล้ายบขส.ของบ้านเรา ไกลจากในเมืองที่เราจะไปเล็กน้อย
เราลาคนขับชาวเกาหลีด้วยภาษาลาว บ๊ายบายคนสเปนเป็นอังกฤษ ยิ้มให้ผู้ชายกล้ามใหญ่สองคนนิดหน่อย
แล้วก็เรียกรถสองแถวเข้าเมืองไปยังGuest Houseที่เราคิดไว้ว่าจะไปพักค่ะ
ในขณะที่เรานั่งรถก็มีคนเดินไปเองด้วยนะ แต่มันไกลพอสมควรเราที่แบกของพะรุงพะรัง กับความเหนื่อยล้าจากโค้งของภูเขา
จึงคิดว่านั่งรถดีกว่า..
เราเข้าไปถามห้องพักที่ Mekong Moon Inn ค่ะ อยู่ไม่ไกลจากถนนแถบริมแม่น้ำโขง
Guest Houseนี้มีห้องไม่เยอะมาก โชคดีที่เราไปแล้วยังเหลือห้องพักอยู่
เก็บของเสร็จเราก็ออกมาเดินตามทางในหลวงพระบางค่ะ แล้วฝนก็หยุดตกพอดีแต่ถนนยังเปียกชื้น
เราหิวกันมากแต่เดินหาไปตามทางไม่มีร้านอาหารเลยในเวลาที่ฝนเพิ่งหยุดตกแบบนี้
มีอยู่ร้านเดียวที่เราพบที่อยู่ริมแม่น้ำโขงพอดี
ในตอนแรกเรากลัวว่าจะแพงหรือเปล่า เพราะร้านตกแต่งค่อนข้างดี มีพนักงานแต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มของเขา
แต่ด้วยความที่หิวและมีร้านเดียวให้เลือกแล้ว เราจึงเข้าไปค่ะ..
สั่งอาหารจานเดียวกันแบบง่ายๆ แต่ราคา100บาทขึ้นไปทั้งนั้นค่ะ
รสชาติอาหารก็ไม่ต้องพูดถึง..ไม่ต้องไปพูดถึงจริงๆค่ะ ผ่านไปดีกว่า ฮา
จากนั้นพออิ่มท้องก็ออกเดินอีกครั้งค่ะ เป็นช่วงเย็นแล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อสำรวจพื้นที่
ทางเดินจากริมแม่น้ำโขงขึ้นมาเป็นทางชัน
ถนนและซอกซอยในหลวงพระบางเป็นแบบต้องเดินไปตามเนิน เราก็เดินไป ดูวัดต่างๆที่มีให้เห็น
บ้านเรือนของคนที่เขายังรักษาความคลาสสิคไว้จริงๆ
บ้านคนหลวงพระบางเป็นสไตล์แบบเก่าก่อนที่เราไม่รู้ว่าเรียกว่าแบบไหน
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้ ทาสีสวยๆ ส่วนใหญ่เป็นสองชั้น ตั้งเรียงรายสลับกันกับโรงแรมสำหรับผู้มาเยือนไปตามเนินถนนค่ะ
เดินเข้าตามตรอกซอกซอยจึงมาพบกับ Guest House ของคุณลุงท่านหนึ่ง
เราได้ทำการทักทายและพูดคุยกันอยู่สักครู่นึง
ก็ค้นพบว่า คุณลุงเคยไปเรียนที่ประเทศไทย มิหนำซ้ำยังเรียนในสถาบันเดียวกับเพื่อนๆของพวกเราด้วย
เป็นเรื่องบังเอิญจริง พี่น้องร่วมสถาบันจึงได้ทำการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้ซักหน่อย
ใกล้ๆกัน เราก็เจอ art wall Laos2013อีกด้วย
บังเอิญมีแม่ลูกอยู่ ด้วยความเป็นมิตรเราคุยกับทุกคน คุยไม่พอ เรายังไม่อุ้มลูกเขามาอีก..
มีร้านขายของ น้ำหวานวางเรียงรายให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเหนื่อยๆอย่างพวกได้ลองชิม
ขนมเค้กตั้งขายริมทางเดิน รวมไปถึงมีมาม่าจากบ้านเราด้วย
เดินไปเรื่อยเข้านู้นออกนี้ ก็ไปเจอร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด พวกเราเลยเล็งไว้และต้องมาโดนให้ได้!!
ยังไม่เท่านั้น เราก็ยังคงเดิน แล้วก็เดินไปสำรวจอีกเส้นทางหนึ่ง
พบที่ทำการไปรษณีย์ของลาว อยู่ในมุมที่คิดว่ามีแต่ป่า
ร้านขนมชื่อดังที่เห็นเขาว่าใครๆมาก็ต้องกิน ร้านโจมา (Joma)
ไม่เท่านั้น มีวุฒิศักดิ์เวอร์ชั่นลาวด้วยนะ
…หลวงพระบางเงียบกว่าวังเวียงมาก เงียบสงบจนพูดมากๆอย่างพวกเรายังต้องเกรงใจ….
เราเดินไปเรื่อยๆจนพระอาทิตย์ตกดิน ไปนั่งที่เก้าอี้ยาวใน Night Market ของหลวงพระบางค่ะ
ตลาดตั้งแผงประมาณห้าโมงกว่าๆ เรียงเป็นแนวยาวบนถนนสีสว่าง ตัดยาวผ่านบริเวณทางขึ้นไปบนพูสี
เรานั่งเม้ากันสักพัก ก็ออกเดินดูของที่ตลาดค่ะ
มีของที่ระลึกขายทั่วๆไป คล้ายๆของในสถานที่ท่องเที่ยวที่เราพบได้อยู่บ่อยๆ
นั่งดื่มด่ำบรรยากาศแบบ s l o w l i f e ของคนหลวงพระบางอยู่พักนึง
ใจก็เรียกร้องความหวานในร่างกาย
เอาล่ะ วันนี้เราไปลุยขนมหวานที่ร้านโจมา (Joma) ที่เราเดินสำรวจเจอกันแล้วดีกว่า
บรรยากาศร้านก็ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีโซนทั้งด้านในและด้านนอก
พวกเราเข้าไปสั่งเค้กมะพร้าว กับพายแอปเปิ้ลมากินกัน
รสชาติถือว่าอร่อยดี เป็นฟิวคนมานั่งทำงาน มานั่งพูดคุยกัน
จนเรากินขนมเค้กหมด เรายังไม่อยากกลับที่พัก ก็ออกมานั่งด้านนอกเพื่อมองบรรยากาศของเมืองหลวงพระบางอีกครั้ง
รวมไปถึงวางแผนการเดินทางในพรุ่งนี้ และสรุปค่าใช้จ่ายประจำวันกัน
--------
หลวงพระบางอีกวัน เราจะไปที่ ตาดกวางสี กันค่ะ
รวมถึงเราได้รู้เรื่องหวย หมู่บ้านม้ง และอื่นๆ
ไว้จะมาเล่าต่อนะคะ