ถ้าหากผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกสามารถเลือกนักเตะคนใดจากยุคไหนก็ได้ ผู้เล่นคนนั้นจะเป็นใคร? คำตอบจากปากของโจเซ่ มูรินโญไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวังไว้ - แต่นั่นแหละ น้อยเรื่องที่เราจะเดาได้เกี่ยวกับผู้จัดการแห่งสโมสรฟุตบอลเชลซีคนนี้ ในขณะที่ชายวัย 52 ปีกำลังนั่งที่โต๊ะตัวโปรดของเขาในภัตตาคารลา ฟามีญ่า ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสแตมฟอร์ด บริดจ์ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีม เขาสั่งอาราเบียตต้าเพนเน่หนึ่งชามเพื่อทานในมื้อเที่ยง สำหรับผู้โชคร้ายซึ่งอาศัยในแดนที่เกมอันสวยงามไม่สามารถมาให้คุณชม (หรือถิ่นที่ความสำคัญของ FA Cup ไม่อาจเทียบเคียงกับการเลือกตั้งระดับชาติได้) โปรดให้ผมได้อธิบายกับพวกคุณเถอะว่าทำไมคำตอบของมูรินโญถึงสำคัญนัก
อดีตครูพลศึกษาจากแดนฝอยทองประสบความสำเร็จในสิ่งที่น้อยคนร่วมสายอาชีพจะทำได้ นั่นคือการพาสโมสรครองตำแหน่งแชมป์ลีก 4 ครั้งใน 4 ประเทศ - เริ่มจากปอร์โตในโปรตุเกส ถิ่นเกิดของเขา, ต่อมาก็เชลซีในอังกฤษ, อินเตอร์ มิลานในอิตาลี และเรอัล มาดริดในสเปน ตอนนี้เขากลับมายังแดนสิงห์บลูส์แล้ว และนี่คือที่ที่เขากำลังจะพาสโมสรชูถ้วยพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่สองเมื่อฤดูกาลนี้สิ้นสุด กลับมาที่คำถามหลักกันต่อ ใครกันล่ะคือนักเตะที่เขาอยากได้มาร่วมทีม? เปเล่? เบ็กส์? หรือจะเป็นเซอร์ บ็อบบี้ มัวร์?
JM:"จอร์จ เบสท์ ผมพูดจริง จริงจังมากๆ" เขาเพิ่มคำสุดท้ายไปในประโยคหลังจากเห็นคิ้วที่เลิกขึ้นของผมเป็นปฏิกิริยาตอบรับ เอาล่ะ เบสท์เป็นผู้เล่นที่ทักษะบนสนามมากโขไม่แพ้กับความใสสะอาดในการเล่น นั่นแหละ คุณสมบัตินั้นอาจจะทำให้คุณบงการเขาได้ยากหน่อย "จอร์จ เบสท์! เขาเจ๋งมาก เจ๋งสุดๆ! เขามาไกลกว่าคนอื่นในยุคเดียวกัน 30 ปีได้ และถ้าเขาเกิดมาเล่นฟุตบอลในยุคนี้นะ เขาคงแบบ ปังงงงงง..." แล้วมูรินโญก็หมดคำที่จะสรรหามาบรรยาย เบสท์ต้องเข้าอกเข้าใจกับชายสไตล์มูรินโญได้แน่ๆ แหละ และเหนือสิ่งอื่นใด เขาได้เป็นหนึ่งในตำนานสำหรับกุนซือรายนี้เสียแล้ว ในวัย 19 ของเบสท์ (ส่วนมูรินโญก็อายุ 3 ปี) เขาทำประตูไปได้ 2 ลูกสำหรับเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายในเกมพบเบนฟิก้าของรายการถ้วยยุโรป และเบสท์มีคุณสมบัติอะไรบางอย่างของพวกร็อกสตาร์เช่นเดียวกับมูรินโญที่ถูกสื่อโปรตุเกสเรียกว่า "สมาชิกเดอะบีทเทิลส์คนที่ห้า" หลังพิจารณาถึงความสำเร็จและฝีมือของเขา
นี่เป็นหนึ่งเรื่องน่าประหลาดใจเล็กๆ ในอีกหลายที่จะตามมา ขณะที่ โจเซ่ มาริโอ ดอส ซานโตส มูรินโญ เฟลิกซ์บอกความลับสู่การเป็นผู้จัดการชั้นเซียน
เมื่อถูกถามว่าอะไรที่เป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี เขาเผยคำตอบ "ผมคิดว่าความนับถือผู้คนในความรับผิดชอบของคุณเป็นสิ่งสำคัญนะ แน่นอนล่ะ มันไม่ใช่ให้พวกเขากลัวคุณ" เขาเล่าต่อว่า ถ้าคนในการปกครองของคุณรู้สึกยำเกรงคุณเท่าใด นั่นยิ่งบอกถึงความล้มเหลวในการเป็นผู้นำของคุณเท่านั้น "เขาไม่จำเป็นต้องกลัวคุณ ไม่ เขาต้องเชื่อในตัวคุณ เขาต้องไว้ใจคุณ และถ้าเป็นไปได้ - ขั้นสูงสุดของการเป็นผู้นำเลยนะ - เขารักคุณ"
จอห์น เทอร์รี่ กัปตันของเชลซีให้คำจำกัดความมูรินโญไว้ว่าเป็นตัวอย่างแห่งการเป็นผู้นำ ทั้งยังชมเชยถึงการกลับมาในจุดสูงสุดของอาชีพหลังจากวันแย่ๆ ได้สิ้นสุดลง "เรื่องนั้นเป็นอะไรที่จับใจผมมาก และสำหรับผมนะ ไม่มีใครสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาในตัวคนออกมาได้ดีไปกว่าโจเซ่ มูรินโญ่แล้ว" เมื่อถามถึงขั้นแรกในการทำงานของมูรินโญ เทอร์รี่กล่าวว่า "เขาสร้างผู้เล่นมากลุ่มหนึ่ง - กลุ่มที่ดี - และรู้สึกเหมือนว่าเราคือกลุ่มที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ตาม แต่เรารู้สึกถึงสิ่งนั้น คุณจะเห็นได้จากการเล่นของพวกเราด้วย"
มูรินโญบอกว่าเขาไม่มีใครเป็นฮีโร่ประจำใจในการทำงาน แต่เขามักจะเรียนรู้อะไรจากคู่แข่งสายอาชีพเสมอ "ผมพยายามจะเรียนรู้จากทุกประสบการณ์นะ – และประสบการณ์ในที่นี้ผมหมายถึงทุกเกมการแข่งขัน และทุกการแข่งขันจะมีคู่ต่อสู้ เพราะงั้นผมเลยคิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการจะรู้จักเคารพผู้อื่นด้วย บอกเลยว่าทุกประสบการณ์ทำให้ผมได้เรียนรู้ทั้งนั้น"
อีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก็จะถึงวาระการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักรฯ หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่เหมาะเหม็งทีเดียว ผมถามกับคนที่ให้ฉายาตัวเอง "special one" ว่าเขาจะสอนอะไรให้นักการเมืองเกี่ยวกับความเป็นผู้นำได้บ้าง มูรินโญนิ่ง และไม่พูดอะไร แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาอธิบายว่าอะไรคือจุดบกพร่องของการเมือง "นักการเมืองต้องมีความเชื่อถือ ต้องการคนที่จะเชื่อในตัวพวกเขา ต้องการคนที่รู้สึกว่ามีความเคารพให้ ต้องการคนที่รู้ว่าพวกเขาหวังจะให้มีชีวิตดีขึ้นจริงๆ สิ่งเดียวกันกับที่ผู้เล่นของผมจะต้องรู้สึกนั่นแหละ - ผมหวังให้พวกเขาเป็นผู้เล่นที่เก่งขึ้น ผมหวังให้พวกเขาชนะ ได้สิ่งตอบแทน ผมหวังให้พวกเขามี่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับตัวเองและครอบครัว เพราะฉะนั้น นี่เป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจ"
มูรินโญไม่ได้กำหนดวิธีการในการเป็นผู้นำและเส้นทางของเขาจะกลายเป็นเรื่องที่ผิดแปลก.ความฝันของเขาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเติบโคมาในครอบครัวชนชั้นกลางจากลิสบอน(พ่อของเขาเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลในขณะที่แม่ของเขาเป็นครูในโรงเรียนประถม) ที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ทว่าเขากลับไม่เคยทำได้ในเส้นทางของมืออาชีพ. ดังนั้นหลังจากที่ถูกคุมขังในการเป็นครูสอนกีฬาและทำงานเป็นล่าม(โจเซ่พูดได้ทั้งหมด 5 ภาษา)จากอดีคผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่ปอร์โต้และบาร์เซโลน่า เขาก็ค่อยๆปลดเปลื้องเส้นทางของเขาไปสู่การจัดการทีม.
“ความรักของผมคือฟุตบอล มันไม่ใช่ความตั้งใจหรือความหลงใหลของผมในการเป็นผู้นำ. การเป็นผู้นำเป็นแค่ส่วนวิวัฒนาการจากการทำงานของผม ผมเริ่มต้นจากผู้ช่วยโค้ช และกลายมาเป็นผู้จัดการทีมในอีก 15 ปีต่อมา ”
เมื่อมาร์ทิลด์ ลูกสาวของมูรินโญ่ก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการสัมภาษณ์ของเรา เด็กสาวผู้จบการศึกษาระดับมัธยมที่มีความใฝ่ฝันจะก้าวเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมแฟชั่น เขามองเธอด้วยความรักและภูมิใจตลอดช่วงเวลาที่เธอร่วมสนทนากับเรา มูรินโญ่กล่าวว่า ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตสำหรับเขา นอกเหนือจากความสนใจในฟุตบอลนั่นคือสิ่งที่เขาสนใจ มาทิลด์-ลูกชายวัย 15 ปีของเขา(โจเซ่ จูเนียร์)และถรรยา (มาทิลด์ ซีเนียร์).มูรินโญ่สักชื่อของพวกเขาทุกๆคนไว้อย่างสวยงามบนข้อมือราวกับสร้อยข้อมือยังไงยังงั้น . จากทุกประเทศที่เขาเคยอยู่อาศัยมา มูรินโญกล่าวว่าเขารู้สึกเป็นพลเมืองในอังกฤษมากที่สุด “สิ่งที่ผมต้องการจากอังกฤษมากที่สุดคือการให้ผมมีพื้นที่ในสังคมชีวิตของผมบ้าง ผมโลกส่วนตัวสูงเอามากๆ สังคมของผมเป็นอะไรที่เงียบสงบจริงๆ แต่ผมเองก็ชอบที่จะทำอะไรที่มันเบสิกสุดๆในการใช้ชีวิต ซึ่งในอิตาลีและสเปนมันช่างยากที่จะทำแบบนั้น”
อะไรคือสิ่งที่เป็นเบสิกของสิ่งเหล่านั้น? JM :“ผมอาศัยอยู่ในใจกลางกรุงลอนดอน ผมเปิดประตูบ้าน ผมเดินไปเรื่อยๆ ซื้อของ แวะร้านบราสเซอรี่แล้วก็มีโดนัทติดมือออกมา”
คุณจะยอมให้นักเตะของคุณกินโดนัทมั้ย? โจเซ่มองผมราวกับผมเป็นคนบ้า JM:”ใช่,แน่นอน ทุกๆคนล้วนหมกมุ่นอยู่กับการไม่ได้ทานอาหาร ความสุขของการกินคือการเตรียมร่างกายของคุณให้พร้อมสำหรับวันต่อไปในการทำงาน ”
คุณทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะทานอาหารได้มากๆเนี่ยนะ? JM:“แน่นอนที่สุด ความสุขเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ”
มันดูตลกพิกลนะ คุณที่อยู่ตรงนี้ช่างดูแตกต่างจากมิสเตอร์มูรินโญผู้เปี่ยมไปด้วยทิฐิที่บ้าคลั่งที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆในโทรทัศน์ ผมบอกเขา เขายิ้ม คุณดูน่ากลัวเมื่ออยู่ในจอทีวี ผมพูด แต่วันนี้คุณดูค่อนข้างขี้อาย
JM: “ผมเป็นคนขี้อายนะ ผมปกป้องตัวเอง เมื่อคุณเห็นผมอยู่กับเหล่าผู้คนที่ผมเชื่อใจและพวกเขาเหล่านั้นรู้จักผมดี ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ผมเป็นตัวของตัวเอง หลังจากนั้นผมก็จะปกป้องตัวเอง ผู้คนที่รู้จักผมจากอะไรก็ตามที่พวกเขาเห็นจากในจอโทรทัศน์ ในช่วงการแข่งขันที่กดดันและการสัมภาษณ์ก่อนเกมส์ที่ซึ่งผมต้องป้องกันตัวเอง เพราะงั้นนี่แหละคือสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นมองเห็น ”
คุณเคยคิดมั้ยเวลาเห็นตัวเองระเบิดอารมร์อยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ ประมาณว่า “พระเจ้า ไอ้หมอนี่คือปีศาจที่ไหนเนี่ย?”
JM: ”ไม่ ไม่เลย ผมไม่เคยเสียใจที่ทำแบบนั้น เพราะมันออกมาจากหัวใจ ,ความรู้สึก ผมไม่กังวลเกี่ยวกับความถูกต้องทางการเมือง หรือพูดในสิ่งที่ผู้คนหวังอยากให้พูด ผมพูดไปตามปกติจากสิ่งที่ผมรู้สึก และผมไม่คิดถึงสิ่งที่จะตามมาหรอก สิ่งที่ผมกังวลมากกว่าก็ผลกระทบที่จะตามมาหากผมไม่พูดมันออกไป ถ้าผมเก็บมันไว้กับตัวเอง นั่นแหละ”
ในทำนองเดียวกันที่เขาคิดว่าสื่อได้รับมันผิดเมื่อพวกเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นไอคอนสไตล์ฉบับภาษาสเปนของโรลลิงสโตนวางเขาลงบนหน้าปกในปี 2011และตั้งฉายาเขาว่า ร็อกสตาร์ออฟเดอะเยียร์ ขอบคุณสำหรับ”ความขัดแย้ง””สติปัญญาที่แสนหน้าด้าน”และ”ทัศนคติที่เร้าใจ” มูรินโญยืนยันว่าเขาไม่มีอะไรเลยในด้านความเชี่ยวชาญด้านการแต่งกายของเขา ไม่มีเลย เขากล่าว เขามองว่าสิ่งที่มีมากกว่าความสง่างามคือการปฏิเสธของมนุษย์
JM:“มีเสื้อผ้าบางยี่ห้อที่ผมไม่เลือกสวมใส่”
อย่างเช่นว่า? มูรินโญครุ่นคิดแล้วตัดสินใจบอกว่าเขาหมายถึงสีสันมากกว่าแบรนด์
JM: “ผมจะไม่สวมเสื้อเชิ๊ตสีแดงหรือเสื้อสูทสีแดงหรือผูกไทสีเหลือง ไม่ล่ะ ผมชอบที่จะสวมสีเทา,สีน้ำเงิน,ฟ้าสว่าง,น้ำเงินเข้ม,สีขาว ...เมื่อคุณเปิดตู้เสื้อผ้าของผมแล้วคุณจะเห็นสีที่ว่านี่เต็มไปหมด”
มูรินโญกล่าวว่าเมื่อสื่อพูดเกี่ยวกับลักษณะของเขาหรือคุณภาพของลูกทีม พวกเขาจะทำเพียงเท่านั้นเพราะเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการฟุตบอล ถ้าเขาไม่มีสิ่งเหล่านั้น จะไม่มีใครให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาได้รับ
JM: “เหตุผลที่ว่าคุณจะกลายเป็นสิ่งนี้และสิ่งนี้และสิ่งนั้นนั่นคือคุณทำได้ดีในงานของคุณ เปรียบเทียบว่า แทนที่คุณจะมีเครื่องเงินอยู่ 21 ชิ้น ถ้าผมไม่มีมันเลยสักชิ้นคุณจะไม่พูดถึงกับอะไรก็ตามที่ผมสวมมันหรือเส้นทางที่ผมมองอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การเริ่มต้นกับความสำเร็จ ”
อะไรคือสิ่งที่มูรินโญ่คิดว่าผลงานของเขาจะเป็นอย่างไร แทนที่จะเป็นรางวัลที่เขาได้รับ โจเซ่พูดเกี่ยวกับวิธีการที่เขามีนิยามใหม่สิ่งที่ทำให้เป็นผู้จัดการที่ดี ความเป็นเอกฉันท์ของมูริญโญ่คือการที่คุณต้องเล่นในระดับท็อปสู่การจัดการระดับท็อป ไม่ใช่อีกต่อไป แต่ "ผมคิดว่าในปัจจุบันสำหรับใครก็ตามที่ไม่ใช่ผู้เล่นที่สุดยอดมีชีวิตง่ายกว่าที่ผมเคยผ่านมามาก เพราะผมเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่จะทำลายกำแพงนั้น เมื่อผมเริ่มทำงานนนี้มันช่างเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่ผู้เล่นระดับท็อปจะสามารถเป็นผู้จัดการทัมฟุตบอลระดับท็อปได้และเมื่อผมชนะใน ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีกส์ครั้งแรกกว่า 10 ปีที่ปอร์โต้ ผมได้ทำลายความเชื่อนั้น นั่นคือความเชื่อที่ว่าการเป็นผู้จัดการที่อยู่ในจุดสูงสุดของมืออาชีพต้องเคยเป็นนักเตะระดับสูงสุดของอาชีพนักฟุตบอล “ โจเซ่กล่าวว่าบางคนพูดว่านี้เป็นเพราะเกมส์มีการเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นสิ่งที่มีมากกว่าคือเทคนิกและวิชาการ แต่เขาไม่มีอะไรที่ว่ามาเลยสักนิด “ผมคิดจริงๆนะว่าการที่คุณจะกลายเป็นผู้จัดการที่เยี่ยมยอดได้ไม่ใช่เพราะคุณเรียนรู้มันอย่างมากมาย แต่มันเป็นพรสวรรค์” มูรินโญกล่าวปิดท้าย
Cr.
http://www.mrporter.com/journal/the-look/mr-jos-mourinho/300
เห็นบทความน่าสนใจเลยแปลมาลงค่ะ แปลไม่ดีตรงไหนก็ขอโทษด้วยเน่อ
Mr José Mourinho:Life I need just basic with doughtnuts
ถ้าหากผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกสามารถเลือกนักเตะคนใดจากยุคไหนก็ได้ ผู้เล่นคนนั้นจะเป็นใคร? คำตอบจากปากของโจเซ่ มูรินโญไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวังไว้ - แต่นั่นแหละ น้อยเรื่องที่เราจะเดาได้เกี่ยวกับผู้จัดการแห่งสโมสรฟุตบอลเชลซีคนนี้ ในขณะที่ชายวัย 52 ปีกำลังนั่งที่โต๊ะตัวโปรดของเขาในภัตตาคารลา ฟามีญ่า ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสแตมฟอร์ด บริดจ์ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีม เขาสั่งอาราเบียตต้าเพนเน่หนึ่งชามเพื่อทานในมื้อเที่ยง สำหรับผู้โชคร้ายซึ่งอาศัยในแดนที่เกมอันสวยงามไม่สามารถมาให้คุณชม (หรือถิ่นที่ความสำคัญของ FA Cup ไม่อาจเทียบเคียงกับการเลือกตั้งระดับชาติได้) โปรดให้ผมได้อธิบายกับพวกคุณเถอะว่าทำไมคำตอบของมูรินโญถึงสำคัญนัก
อดีตครูพลศึกษาจากแดนฝอยทองประสบความสำเร็จในสิ่งที่น้อยคนร่วมสายอาชีพจะทำได้ นั่นคือการพาสโมสรครองตำแหน่งแชมป์ลีก 4 ครั้งใน 4 ประเทศ - เริ่มจากปอร์โตในโปรตุเกส ถิ่นเกิดของเขา, ต่อมาก็เชลซีในอังกฤษ, อินเตอร์ มิลานในอิตาลี และเรอัล มาดริดในสเปน ตอนนี้เขากลับมายังแดนสิงห์บลูส์แล้ว และนี่คือที่ที่เขากำลังจะพาสโมสรชูถ้วยพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่สองเมื่อฤดูกาลนี้สิ้นสุด กลับมาที่คำถามหลักกันต่อ ใครกันล่ะคือนักเตะที่เขาอยากได้มาร่วมทีม? เปเล่? เบ็กส์? หรือจะเป็นเซอร์ บ็อบบี้ มัวร์?
JM:"จอร์จ เบสท์ ผมพูดจริง จริงจังมากๆ" เขาเพิ่มคำสุดท้ายไปในประโยคหลังจากเห็นคิ้วที่เลิกขึ้นของผมเป็นปฏิกิริยาตอบรับ เอาล่ะ เบสท์เป็นผู้เล่นที่ทักษะบนสนามมากโขไม่แพ้กับความใสสะอาดในการเล่น นั่นแหละ คุณสมบัตินั้นอาจจะทำให้คุณบงการเขาได้ยากหน่อย "จอร์จ เบสท์! เขาเจ๋งมาก เจ๋งสุดๆ! เขามาไกลกว่าคนอื่นในยุคเดียวกัน 30 ปีได้ และถ้าเขาเกิดมาเล่นฟุตบอลในยุคนี้นะ เขาคงแบบ ปังงงงงง..." แล้วมูรินโญก็หมดคำที่จะสรรหามาบรรยาย เบสท์ต้องเข้าอกเข้าใจกับชายสไตล์มูรินโญได้แน่ๆ แหละ และเหนือสิ่งอื่นใด เขาได้เป็นหนึ่งในตำนานสำหรับกุนซือรายนี้เสียแล้ว ในวัย 19 ของเบสท์ (ส่วนมูรินโญก็อายุ 3 ปี) เขาทำประตูไปได้ 2 ลูกสำหรับเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายในเกมพบเบนฟิก้าของรายการถ้วยยุโรป และเบสท์มีคุณสมบัติอะไรบางอย่างของพวกร็อกสตาร์เช่นเดียวกับมูรินโญที่ถูกสื่อโปรตุเกสเรียกว่า "สมาชิกเดอะบีทเทิลส์คนที่ห้า" หลังพิจารณาถึงความสำเร็จและฝีมือของเขา
นี่เป็นหนึ่งเรื่องน่าประหลาดใจเล็กๆ ในอีกหลายที่จะตามมา ขณะที่ โจเซ่ มาริโอ ดอส ซานโตส มูรินโญ เฟลิกซ์บอกความลับสู่การเป็นผู้จัดการชั้นเซียน
เมื่อถูกถามว่าอะไรที่เป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี เขาเผยคำตอบ "ผมคิดว่าความนับถือผู้คนในความรับผิดชอบของคุณเป็นสิ่งสำคัญนะ แน่นอนล่ะ มันไม่ใช่ให้พวกเขากลัวคุณ" เขาเล่าต่อว่า ถ้าคนในการปกครองของคุณรู้สึกยำเกรงคุณเท่าใด นั่นยิ่งบอกถึงความล้มเหลวในการเป็นผู้นำของคุณเท่านั้น "เขาไม่จำเป็นต้องกลัวคุณ ไม่ เขาต้องเชื่อในตัวคุณ เขาต้องไว้ใจคุณ และถ้าเป็นไปได้ - ขั้นสูงสุดของการเป็นผู้นำเลยนะ - เขารักคุณ"
จอห์น เทอร์รี่ กัปตันของเชลซีให้คำจำกัดความมูรินโญไว้ว่าเป็นตัวอย่างแห่งการเป็นผู้นำ ทั้งยังชมเชยถึงการกลับมาในจุดสูงสุดของอาชีพหลังจากวันแย่ๆ ได้สิ้นสุดลง "เรื่องนั้นเป็นอะไรที่จับใจผมมาก และสำหรับผมนะ ไม่มีใครสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาในตัวคนออกมาได้ดีไปกว่าโจเซ่ มูรินโญ่แล้ว" เมื่อถามถึงขั้นแรกในการทำงานของมูรินโญ เทอร์รี่กล่าวว่า "เขาสร้างผู้เล่นมากลุ่มหนึ่ง - กลุ่มที่ดี - และรู้สึกเหมือนว่าเราคือกลุ่มที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ตาม แต่เรารู้สึกถึงสิ่งนั้น คุณจะเห็นได้จากการเล่นของพวกเราด้วย"
มูรินโญบอกว่าเขาไม่มีใครเป็นฮีโร่ประจำใจในการทำงาน แต่เขามักจะเรียนรู้อะไรจากคู่แข่งสายอาชีพเสมอ "ผมพยายามจะเรียนรู้จากทุกประสบการณ์นะ – และประสบการณ์ในที่นี้ผมหมายถึงทุกเกมการแข่งขัน และทุกการแข่งขันจะมีคู่ต่อสู้ เพราะงั้นผมเลยคิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการจะรู้จักเคารพผู้อื่นด้วย บอกเลยว่าทุกประสบการณ์ทำให้ผมได้เรียนรู้ทั้งนั้น"
อีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก็จะถึงวาระการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักรฯ หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่เหมาะเหม็งทีเดียว ผมถามกับคนที่ให้ฉายาตัวเอง "special one" ว่าเขาจะสอนอะไรให้นักการเมืองเกี่ยวกับความเป็นผู้นำได้บ้าง มูรินโญนิ่ง และไม่พูดอะไร แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาอธิบายว่าอะไรคือจุดบกพร่องของการเมือง "นักการเมืองต้องมีความเชื่อถือ ต้องการคนที่จะเชื่อในตัวพวกเขา ต้องการคนที่รู้สึกว่ามีความเคารพให้ ต้องการคนที่รู้ว่าพวกเขาหวังจะให้มีชีวิตดีขึ้นจริงๆ สิ่งเดียวกันกับที่ผู้เล่นของผมจะต้องรู้สึกนั่นแหละ - ผมหวังให้พวกเขาเป็นผู้เล่นที่เก่งขึ้น ผมหวังให้พวกเขาชนะ ได้สิ่งตอบแทน ผมหวังให้พวกเขามี่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับตัวเองและครอบครัว เพราะฉะนั้น นี่เป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจ"
มูรินโญไม่ได้กำหนดวิธีการในการเป็นผู้นำและเส้นทางของเขาจะกลายเป็นเรื่องที่ผิดแปลก.ความฝันของเขาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเติบโคมาในครอบครัวชนชั้นกลางจากลิสบอน(พ่อของเขาเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลในขณะที่แม่ของเขาเป็นครูในโรงเรียนประถม) ที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ทว่าเขากลับไม่เคยทำได้ในเส้นทางของมืออาชีพ. ดังนั้นหลังจากที่ถูกคุมขังในการเป็นครูสอนกีฬาและทำงานเป็นล่าม(โจเซ่พูดได้ทั้งหมด 5 ภาษา)จากอดีคผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่ปอร์โต้และบาร์เซโลน่า เขาก็ค่อยๆปลดเปลื้องเส้นทางของเขาไปสู่การจัดการทีม.
“ความรักของผมคือฟุตบอล มันไม่ใช่ความตั้งใจหรือความหลงใหลของผมในการเป็นผู้นำ. การเป็นผู้นำเป็นแค่ส่วนวิวัฒนาการจากการทำงานของผม ผมเริ่มต้นจากผู้ช่วยโค้ช และกลายมาเป็นผู้จัดการทีมในอีก 15 ปีต่อมา ”
เมื่อมาร์ทิลด์ ลูกสาวของมูรินโญ่ก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการสัมภาษณ์ของเรา เด็กสาวผู้จบการศึกษาระดับมัธยมที่มีความใฝ่ฝันจะก้าวเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมแฟชั่น เขามองเธอด้วยความรักและภูมิใจตลอดช่วงเวลาที่เธอร่วมสนทนากับเรา มูรินโญ่กล่าวว่า ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตสำหรับเขา นอกเหนือจากความสนใจในฟุตบอลนั่นคือสิ่งที่เขาสนใจ มาทิลด์-ลูกชายวัย 15 ปีของเขา(โจเซ่ จูเนียร์)และถรรยา (มาทิลด์ ซีเนียร์).มูรินโญ่สักชื่อของพวกเขาทุกๆคนไว้อย่างสวยงามบนข้อมือราวกับสร้อยข้อมือยังไงยังงั้น . จากทุกประเทศที่เขาเคยอยู่อาศัยมา มูรินโญกล่าวว่าเขารู้สึกเป็นพลเมืองในอังกฤษมากที่สุด “สิ่งที่ผมต้องการจากอังกฤษมากที่สุดคือการให้ผมมีพื้นที่ในสังคมชีวิตของผมบ้าง ผมโลกส่วนตัวสูงเอามากๆ สังคมของผมเป็นอะไรที่เงียบสงบจริงๆ แต่ผมเองก็ชอบที่จะทำอะไรที่มันเบสิกสุดๆในการใช้ชีวิต ซึ่งในอิตาลีและสเปนมันช่างยากที่จะทำแบบนั้น”
อะไรคือสิ่งที่เป็นเบสิกของสิ่งเหล่านั้น? JM :“ผมอาศัยอยู่ในใจกลางกรุงลอนดอน ผมเปิดประตูบ้าน ผมเดินไปเรื่อยๆ ซื้อของ แวะร้านบราสเซอรี่แล้วก็มีโดนัทติดมือออกมา”
คุณจะยอมให้นักเตะของคุณกินโดนัทมั้ย? โจเซ่มองผมราวกับผมเป็นคนบ้า JM:”ใช่,แน่นอน ทุกๆคนล้วนหมกมุ่นอยู่กับการไม่ได้ทานอาหาร ความสุขของการกินคือการเตรียมร่างกายของคุณให้พร้อมสำหรับวันต่อไปในการทำงาน ”
คุณทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะทานอาหารได้มากๆเนี่ยนะ? JM:“แน่นอนที่สุด ความสุขเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ”
มันดูตลกพิกลนะ คุณที่อยู่ตรงนี้ช่างดูแตกต่างจากมิสเตอร์มูรินโญผู้เปี่ยมไปด้วยทิฐิที่บ้าคลั่งที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆในโทรทัศน์ ผมบอกเขา เขายิ้ม คุณดูน่ากลัวเมื่ออยู่ในจอทีวี ผมพูด แต่วันนี้คุณดูค่อนข้างขี้อาย
JM: “ผมเป็นคนขี้อายนะ ผมปกป้องตัวเอง เมื่อคุณเห็นผมอยู่กับเหล่าผู้คนที่ผมเชื่อใจและพวกเขาเหล่านั้นรู้จักผมดี ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ผมเป็นตัวของตัวเอง หลังจากนั้นผมก็จะปกป้องตัวเอง ผู้คนที่รู้จักผมจากอะไรก็ตามที่พวกเขาเห็นจากในจอโทรทัศน์ ในช่วงการแข่งขันที่กดดันและการสัมภาษณ์ก่อนเกมส์ที่ซึ่งผมต้องป้องกันตัวเอง เพราะงั้นนี่แหละคือสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นมองเห็น ”
คุณเคยคิดมั้ยเวลาเห็นตัวเองระเบิดอารมร์อยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ ประมาณว่า “พระเจ้า ไอ้หมอนี่คือปีศาจที่ไหนเนี่ย?”
JM: ”ไม่ ไม่เลย ผมไม่เคยเสียใจที่ทำแบบนั้น เพราะมันออกมาจากหัวใจ ,ความรู้สึก ผมไม่กังวลเกี่ยวกับความถูกต้องทางการเมือง หรือพูดในสิ่งที่ผู้คนหวังอยากให้พูด ผมพูดไปตามปกติจากสิ่งที่ผมรู้สึก และผมไม่คิดถึงสิ่งที่จะตามมาหรอก สิ่งที่ผมกังวลมากกว่าก็ผลกระทบที่จะตามมาหากผมไม่พูดมันออกไป ถ้าผมเก็บมันไว้กับตัวเอง นั่นแหละ”
ในทำนองเดียวกันที่เขาคิดว่าสื่อได้รับมันผิดเมื่อพวกเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นไอคอนสไตล์ฉบับภาษาสเปนของโรลลิงสโตนวางเขาลงบนหน้าปกในปี 2011และตั้งฉายาเขาว่า ร็อกสตาร์ออฟเดอะเยียร์ ขอบคุณสำหรับ”ความขัดแย้ง””สติปัญญาที่แสนหน้าด้าน”และ”ทัศนคติที่เร้าใจ” มูรินโญยืนยันว่าเขาไม่มีอะไรเลยในด้านความเชี่ยวชาญด้านการแต่งกายของเขา ไม่มีเลย เขากล่าว เขามองว่าสิ่งที่มีมากกว่าความสง่างามคือการปฏิเสธของมนุษย์
JM:“มีเสื้อผ้าบางยี่ห้อที่ผมไม่เลือกสวมใส่”
อย่างเช่นว่า? มูรินโญครุ่นคิดแล้วตัดสินใจบอกว่าเขาหมายถึงสีสันมากกว่าแบรนด์
JM: “ผมจะไม่สวมเสื้อเชิ๊ตสีแดงหรือเสื้อสูทสีแดงหรือผูกไทสีเหลือง ไม่ล่ะ ผมชอบที่จะสวมสีเทา,สีน้ำเงิน,ฟ้าสว่าง,น้ำเงินเข้ม,สีขาว ...เมื่อคุณเปิดตู้เสื้อผ้าของผมแล้วคุณจะเห็นสีที่ว่านี่เต็มไปหมด”
มูรินโญกล่าวว่าเมื่อสื่อพูดเกี่ยวกับลักษณะของเขาหรือคุณภาพของลูกทีม พวกเขาจะทำเพียงเท่านั้นเพราะเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการฟุตบอล ถ้าเขาไม่มีสิ่งเหล่านั้น จะไม่มีใครให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาได้รับ
JM: “เหตุผลที่ว่าคุณจะกลายเป็นสิ่งนี้และสิ่งนี้และสิ่งนั้นนั่นคือคุณทำได้ดีในงานของคุณ เปรียบเทียบว่า แทนที่คุณจะมีเครื่องเงินอยู่ 21 ชิ้น ถ้าผมไม่มีมันเลยสักชิ้นคุณจะไม่พูดถึงกับอะไรก็ตามที่ผมสวมมันหรือเส้นทางที่ผมมองอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การเริ่มต้นกับความสำเร็จ ”
อะไรคือสิ่งที่มูรินโญ่คิดว่าผลงานของเขาจะเป็นอย่างไร แทนที่จะเป็นรางวัลที่เขาได้รับ โจเซ่พูดเกี่ยวกับวิธีการที่เขามีนิยามใหม่สิ่งที่ทำให้เป็นผู้จัดการที่ดี ความเป็นเอกฉันท์ของมูริญโญ่คือการที่คุณต้องเล่นในระดับท็อปสู่การจัดการระดับท็อป ไม่ใช่อีกต่อไป แต่ "ผมคิดว่าในปัจจุบันสำหรับใครก็ตามที่ไม่ใช่ผู้เล่นที่สุดยอดมีชีวิตง่ายกว่าที่ผมเคยผ่านมามาก เพราะผมเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่จะทำลายกำแพงนั้น เมื่อผมเริ่มทำงานนนี้มันช่างเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่ผู้เล่นระดับท็อปจะสามารถเป็นผู้จัดการทัมฟุตบอลระดับท็อปได้และเมื่อผมชนะใน ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีกส์ครั้งแรกกว่า 10 ปีที่ปอร์โต้ ผมได้ทำลายความเชื่อนั้น นั่นคือความเชื่อที่ว่าการเป็นผู้จัดการที่อยู่ในจุดสูงสุดของมืออาชีพต้องเคยเป็นนักเตะระดับสูงสุดของอาชีพนักฟุตบอล “ โจเซ่กล่าวว่าบางคนพูดว่านี้เป็นเพราะเกมส์มีการเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นสิ่งที่มีมากกว่าคือเทคนิกและวิชาการ แต่เขาไม่มีอะไรที่ว่ามาเลยสักนิด “ผมคิดจริงๆนะว่าการที่คุณจะกลายเป็นผู้จัดการที่เยี่ยมยอดได้ไม่ใช่เพราะคุณเรียนรู้มันอย่างมากมาย แต่มันเป็นพรสวรรค์” มูรินโญกล่าวปิดท้าย
Cr.http://www.mrporter.com/journal/the-look/mr-jos-mourinho/300
เห็นบทความน่าสนใจเลยแปลมาลงค่ะ แปลไม่ดีตรงไหนก็ขอโทษด้วยเน่อ