The Avengers คือการเล่าว่าพวกเขามารวมกันได้ยังไง มันก็เป็นการเล่าที่อุดมไปด้วความบันเทิง เสียงหัวเราะ และจบลงด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ไม่แปลกที่หลายคนเข้าไปดูภาคต่ออย่าง
Avengers: Age of Ultron จะคาดหวังแบบเดียวกัน แล้วบ่นว่าผิดหวัง เพราะในรูปโฉมที่คุ้นตา แต่ภายในนั้นไม่ใช่สิ่งเดิม เพราะเขาเลือกจะเจาะลึกลงไปในตัวละครและความสัมพันธ์
ซึ่งมันออกมาดีมาก โดยเฉพาะ Hawkeye ที่โดดเด่นอย่างที่เราไม่รู้สึกว่าฝืนดันขึ้นมา และพาเราไปผจญภัยในขอบเขตที่หนังฮีโร่หลายเรื่องไม่มีโอกาสได้ไปถึง ความสัมพันธ์ที่บางอย่างที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในทีมด้วยกัน นอกจากส่งเสริมให้ตัวละครน่าเอาใจช่วยมากขึ้น ก็ยังทำให้เรามองเห็นสิ่งที่เขารู้สึกกับตัวเอง การตีความตัวละครใหม่ทั้งฝาแฝดนรกแตก ที่คนนึงเร็ว คนนึงหลอน วายร้าย Ultron หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์อีกตนนึงอย่าง Vision ก็ถูกตีความออกมาได้ต่างจากหนังหลายร้อยเรื่องที่เราได้เคยดูมา แล้วเมื่อทั้งหมดมาเผชิญหน้ากัน มันก็ทำให้เราตื่นเต้นที่ได้เห็นบุคลิกเหล่านี้ปะทะกัน
ฮีโร่ทำตัวเป็นสมชื่อฮีโร่ สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆคือช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่แค่อัดวายร้ายยับ (บางทีอาจต้องขอบใจ Man of Steel ที่ทำให้เห็นว่าการสู้วายร้ายจนบ้านเมืองพังพินาศนั้นทำให้ตัวเอกดูโง่แค่ไหน) พลังที่ถูกใช้เพื่อทำลายในหนังภาคก่อนเราได้เห็นมันถูกใช้เพื่อรักษาชีวิตผู้คน ซึ่งเชื่อว่าพอหนังหลุดมือจากผู้กำกับ Joss Whedon ไอ้ส่วนตรงนี้ก็อาจจะหายไปด้วย
และนั้นแหละคือทั้งหมดที่ผมชอบ ที่เหลือ คือความอลม่าน ฉากแอ็คชั่นนั้นยังพอใช้ แต่เป็นอะไรที่เริ่มซ้ำซาก ซึ่งก็เข้าใจว่ามันยากเหลือเกินที่จะเอาชนะครั้งแรกที่เราเห็นพวกเขา รวมถึงความพยายามที่จะเล่นบทเป็นหนังเชื่อมต่อไปยังหนังเรื่องต่อไป อย่าเข้าใจผมผิด ผมรักจักรวาลที่เชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน
แต่ผมรู้สึกว่าถ้าหนังมุ่งโฟกัสไปที่จุดเดียว อย่างเดียวที่อยากจะเล่า มันอาจทำให้หลายฉากมเศร้าได้มากกว่านี้ ทำให้เรารู้สึกได้มากกว่านี้ ทำให้เราเข้าใจความลักลั่นย้อนแย้งของเรื่องราวได้มากกว่านี้ เราเห็นศักยภาพนั้นแต่มันดันไม่มีโอกาสได้เปล่งประกาย เหมือนอัญมณีที่ถูกกักเก็บในกล่องพลาสติกใส เราเห็นมันอยู่ด้านใน แต่ก็ไม่อาจเปล่งแสงแสดงความงดงามที่แท้จริงของมันออกมา
[CR] [Review] Avengers: Age of Ultron – อัญมณีในกล่องพลาสติก
The Avengers คือการเล่าว่าพวกเขามารวมกันได้ยังไง มันก็เป็นการเล่าที่อุดมไปด้วความบันเทิง เสียงหัวเราะ และจบลงด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ไม่แปลกที่หลายคนเข้าไปดูภาคต่ออย่าง Avengers: Age of Ultron จะคาดหวังแบบเดียวกัน แล้วบ่นว่าผิดหวัง เพราะในรูปโฉมที่คุ้นตา แต่ภายในนั้นไม่ใช่สิ่งเดิม เพราะเขาเลือกจะเจาะลึกลงไปในตัวละครและความสัมพันธ์
ซึ่งมันออกมาดีมาก โดยเฉพาะ Hawkeye ที่โดดเด่นอย่างที่เราไม่รู้สึกว่าฝืนดันขึ้นมา และพาเราไปผจญภัยในขอบเขตที่หนังฮีโร่หลายเรื่องไม่มีโอกาสได้ไปถึง ความสัมพันธ์ที่บางอย่างที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในทีมด้วยกัน นอกจากส่งเสริมให้ตัวละครน่าเอาใจช่วยมากขึ้น ก็ยังทำให้เรามองเห็นสิ่งที่เขารู้สึกกับตัวเอง การตีความตัวละครใหม่ทั้งฝาแฝดนรกแตก ที่คนนึงเร็ว คนนึงหลอน วายร้าย Ultron หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์อีกตนนึงอย่าง Vision ก็ถูกตีความออกมาได้ต่างจากหนังหลายร้อยเรื่องที่เราได้เคยดูมา แล้วเมื่อทั้งหมดมาเผชิญหน้ากัน มันก็ทำให้เราตื่นเต้นที่ได้เห็นบุคลิกเหล่านี้ปะทะกัน
ฮีโร่ทำตัวเป็นสมชื่อฮีโร่ สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆคือช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่แค่อัดวายร้ายยับ (บางทีอาจต้องขอบใจ Man of Steel ที่ทำให้เห็นว่าการสู้วายร้ายจนบ้านเมืองพังพินาศนั้นทำให้ตัวเอกดูโง่แค่ไหน) พลังที่ถูกใช้เพื่อทำลายในหนังภาคก่อนเราได้เห็นมันถูกใช้เพื่อรักษาชีวิตผู้คน ซึ่งเชื่อว่าพอหนังหลุดมือจากผู้กำกับ Joss Whedon ไอ้ส่วนตรงนี้ก็อาจจะหายไปด้วย
และนั้นแหละคือทั้งหมดที่ผมชอบ ที่เหลือ คือความอลม่าน ฉากแอ็คชั่นนั้นยังพอใช้ แต่เป็นอะไรที่เริ่มซ้ำซาก ซึ่งก็เข้าใจว่ามันยากเหลือเกินที่จะเอาชนะครั้งแรกที่เราเห็นพวกเขา รวมถึงความพยายามที่จะเล่นบทเป็นหนังเชื่อมต่อไปยังหนังเรื่องต่อไป อย่าเข้าใจผมผิด ผมรักจักรวาลที่เชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน แต่ผมรู้สึกว่าถ้าหนังมุ่งโฟกัสไปที่จุดเดียว อย่างเดียวที่อยากจะเล่า มันอาจทำให้หลายฉากมเศร้าได้มากกว่านี้ ทำให้เรารู้สึกได้มากกว่านี้ ทำให้เราเข้าใจความลักลั่นย้อนแย้งของเรื่องราวได้มากกว่านี้ เราเห็นศักยภาพนั้นแต่มันดันไม่มีโอกาสได้เปล่งประกาย เหมือนอัญมณีที่ถูกกักเก็บในกล่องพลาสติกใส เราเห็นมันอยู่ด้านใน แต่ก็ไม่อาจเปล่งแสงแสดงความงดงามที่แท้จริงของมันออกมา