เช้าวันปกติของผมเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 8 โมงของทุกวัน ตารางของวันนี้คือการเคลียร์แบบบ้านหลังหนึ่งให้เสร็จภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ แต่เมื่อเริ่มนั่งโต๊ะ ความคิดจากการคิดแบบเมื่อคืนยังคงฟุ้งกระจายในหัว มันคงต้องการการตกตะกอนในความคิด เปิดหน้าเฟสบุ๊คเพื่อเช็คข้อความต่างๆ และก็เหลือบไปเห็นข้อความว่า “งานสถาปนิก 58 ตัวตน คนไทย 28 เม.ย. – 3 พ.ค.” อื้มมม... นี่อาจไม่ใช่เวลามานั่งเทียนคิดแบบกับตัวเอง การออกไปหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีนะ...
ผมมาถึงที่งานประมาณบ่ายโมง วนหาที่จอดรถยากอยู่เพราะวันนี้เป็นวันเปิดงานวันแรก ในที่สุด ผมก็ได้ที่จอดหลังจากวนมาเกือบครึ่งชั่วโมง ==
“ตัวตน คนไทย” คือแนวคิดหลักของงานในปีนี้ ว่าด้วยเรื่องการกลับมาหันมองตัวเอง เหมือนการส่องกระจกเงาและและถามตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราคือใคร เราต้องการความเป็นไทยจริงๆ ไหม ความเป็นไทยดูเหมือนจับต้องยาก ความคิดและทัศนคติต่างๆ จากเหล่าสถาปนิกชั้นนำของไทย ได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านงานสถาปัตยกรรมของพวกเขา เขาอาจไม่ได้บอกเราแบบตรงไปตรงมาว่าอะไรผิดหรือถูก นั่นคือสิ่งที่เราคนไทยต้องนำไปคิดต่อ ยิ่งใกล้ AEC เข้ามาทุกวัน ความเป็นไทย จะเป็นจุดแข็ง หรือจุดอ่อน อันนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ
ภายในงานแบ่งออกเป็นพื้นที่จัดแสดง 2 ส่วนหลัก คือส่วนของงานออกแบบ ผลงานสถาปนิก และนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับ แนวคิดหลักของงาน อีกส่วนหนึ่งคือบูธผู้ค้าทั้งวัสดุก่อสร้าง บริษัทออกแบบ และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าครบวงจรในการหาข้อมูลในการสร้างบ้านสักหลังครับ
ด้านหน้าฮอลล์จะเป็นส่วนแสดงงานนิทรรศการของงานวิจัยของเหล่าอาจารย์สถาปัตยกรรมและมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งงานสถาปัตยกรรมอนุรักษ์ งานที่ได้รางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น งานออกแบบเพื่อคนพิการ ผู้สูงอายุ หรือ Universal Design เมื่อเดินดูผลงานบริเวณนี้ ก็รู้สึกได้ว่า สถาปนิกไทยนั้นเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว งานอาคารเก่าบางหลังนั้นดูสวยงามไร้กาลเวลา เหล่าสถาปนิกรุ่นใหม่ต้องทำงานให้ได้เหมือนเขาเหล่านี้
เข้ามาที่ด้านในฮอลล์ จะพบกับนิทรรศการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษาในปี 2558 สมาคมสถาปนิกสยามฯ ได้จัดนิทรรศการ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ “ผ่านพระเนตร” (Through HRH Sirinthron’s eyes) ขึ้น โดยนิทรรศการดังกล่าวจะเป็นการแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม และคนไทย ผ่านสายพระเนตร ทั้งภาพผู้คน งานสถาปัตยกรรม และทิวทัศน์ต่างๆ ทำให้ผมเชื่อว่าท่านทรงมีมุมมองที่งดงามต่อประเทศนี้อย่างไร ภาพบางภาพดูเหมือนช่างภาพมืออาชีพเป็นผู้ถ่าย แต่ไม่เลย ภาพทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของ “พระเทพฯ” ของเราเอง เมื่อดูจบ ผมนี่อยากหยิบกล้องขึ้นมาฝึกถ่ายให้สวยเหมือนท่านบ้าง
ถัดเข้ามาเป็นส่วนของพื้นที่จัดแสดงส่วนกลางที่ใช้ชื่อว่า “อาษาพาวิเลียน”
เป็นทั้งพื้นที่จัดแสดงงานนิทรรศการสถาปนิก 100 selected projects, นิทรรศการนิสิต-นักศึกษา (99 ผลงานจาก 33 สถาบันการศึกษา), นิทรรศการสถาปนิกไทยที่สร้างชื่อเสียงในเวทีโลก, นิทรรศการสถาปนิกเอเชีย, นิทรรศการ 17|80 จาก | เส้น | สู่ | สร้าง, นิทรรศการศิลปินรางวัลศิลปาธร, นิทรรศการ Universal Design, นิทรรศการสมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย (Thai Urban Designers Assosiation), นิทรรศการสถาปนิกชุมชน คนรุ่นใหม่ (Community Architect + Youth) นิทรรศการอาษาอนุรักษ์ (ASA Conservation) นิทรรศการโรงเรียนพอดีพอดี ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในจังหวัดเชียงราย นิทรรศการผลงานการประกวดแบบในระดับนานาชาติ ASA International Design Competition “Density|DenseCity” โดยพื้นที่ส่วนนี้มีแนวคิดในการออกแบบคือ การนำลวดลายงานหัตถศิลป์ของช่างสิบหมู่ไทย มาเป็นต้นแบบในการออกแบบนั่นเอง
นิทรรศการสถาปนิก 100 selected projects คืองานออกแบบทั้งหมด 100 ชิ้นงาน จากสถาปนิกไทยหลากบริษัท ที่ถูกคัดเลือกมาแล้วว่าคู่ควรของไทยในช่วงเวลานี้ อีกทั้งยังเป็นงานที่แสดงถึงความเป็น “ตัวตนคนไทย” ได้ดีที่สุด เพื่อบอกให้โลกได้รู้ถึงศักยภาพและตัวตนของสถาปนิกไทย
ผลงานหนึ่งที่สะดุดตามากเมื่อเดินเข้ามาคืองานของ SUPERMACHINE งานนี้มีชื่อว่า The Labyrinth ผมรู้สึกคุ้นตากับรูปแบบสถาปัตยกรรมนี้มาก และเมื่อค้นดูก็พบว่า มันคือส่วนหนึ่งในโครงการ A Place We Stand Showcase เกิดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ที่ “ตราช้าง” แบรนด์ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างที่อยู่คู่สังคมไทยมานานมาก โดยร่วมมือกับ 3 สถาปนิกชั้นนำของไทยในการออกแบบแลนด์มาร์คแห่งใหม่ให้เกิดขึ้นบนหาดบางแสน ใช้คอนเซ็ปต์ “สถาปัตยกรรมเพื่อชุมชน” แต่ตัวชิ้นงานนี้ถูกต่อยอด ความคิดให้กลายเป็น Calorie Tower เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่เหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่า โดยมีแนวคิดเรื่องการอยากให้คนใช้ชีวิตที่มีการเคลื่อนไหว มากกว่าการมองจอโทรศัพท์ การใช้งานง่ายๆ คือ เดินขึ้นเดินลง หรือจะให้เด็กมาเล่นซ่อนหากันก็ได้ นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย
โมเดลสุดยอดพลังของ บริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค จำกัด และอาคารที่สูงที่สุดในเมืองไทยและอาเซียนหากสร้างเสร็จ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ออกแบบโดยบริษัท สถาปนิก 49 จำกัด เห็นแล้วอึ้ง เราตัดโมเดลได้สักครึ่งหนึ่งของเขาก็คงจะดี
จริงๆแล้ววันนี้ตั้งใจมาอัพเดทวัสดุก่อสร้างใหม่ๆให้เต็มที่ เดินไปจนทั่วก็พบว่าปีนี้มีผู้ค้ามาออกบูธมากมายอยู่ครับ ทั้งอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง ทั้งการบริการออกแบบก่อสร้างบ้าน วัสดุตกแต่งภายใน และเฟอร์นิเจอร์ทั้งในและตกแต่งสวน เรามาเริ่มด้วยอุปกรณ์ฟิตติ้งภายในบ้าน ไม่ว่าจะบานพับ มือจับ รางเลื่อนต่างๆ ของ Häfele เป็นที่รู้จักกันดีของเหล่านักออกแบบ การมาเห็นสินค้าตัวจริงนั้นเป็นประโยชน์มากๆ เพราะหลายครั้งที่เราไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์เหล่านี้ การมาเห็นของจริงจึงช่วยให้เรานำไปออกแบบต่อ หรือนำไปเสนอลูกค้าได้อย่างเหมาะสม บูธสีแดงโดดเด่นและจัดแสดงงานได้ครบถ้วนดีครับ
TOA กับบูธที่ดูน่าตื่นตาดีครับ แนวคิดคือ Nowand Wow color rebound เป็นพายุแห่งสีสันที่พัดพาไอเดียมาฝากผู้ที่เข้ามาชมภายในงาน จุดเด่นอย่างหนึ่งที่สำคัญคือการสามารถผสมเฉดสีที่เราต้องการได้ และได้เฉดสีที่เท่ากัน แม้จะต้องการใช้สีในปริมาณมากแค่ไหน เพราะ TOA มีเทคโนโลยีในการผสมสีที่มีมาตรฐานมากครับ
ในการมางานสถาปนิกครั้งนี้ รู้สึกได้ว่ามีบริษัทต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจมากขึ้นจริงๆ ทั้งประเทศจากฝั่งตะวันตก และจากเอเชียของเราเองก็จะมีชาวจีนเข้ามามากขึ้น หลายแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรนัก แต่จากการดูวัสดุที่นำมาแสดงนั้นก็ค่อนข้างมีคุณภาพทีเดียวครับ เช่นในส่วนของกระเบื้องยางจาก HI-MACS เป็นกระเบื้องยางลายไม้ที่ดูเหมือนไม้มาก หรือจะเป็นผนังหินเทียมก็ดูดีไม่แพ้กัน
ต่อที่บูธของ SCG ซึ่งมาวัสดุใหม่ค่อนข้างเยอะ บางชิ้นยังไม่ได้วางจำหน่าย เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อจะได้เลือกใช้ได้ในอนาคต ว่าแล้วก็เข้าไปชมข้างในเลยดีกว่า
เมื่อเข้ามาก็พบกับ บลูม - Bloom เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ โดยใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ของเอสซีจีมาออกแบบและผลิตเป็นชิ้นงาน ดูน่าตื่นเต้นดี และผลงานนี้ยังเป็นการร่วมมือระหว่างคนไทยและมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ด้วย
สำหรับสถาปนิกที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการตกแต่งภายในเท่าใดนัก บริเวณนี้คือว่าให้แรงบันดาลใจได้ดีมาก เพราะในส่วนของ Beautifil Bathroom by COTTO มีการออกแบบตกแต่งห้องน้ำหลากหลายสไตล์ให้ได้เห็นภาพกันจริงๆ เช่นห้องน้ำสไตล์คลาสสิคนี้มีการตกแต่งด้วยโทนสีขาว มีการตกแต่งด้วยบัว คิ้วรอบห้อง ที่ขาดไม่ได้คือฝ้าหลุม และสุขภัณฑ์ก็ช่วยเสริมให้ห้องน้ำนี้เข้าถึงสไตล์คลาสสิคได้สุดทาง สุขภัณฑ์ที่เห็นไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้า โถ และอ่างอาบน้ำ เป็นสินค้าใหม่จาก COTTO ชื่อว่ารุ่น GESSI ซึ่งมีรูปแบบค่อนไปทางสไตล์คลาสสิค คือมีความโค้งมน มีขอบ มีคิ้ว ดูน่ารักดีครับ
ถัดมา จะเรียกว่าเป็นห้องน้ำไฮเทคก็ว่าได้ สำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบายแบบรื่นรมย์ การตกแต่งก็ใช้ไฟ LED ช่วยให้ห้องดูทันสมัย และโทนสีฟ้า ม่วง ก็สื่อถึงความล้ำสมัยได้ดี
นอกจากการตกแต่งที่ดูทันสมัยแล้ว สุขภัณฑ์ก็ไฮโซไม่แพ้กัน ชุดสุขภัณฑ์นี้ชื่อว่า TUNIO ประกอบด้วยก๊อก โถสุขภัณฑ์ และชาวเวอร์ ทั้ง 3 ตัวนี้ออกแบบและติดตั้งระบบอัตโนมัติเข้าไป เช่นก๊อกน้ำสามารถเล่นเพลงจากสมาร์ทโฟน หรือ mp3 ได้ โถสุขภัณฑ์ที่มีระบบชำระล้างอัตโนมัติ มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่แบ่งแยกตามประเภทผู้ใช้งาน ทั้งเด็ก และผู้สูงอายุ ส่วนชาวเวอร์นั้นก็สามารถควบคุมได้ด้วยระบบทัชสกรีน ปรับแรงดันน้ำ แบบของน้ำได้อย่างสะดวกสบาย ห้องนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบอะไรล้ำสมัยครับ
GEOLUXE อีกแบรนด์ สินค้าใหม่ ของ SCG เป็นหินนำเข้าจากต่างประเทศที่มีชื่อว่า Pyrolithic Stone เป็นหินที่มีความแข็งแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก นำมาผ่านกระบวนการหลอมและขึ้นรูปใหม่ให้เกิดความทนทานมากยิ่งขึ้น หินแท้ 100 % นี้จึงมีลวดลายเฉพาะตัว ตอนนี้มีให้เลือก 2 โทนสีด้วยกันคือ PALIZZA สีอ่อน และ ERAMO สีเข้ม เห็นแล้วผมนึกถึงภาพของห้องครัวสไตล์โมเดิร์นที่มีฝ้าสูง โล่งๆ และมีท็อปเคาท์เตอร์ของส่วนเตรียมอาคารลายหินที่ไม่มีรอยต่อของแผ่นเลย น่าจะเป็นห้องครัวที่สวยที่สุดห้องนึงเลย
เมื่อคิดถึงท๊อปครัว หรือเคาท์เตอร์ที่มีขนาดใหญ่ไร้รอยต่อ ผมก็ต้องอึ้งกับกระเบื้องนี้ที่ชื่อว่า COTTO GRANDE ที่มีขนาดใหญ่มากๆ ใหญ่ขนาดที่ว่าปูท๊อปครัวได้สบายๆในแผ่นเดียว เพราะมันมีขนาด 1.6 x 3.2 เมตร ขึ้นชื่อว่าทำท๊อปแล้ว กระเบื้องนี้จะถูกผลิตมาให้แข็งแรงกว่ากระเบื้องทั่วไป ให้สามารถทนทานต่อแรงกระแทก และดูดซึมน้ำน้อย ส่วนโทนสีนั้นมีหลากหลายตามความต้องการและสไตล์การตกแต่ง ที่น่าสนใจคือมันคือกระเบื้อง แต่ดูแล้วเหมือนหิน ซึ่งความเป็นหินนั้นจะมีความเป็นธรรมชาติที่มีจุดอ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาที่มากกว่ากระเบื้อง ความเปราะ และราคาที่สูงกว่า หากทำกระเบื้องที่ทนทานและขนาดใหญ่ปูแล้วเหมือนหินได้ ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ
.... (ตอน 2 อ่านต่อที่นี่นะครับ
http://ppantip.com/topic/33588082)
งานสถาปนิก 58 วัสดุใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ ไปเดินเก็บความรู้กัน (ตอน 1/2)
ผมมาถึงที่งานประมาณบ่ายโมง วนหาที่จอดรถยากอยู่เพราะวันนี้เป็นวันเปิดงานวันแรก ในที่สุด ผมก็ได้ที่จอดหลังจากวนมาเกือบครึ่งชั่วโมง ==
“ตัวตน คนไทย” คือแนวคิดหลักของงานในปีนี้ ว่าด้วยเรื่องการกลับมาหันมองตัวเอง เหมือนการส่องกระจกเงาและและถามตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราคือใคร เราต้องการความเป็นไทยจริงๆ ไหม ความเป็นไทยดูเหมือนจับต้องยาก ความคิดและทัศนคติต่างๆ จากเหล่าสถาปนิกชั้นนำของไทย ได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านงานสถาปัตยกรรมของพวกเขา เขาอาจไม่ได้บอกเราแบบตรงไปตรงมาว่าอะไรผิดหรือถูก นั่นคือสิ่งที่เราคนไทยต้องนำไปคิดต่อ ยิ่งใกล้ AEC เข้ามาทุกวัน ความเป็นไทย จะเป็นจุดแข็ง หรือจุดอ่อน อันนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ
ภายในงานแบ่งออกเป็นพื้นที่จัดแสดง 2 ส่วนหลัก คือส่วนของงานออกแบบ ผลงานสถาปนิก และนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับ แนวคิดหลักของงาน อีกส่วนหนึ่งคือบูธผู้ค้าทั้งวัสดุก่อสร้าง บริษัทออกแบบ และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าครบวงจรในการหาข้อมูลในการสร้างบ้านสักหลังครับ
ด้านหน้าฮอลล์จะเป็นส่วนแสดงงานนิทรรศการของงานวิจัยของเหล่าอาจารย์สถาปัตยกรรมและมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งงานสถาปัตยกรรมอนุรักษ์ งานที่ได้รางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น งานออกแบบเพื่อคนพิการ ผู้สูงอายุ หรือ Universal Design เมื่อเดินดูผลงานบริเวณนี้ ก็รู้สึกได้ว่า สถาปนิกไทยนั้นเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว งานอาคารเก่าบางหลังนั้นดูสวยงามไร้กาลเวลา เหล่าสถาปนิกรุ่นใหม่ต้องทำงานให้ได้เหมือนเขาเหล่านี้
เข้ามาที่ด้านในฮอลล์ จะพบกับนิทรรศการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษาในปี 2558 สมาคมสถาปนิกสยามฯ ได้จัดนิทรรศการ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ “ผ่านพระเนตร” (Through HRH Sirinthron’s eyes) ขึ้น โดยนิทรรศการดังกล่าวจะเป็นการแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม และคนไทย ผ่านสายพระเนตร ทั้งภาพผู้คน งานสถาปัตยกรรม และทิวทัศน์ต่างๆ ทำให้ผมเชื่อว่าท่านทรงมีมุมมองที่งดงามต่อประเทศนี้อย่างไร ภาพบางภาพดูเหมือนช่างภาพมืออาชีพเป็นผู้ถ่าย แต่ไม่เลย ภาพทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของ “พระเทพฯ” ของเราเอง เมื่อดูจบ ผมนี่อยากหยิบกล้องขึ้นมาฝึกถ่ายให้สวยเหมือนท่านบ้าง
ถัดเข้ามาเป็นส่วนของพื้นที่จัดแสดงส่วนกลางที่ใช้ชื่อว่า “อาษาพาวิเลียน”
เป็นทั้งพื้นที่จัดแสดงงานนิทรรศการสถาปนิก 100 selected projects, นิทรรศการนิสิต-นักศึกษา (99 ผลงานจาก 33 สถาบันการศึกษา), นิทรรศการสถาปนิกไทยที่สร้างชื่อเสียงในเวทีโลก, นิทรรศการสถาปนิกเอเชีย, นิทรรศการ 17|80 จาก | เส้น | สู่ | สร้าง, นิทรรศการศิลปินรางวัลศิลปาธร, นิทรรศการ Universal Design, นิทรรศการสมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย (Thai Urban Designers Assosiation), นิทรรศการสถาปนิกชุมชน คนรุ่นใหม่ (Community Architect + Youth) นิทรรศการอาษาอนุรักษ์ (ASA Conservation) นิทรรศการโรงเรียนพอดีพอดี ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในจังหวัดเชียงราย นิทรรศการผลงานการประกวดแบบในระดับนานาชาติ ASA International Design Competition “Density|DenseCity” โดยพื้นที่ส่วนนี้มีแนวคิดในการออกแบบคือ การนำลวดลายงานหัตถศิลป์ของช่างสิบหมู่ไทย มาเป็นต้นแบบในการออกแบบนั่นเอง
นิทรรศการสถาปนิก 100 selected projects คืองานออกแบบทั้งหมด 100 ชิ้นงาน จากสถาปนิกไทยหลากบริษัท ที่ถูกคัดเลือกมาแล้วว่าคู่ควรของไทยในช่วงเวลานี้ อีกทั้งยังเป็นงานที่แสดงถึงความเป็น “ตัวตนคนไทย” ได้ดีที่สุด เพื่อบอกให้โลกได้รู้ถึงศักยภาพและตัวตนของสถาปนิกไทย
ผลงานหนึ่งที่สะดุดตามากเมื่อเดินเข้ามาคืองานของ SUPERMACHINE งานนี้มีชื่อว่า The Labyrinth ผมรู้สึกคุ้นตากับรูปแบบสถาปัตยกรรมนี้มาก และเมื่อค้นดูก็พบว่า มันคือส่วนหนึ่งในโครงการ A Place We Stand Showcase เกิดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ที่ “ตราช้าง” แบรนด์ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างที่อยู่คู่สังคมไทยมานานมาก โดยร่วมมือกับ 3 สถาปนิกชั้นนำของไทยในการออกแบบแลนด์มาร์คแห่งใหม่ให้เกิดขึ้นบนหาดบางแสน ใช้คอนเซ็ปต์ “สถาปัตยกรรมเพื่อชุมชน” แต่ตัวชิ้นงานนี้ถูกต่อยอด ความคิดให้กลายเป็น Calorie Tower เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่เหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่า โดยมีแนวคิดเรื่องการอยากให้คนใช้ชีวิตที่มีการเคลื่อนไหว มากกว่าการมองจอโทรศัพท์ การใช้งานง่ายๆ คือ เดินขึ้นเดินลง หรือจะให้เด็กมาเล่นซ่อนหากันก็ได้ นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย
โมเดลสุดยอดพลังของ บริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค จำกัด และอาคารที่สูงที่สุดในเมืองไทยและอาเซียนหากสร้างเสร็จ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ออกแบบโดยบริษัท สถาปนิก 49 จำกัด เห็นแล้วอึ้ง เราตัดโมเดลได้สักครึ่งหนึ่งของเขาก็คงจะดี
จริงๆแล้ววันนี้ตั้งใจมาอัพเดทวัสดุก่อสร้างใหม่ๆให้เต็มที่ เดินไปจนทั่วก็พบว่าปีนี้มีผู้ค้ามาออกบูธมากมายอยู่ครับ ทั้งอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้าง ทั้งการบริการออกแบบก่อสร้างบ้าน วัสดุตกแต่งภายใน และเฟอร์นิเจอร์ทั้งในและตกแต่งสวน เรามาเริ่มด้วยอุปกรณ์ฟิตติ้งภายในบ้าน ไม่ว่าจะบานพับ มือจับ รางเลื่อนต่างๆ ของ Häfele เป็นที่รู้จักกันดีของเหล่านักออกแบบ การมาเห็นสินค้าตัวจริงนั้นเป็นประโยชน์มากๆ เพราะหลายครั้งที่เราไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์เหล่านี้ การมาเห็นของจริงจึงช่วยให้เรานำไปออกแบบต่อ หรือนำไปเสนอลูกค้าได้อย่างเหมาะสม บูธสีแดงโดดเด่นและจัดแสดงงานได้ครบถ้วนดีครับ
TOA กับบูธที่ดูน่าตื่นตาดีครับ แนวคิดคือ Nowand Wow color rebound เป็นพายุแห่งสีสันที่พัดพาไอเดียมาฝากผู้ที่เข้ามาชมภายในงาน จุดเด่นอย่างหนึ่งที่สำคัญคือการสามารถผสมเฉดสีที่เราต้องการได้ และได้เฉดสีที่เท่ากัน แม้จะต้องการใช้สีในปริมาณมากแค่ไหน เพราะ TOA มีเทคโนโลยีในการผสมสีที่มีมาตรฐานมากครับ
ในการมางานสถาปนิกครั้งนี้ รู้สึกได้ว่ามีบริษัทต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจมากขึ้นจริงๆ ทั้งประเทศจากฝั่งตะวันตก และจากเอเชียของเราเองก็จะมีชาวจีนเข้ามามากขึ้น หลายแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรนัก แต่จากการดูวัสดุที่นำมาแสดงนั้นก็ค่อนข้างมีคุณภาพทีเดียวครับ เช่นในส่วนของกระเบื้องยางจาก HI-MACS เป็นกระเบื้องยางลายไม้ที่ดูเหมือนไม้มาก หรือจะเป็นผนังหินเทียมก็ดูดีไม่แพ้กัน
ต่อที่บูธของ SCG ซึ่งมาวัสดุใหม่ค่อนข้างเยอะ บางชิ้นยังไม่ได้วางจำหน่าย เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อจะได้เลือกใช้ได้ในอนาคต ว่าแล้วก็เข้าไปชมข้างในเลยดีกว่า
เมื่อเข้ามาก็พบกับ บลูม - Bloom เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ โดยใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ของเอสซีจีมาออกแบบและผลิตเป็นชิ้นงาน ดูน่าตื่นเต้นดี และผลงานนี้ยังเป็นการร่วมมือระหว่างคนไทยและมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ด้วย
สำหรับสถาปนิกที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการตกแต่งภายในเท่าใดนัก บริเวณนี้คือว่าให้แรงบันดาลใจได้ดีมาก เพราะในส่วนของ Beautifil Bathroom by COTTO มีการออกแบบตกแต่งห้องน้ำหลากหลายสไตล์ให้ได้เห็นภาพกันจริงๆ เช่นห้องน้ำสไตล์คลาสสิคนี้มีการตกแต่งด้วยโทนสีขาว มีการตกแต่งด้วยบัว คิ้วรอบห้อง ที่ขาดไม่ได้คือฝ้าหลุม และสุขภัณฑ์ก็ช่วยเสริมให้ห้องน้ำนี้เข้าถึงสไตล์คลาสสิคได้สุดทาง สุขภัณฑ์ที่เห็นไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้า โถ และอ่างอาบน้ำ เป็นสินค้าใหม่จาก COTTO ชื่อว่ารุ่น GESSI ซึ่งมีรูปแบบค่อนไปทางสไตล์คลาสสิค คือมีความโค้งมน มีขอบ มีคิ้ว ดูน่ารักดีครับ
ถัดมา จะเรียกว่าเป็นห้องน้ำไฮเทคก็ว่าได้ สำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบายแบบรื่นรมย์ การตกแต่งก็ใช้ไฟ LED ช่วยให้ห้องดูทันสมัย และโทนสีฟ้า ม่วง ก็สื่อถึงความล้ำสมัยได้ดี
นอกจากการตกแต่งที่ดูทันสมัยแล้ว สุขภัณฑ์ก็ไฮโซไม่แพ้กัน ชุดสุขภัณฑ์นี้ชื่อว่า TUNIO ประกอบด้วยก๊อก โถสุขภัณฑ์ และชาวเวอร์ ทั้ง 3 ตัวนี้ออกแบบและติดตั้งระบบอัตโนมัติเข้าไป เช่นก๊อกน้ำสามารถเล่นเพลงจากสมาร์ทโฟน หรือ mp3 ได้ โถสุขภัณฑ์ที่มีระบบชำระล้างอัตโนมัติ มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่แบ่งแยกตามประเภทผู้ใช้งาน ทั้งเด็ก และผู้สูงอายุ ส่วนชาวเวอร์นั้นก็สามารถควบคุมได้ด้วยระบบทัชสกรีน ปรับแรงดันน้ำ แบบของน้ำได้อย่างสะดวกสบาย ห้องนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบอะไรล้ำสมัยครับ
GEOLUXE อีกแบรนด์ สินค้าใหม่ ของ SCG เป็นหินนำเข้าจากต่างประเทศที่มีชื่อว่า Pyrolithic Stone เป็นหินที่มีความแข็งแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก นำมาผ่านกระบวนการหลอมและขึ้นรูปใหม่ให้เกิดความทนทานมากยิ่งขึ้น หินแท้ 100 % นี้จึงมีลวดลายเฉพาะตัว ตอนนี้มีให้เลือก 2 โทนสีด้วยกันคือ PALIZZA สีอ่อน และ ERAMO สีเข้ม เห็นแล้วผมนึกถึงภาพของห้องครัวสไตล์โมเดิร์นที่มีฝ้าสูง โล่งๆ และมีท็อปเคาท์เตอร์ของส่วนเตรียมอาคารลายหินที่ไม่มีรอยต่อของแผ่นเลย น่าจะเป็นห้องครัวที่สวยที่สุดห้องนึงเลย
เมื่อคิดถึงท๊อปครัว หรือเคาท์เตอร์ที่มีขนาดใหญ่ไร้รอยต่อ ผมก็ต้องอึ้งกับกระเบื้องนี้ที่ชื่อว่า COTTO GRANDE ที่มีขนาดใหญ่มากๆ ใหญ่ขนาดที่ว่าปูท๊อปครัวได้สบายๆในแผ่นเดียว เพราะมันมีขนาด 1.6 x 3.2 เมตร ขึ้นชื่อว่าทำท๊อปแล้ว กระเบื้องนี้จะถูกผลิตมาให้แข็งแรงกว่ากระเบื้องทั่วไป ให้สามารถทนทานต่อแรงกระแทก และดูดซึมน้ำน้อย ส่วนโทนสีนั้นมีหลากหลายตามความต้องการและสไตล์การตกแต่ง ที่น่าสนใจคือมันคือกระเบื้อง แต่ดูแล้วเหมือนหิน ซึ่งความเป็นหินนั้นจะมีความเป็นธรรมชาติที่มีจุดอ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาที่มากกว่ากระเบื้อง ความเปราะ และราคาที่สูงกว่า หากทำกระเบื้องที่ทนทานและขนาดใหญ่ปูแล้วเหมือนหินได้ ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ
.... (ตอน 2 อ่านต่อที่นี่นะครับ http://ppantip.com/topic/33588082)