รีวิว Skin Trade ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

เมื่อวานมีโอกาสได้ไปดู Skin Trade ที่หลาย ๆ คนไปดูมาและสับเละกันมาแล้ว ส่วนตัวอยากลองพิสูจน์ด้วยตัวเองมากกว่า พอไปดูมาแล้ว ต้องบอกว่านี่ถ้าเชื่อรีวิวที่ผ่าน ๆ มา คงพลาดหนังเรื่องนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

Skin Trade เล่าเรื่อง 2 ตำรวจที่อยู่คนละซีกโลก แต่ทำคดีเดียวกันคือการค้ามนุษย์ ที่แก็งค์ค้ามนุษย์หลอกล่อหญิงสาวไร้เดียงสา ทำให้ติดยา แล้วนำไปขายบำเรอกามให้กับบรรดาเศรษฐี ถ้าผู้หญิงหมดสภาพก็นำไปขายในราคาถูก ๆ บ้างก็ถูกฆ่าตายไปเลยก็มี

ตัวหนังเล่าเรื่องเป็นแบบเส้นตรงไม่ซับซ้อนเข้าใจง่าย ดูแล้วเหมือนหนังบู๊แอ็คชั่นย้อนยุคไปในปี 90 ในยุคที่ CG ไม่ระบาดเท่าทุกวันนี้ ยิ่งมี Hiroyuki Tagawa มาเป็นดารารับเชิญ ทำให้นึกถึงหนังของดอล์ฟ ลันเกรน เรื่อง showdown in little Tokyo ที่ดอล์ฟ ลันเกรนแสดงคู่กับแบรนดอน ลี เป็นเรื่องราวของ 2 นายตำรวจตะลุยแก๊งค์ยากูซ่า ตอนแรกพระเอกทั้งคู่ซัดกันเองด้วยความเข้าใจผิด แต่ก็เข้าใจกันได้ด้วยการร่วมมือกันปราบแก๊งค์ยากูซ่า พล๊อตเรื่องมีส่วนคล้าย ๆ กันอยู่บ้าง

Skin Trade เองก็เช่นเดียวกัน แต่แตกต่างตรงที่ว่าพระเอกทั้งคู่คือนิค รับบทโดยดอล์ฟ ลันเกรน กับโทนี่ วิทยะกุล รับบทโดย จา พนม ขัดแย้งกันยาวนานกว่าและซัดกันอย่างดุเดือดกว่า สุดท้ายก็จบลงด้วยความเข้าใจและมาร่วมมือกันทลายแก๊งค์ค้ามนุษย์ ส่วนรายระเอียดจะเป็นอย่างไรให้ไปติดตามชมกันเอาเอง

คิวบู๊ของเรื่องนี้แม้ไม่ดุเดือดเท่าเรื่ององค์บาก 1 หรือ ต้มยำกุ้ง 1 แต่ดูแล้วสมเหตุสมผลมากกว่า 2 เรื่องแรกเยอะ ตัวจาพนม ถึงเวลาใช้ปืนก็คือใช้ เวลาไม่ใช้ปืนก็มีเหตุผลรองรับว่าทำไมถึงไม่ใช้ปืน ไม่ใช่ไปตะลุยดงผู้ร้ายแล้วไม่ใช้ปืนยิงเลย จะเน้นเตะต่อยอย่างเดียว แตกต่างจากฝ่ายผู้ร้ายที่ขนปืนมาถล่ม ซึ่งมันไม่ใช่อ่ะ และเรื่องนี้จา พนม ไม่ได้เก่งเว่อร์เหมือน องค์บาก 1 กับ ต้มยำกุ้ง 1 มีล้ม มีแพ้ มีเจ็บ ผมชอบฉากที่ซัดกับดอล์ฟ ลันเกรน มากที่สุด ดูแล้วจาคนละไซล์กับดอล์ฟเลย เตะต่อยธรรมดาไม่ชนะคนตัวแบบนั้นได้แน่ ๆ แต่เรื่องนี้จาใช้สมองสู้ด้วยครับ โดยการชิ่งกำแพงแล้วกระโดดตีศอกทิ้งน้ำหนักตัวลงมา เห็นทำหลายทีเลย หลังจากโดนดอล์ฟ ลันเกรนยำ ทำให้รุนแรงกว่าเตะต่อยธรรมดาเยอะ จากที่เคยเป็นรอง ทำให้เป็นฝ่ายสูสี ถึงขั้นเหนือกว่านิด ๆ เลยทีเดียว ผมชอบนะ อ้อ ! มุมกล้องในฉากต่อสู้ก็เห็นชัดดี ไม่ได้ฉายแต่หน้าเหมือนที่รีวิวก่อน ๆ บอกนะครับ ดูรู้เรื่อง เพียงแต่ไม่จะแจ้งเหมือนองค์บาก 1 ก็เท่านั้นเอง เสียดายน่าจะมีฉากโลดโผนของจามากกว่านี้ ตอนที่จาตามจับดอล์ฟ ลันเกรน ดูธรรมดาไปหน่อย ไม่ค่อยโลดโผนเท่าไหร่  แต่ฉากยิงปืนนี่ถือว่าทำมาได้โอเลย ฉากที่จาสู้กับไมเคิล ไจ ไวน์ นี่ก็ทำได้ดีนะ เสียดายจบเร็วไปหน่อย

ฉากดราม่าที่ดอล์ฟ ลันเกรน เสียลูก เสียเมียไป นี่ก็ทำออกมาใช้ได้นะครับ ถือว่าลุงแกยังแสดงได้โอเคอยู่ ยิ่งตอนที่แกไปช่วยผู้หญิงให้รอดจากการค้ามนุษย์ แล้วผู้หญิงที่แกช่วยนั้นส่วนใหญ่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวแก แกมองผู้หญิงเหล่านั้นด้วยสีหน้าแววตาเศร้าสร้อย ด้วยหัวอกคนเป็นพ่อก็ไม่อยากให้ลูกสาวต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ บวกกับตัวผมเองมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ ถ้าลูกผมต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ ผมเองก็คงไม่ยอม และเสียใจมากเช่นกัน ฉากนี้ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ น้ำตาผมคลอขึ้นมาเองเฉยเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวหนังก็ไม่ได้สื่ออะไรมากมาย ไม่ได้บิ้วอารมณ์ให้ขนาดนั้น แต่ด้วยความที่เป็นพ่อคน เลยทำให้เข้าใจตัวละครอย่างนิคเลย ว่ารักลูกสาวแค่ไหน

เรื่องบทว่ากันโดยรวม ๆ ถือว่ามีที่มาที่ไปค่อนข้างชัดเจน ดูรู้เรื่อง ไม่ใช่เจอหน้ากันไม่พูดพล่ามทำเพลงซัดกันอย่างเดียว แบบต้มยำกุ้ง 1 จาพนมมีบทพูดมากกว่าเรื่องอื่น ๆ เยอะครับ ไม่ได้มีแค่อารมณ์โกรธอย่างเดียว แถมมีฉากกุ๊กกิ๊กกะนางเอกอีกต่างหาก ถือว่าเป็นคนธรรมดา ๆ แตกต่างจากพวกต้มยำกุ้งที่หลุดโลก ไม่มีที่มาที่ไป

ถ้าใครเบื่อหนัง CG เยอะ ๆ อยากดูหนังคล้าย ๆ ยุค 90 ก็ต้องเรื่องนี้เลยครับ ไม่เน้น CG เน้นการต่อสู้ดิบ ๆ (ถึงจะดิบไม่สุดก็เถอะนะ) คิวบู๊อาจจะไม่ดีเท่าองค์บาก 1 กับ ต้มยำกุ้ง 1 แต่ตัวหนังเอาภาพรวมดูดีกว่าต้มยำกุ้ง 1 นะครับ ยิ่งต้มยำกุ้ง 2 ไม่ต้องพูดถึง ดีกว่าเยอะแน่นอน ถ้าชอบจาพนมอยากเห็นจาเล่นมากกว่าตามหาช้าง เรื่องนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน

ปล.ผมไปดูเมื่อวานรอบ 15.50 ทั้งโรงมีคนดูแค่ 5 คนเอง ซึ่งน่าเสียดายมาก ๆ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่