บอกก่อน เราไม่ได้มีความรู้ในเรื่องหนังอะไร รีวิวแบบบ้านๆ ตามประสาคนรัก Blake Lively แค่นั้น ใครดูแล้วมาเมาท์กันๆ (พยายามจะไม่สปอยล์นะ)
อันดับแรกถือเป็นการเตือนก่อนเข้าไปชม หนังมีความเป็น conservative สูงมาก ยังไง? คือตัวละครจะมีปมที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยเมื่อเทียบกับเรื่องราวอื่นๆ แต่มองว่าปัญหาของตัวเองนั้นสำคัญที่สุด (ก็แน่นอน) แม้ว่าผู้คนรอบข้างจะอยู่คอยซัพพอร์ทก็ตามที สำหรับคนที่ไม่ชอบหนังแนวๆ ความสุขของกะทิ หรือชอบอะไรที่ถึงใจ ก็ต้องเตรียมใจไว้นิดนึง นอกจากจะเป็นแฟนคลับ Blake Lively หรือ Harrison Ford และหนังยังมีความเป็น biography และ documentary ในสไตล์ Shakespeare คนที่ไม่ชอบหนังแนวนี้อาจมีเอียงคอกลอกตานิดนึง หรือถึงขั้นดูไปบ่นไป
Adaline เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ต้องประสบกับชะตากรรมทางธรรมชาติที่ทำให้เธอ สวยอมตะ ในมุมมองของ Bella Swan สิ่งนี้อาจทำให้นางรู้สึก strong จึงขอให้ Edward กัด (เพื่อที่จะครองรักกันไปตราบชั่วกัลปวสาน โลกแตกแล้วก็ยังขอขึ้นยานอวกาศอพยพไปอยู่ดาว Edmund โลกใบใหม่) แต่สำหรับ Adaline เธอกลับมองว่านี่คือคำสาปที่ทำให้ใจแหลกสลายซ้ำๆ จากการจากไปของสิ่งที่รัก จนกลัวการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่อยู่รอบข้าง (เธอมีความเป็น conservative มาก เธอยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ที่เธอเชื่อว่าดีงาม นั่นจึงทำให้การบอกลาเป็นเรื่องใหญ่ ในเรื่องยังมีเสียดสีคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย ให้พอเข้าใจความรู้สึกของ Adaline ที่มองว่าเสรีภาพนั้นไม่มีอยู่จริงแม้ในประเทศเสรีนิยม และนั่นทำให้เธออยากจะแก่แล้วก็ตายๆ ไปซะ มากกว่าที่จะต้องเหนื่อยปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม) แต่แล้วเธอก็ได้พบกับสิ่งพิเศษที่มาบอกเธอว่า ก็ถ้าหนังเหนียวขนาดนี้ ก็ let go เถอะ ช่างมัน ไม่ต้องไปยึดถืออะไรเลย แล้วชีวิตจะดี (อย่าสวยโสดไปวันๆ รีบหาคนที่จะมาชื่นชมความสวยนั้นและคนที่ยินดีที่จะเด็ดดมจนมันร่วงโรย)
มาถึงเหตุผลว่าทำไมถึงชอบ ต้องบอกก่อนว่าเราชอบ Blake มาก จะอ่านที่เราเขียนอาจต้องฟังหูไว้หูบ้าง เพราะอาจจะมีเอนเอียง แต่นอกเหนือจาก Blake เราชอบดูอะไรฝันๆ สวยๆ และชอบดูหนังที่ dialogue เก๋ เก๋ในที่นี้ไม่ใช่ว่ายัดคำคมเข้ามาไปในหนัง แต่หมายถึงหนังที่ใช้ dialogue อย่างฉลาด ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ดีมากๆ เราจะไม่เห็น dialogue ไหนเลยที่ไร้ค่าในเรื่องนี้ เมื่อเราเข้าใจสิ่งที่มันจะเล่า แม้ว่าตัวหนังจะเล่าไปเรื่อยๆ ด้วยการทิ้งตัวละครไปเรื่อยๆ หรือการเปิดตัวละครใหม่ๆ เข้ามาเรื่อย (ซึ่งอาจทำให้เราเวียนหัว) แต่ dialogue ในเรื่องร้อยเรียงเหตุการณ์ที่ผ่านเลยและเข้ามาใหม่เหล่านั้นเอาไว้อย่างดีงาม เป็นเอกภาพ และไม่ได้ยัดเยียดเกินพอดี (บ้างก็ว่าไม่ใช่ไม่ยัดเยียด แต่ไม่มีอะไรจะมายัดเยียด ก็แล้วแต่ เอาที่สบายใจ) บวกกับมุขลึกเรียบหรูใน dialogue ที่สะดิ้งได้ที่ขนาดที่อยากจะหยิบแก้วไวน์มานั่งจิบสวยๆ ขณะดูหนัง
ส่วนอื่นที่ทำได้ดีและไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือนักแสดงสมทบ อย่าง Ford และ Ellen ที่เล่นเป็นลูก ที่ช่วยขับให้ Adaline และเรื่องราวในเรื่องนั้นสมจริงยิ่งขึ้นอย่างที่เราไม่รู้สึกประดักประเดิดกับความไม่สมจริงอื่นๆ ที่เกิดขึ้น (จริงๆ นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ดีงามหมด และมีความน่ารัก ที่ดูแล้วต้องหัวเราะ ฮี่ๆ แบบผู้ดี)
นอกจากนั้นองค์ประกอบศิลป์ พูดรวมๆ ว่าดีมาก ทั้งภาพ ทั้ง score และ costume เราจะได้ดูได้ฟังอะไรที่งดงามและมีรสนิยมเฉกเช่น Blake Lively ตลอดทั้งเรื่อง (อวยเข้าไป)
ส่วนสุดท้ายอยากพูดถึง Blake บทบาทนี้คนอื่นเล่นแทนเธอไม่ได้จริงๆ ไม่สามารถจินตนาการว่าคนอื่นมาเล่นบทบาทนี้ได้ดีเท่าเธอแม้สักปลายผม และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทบาทนี้จะเปลี่ยนทัศนคติที่ผู้คนคิดว่าเธอคือ Queen S ตัวฉกาจที่ลากแฟนเพื่อนลงไปกินในน้ำหรือยัดโคเคนให้คู่นอนจนถึงแก่ความตายหรือหลอกแฟนเก่ามากินแล้วแอบถ่ายคลิปเอาไว้ฟาดหน้าเพื่อนสุดสนิทที่เป็นแฟนใหม่ของแฟนเก่า หรือยิ้มภูมิใจเมื่อแม่แท้ๆ ยอมก้มหน้ารับกรรมเข้าคุก หรือเปิดนมโชว์บนเรือรบที่เต็มไปด้วยสื่อมวลชนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อ (วีรกรรมเธอเยอะมาก เล่าได้นานกว่านี้อีก)
...ความรักคือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เส้นทางที่เราใช้เดินทางไปตามหามันนั้นก็มักจะน่าหวาดหวั่น และทำให้มองอะไรไม่เห็น เหมือนพายุปกคลุม บางครั้งทำเราพลัดตก แต่มันก็ทำให้เกิดสิ่งพิเศษขึ้นเสมอ แต่การเดินหนีนั้น แม้ถึงจะกระจ่างแต่ก็มืดมิด ง่ายดายกว่าแต่ก็เหงา อยู่ที่เราจะเลือกอะไรให้ชีวิต เพราะเมื่อตัดสินใจไปแล้ว เราอาจไม่มีโอกาสหันกลับก็ได้นะ นอกเสียจากว่าเราจะเชื่อจริงๆ ว่าความรักจะหยุดรอเราที่นั่นเสมอ...
พูดถึง The Age of Adaline (ในฐานะแฟนคลับ Blake Lively)
อันดับแรกถือเป็นการเตือนก่อนเข้าไปชม หนังมีความเป็น conservative สูงมาก ยังไง? คือตัวละครจะมีปมที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยเมื่อเทียบกับเรื่องราวอื่นๆ แต่มองว่าปัญหาของตัวเองนั้นสำคัญที่สุด (ก็แน่นอน) แม้ว่าผู้คนรอบข้างจะอยู่คอยซัพพอร์ทก็ตามที สำหรับคนที่ไม่ชอบหนังแนวๆ ความสุขของกะทิ หรือชอบอะไรที่ถึงใจ ก็ต้องเตรียมใจไว้นิดนึง นอกจากจะเป็นแฟนคลับ Blake Lively หรือ Harrison Ford และหนังยังมีความเป็น biography และ documentary ในสไตล์ Shakespeare คนที่ไม่ชอบหนังแนวนี้อาจมีเอียงคอกลอกตานิดนึง หรือถึงขั้นดูไปบ่นไป
Adaline เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ต้องประสบกับชะตากรรมทางธรรมชาติที่ทำให้เธอ สวยอมตะ ในมุมมองของ Bella Swan สิ่งนี้อาจทำให้นางรู้สึก strong จึงขอให้ Edward กัด (เพื่อที่จะครองรักกันไปตราบชั่วกัลปวสาน โลกแตกแล้วก็ยังขอขึ้นยานอวกาศอพยพไปอยู่ดาว Edmund โลกใบใหม่) แต่สำหรับ Adaline เธอกลับมองว่านี่คือคำสาปที่ทำให้ใจแหลกสลายซ้ำๆ จากการจากไปของสิ่งที่รัก จนกลัวการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่อยู่รอบข้าง (เธอมีความเป็น conservative มาก เธอยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ที่เธอเชื่อว่าดีงาม นั่นจึงทำให้การบอกลาเป็นเรื่องใหญ่ ในเรื่องยังมีเสียดสีคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย ให้พอเข้าใจความรู้สึกของ Adaline ที่มองว่าเสรีภาพนั้นไม่มีอยู่จริงแม้ในประเทศเสรีนิยม และนั่นทำให้เธออยากจะแก่แล้วก็ตายๆ ไปซะ มากกว่าที่จะต้องเหนื่อยปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม) แต่แล้วเธอก็ได้พบกับสิ่งพิเศษที่มาบอกเธอว่า ก็ถ้าหนังเหนียวขนาดนี้ ก็ let go เถอะ ช่างมัน ไม่ต้องไปยึดถืออะไรเลย แล้วชีวิตจะดี (อย่าสวยโสดไปวันๆ รีบหาคนที่จะมาชื่นชมความสวยนั้นและคนที่ยินดีที่จะเด็ดดมจนมันร่วงโรย)
มาถึงเหตุผลว่าทำไมถึงชอบ ต้องบอกก่อนว่าเราชอบ Blake มาก จะอ่านที่เราเขียนอาจต้องฟังหูไว้หูบ้าง เพราะอาจจะมีเอนเอียง แต่นอกเหนือจาก Blake เราชอบดูอะไรฝันๆ สวยๆ และชอบดูหนังที่ dialogue เก๋ เก๋ในที่นี้ไม่ใช่ว่ายัดคำคมเข้ามาไปในหนัง แต่หมายถึงหนังที่ใช้ dialogue อย่างฉลาด ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ดีมากๆ เราจะไม่เห็น dialogue ไหนเลยที่ไร้ค่าในเรื่องนี้ เมื่อเราเข้าใจสิ่งที่มันจะเล่า แม้ว่าตัวหนังจะเล่าไปเรื่อยๆ ด้วยการทิ้งตัวละครไปเรื่อยๆ หรือการเปิดตัวละครใหม่ๆ เข้ามาเรื่อย (ซึ่งอาจทำให้เราเวียนหัว) แต่ dialogue ในเรื่องร้อยเรียงเหตุการณ์ที่ผ่านเลยและเข้ามาใหม่เหล่านั้นเอาไว้อย่างดีงาม เป็นเอกภาพ และไม่ได้ยัดเยียดเกินพอดี (บ้างก็ว่าไม่ใช่ไม่ยัดเยียด แต่ไม่มีอะไรจะมายัดเยียด ก็แล้วแต่ เอาที่สบายใจ) บวกกับมุขลึกเรียบหรูใน dialogue ที่สะดิ้งได้ที่ขนาดที่อยากจะหยิบแก้วไวน์มานั่งจิบสวยๆ ขณะดูหนัง
ส่วนอื่นที่ทำได้ดีและไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือนักแสดงสมทบ อย่าง Ford และ Ellen ที่เล่นเป็นลูก ที่ช่วยขับให้ Adaline และเรื่องราวในเรื่องนั้นสมจริงยิ่งขึ้นอย่างที่เราไม่รู้สึกประดักประเดิดกับความไม่สมจริงอื่นๆ ที่เกิดขึ้น (จริงๆ นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ดีงามหมด และมีความน่ารัก ที่ดูแล้วต้องหัวเราะ ฮี่ๆ แบบผู้ดี)
นอกจากนั้นองค์ประกอบศิลป์ พูดรวมๆ ว่าดีมาก ทั้งภาพ ทั้ง score และ costume เราจะได้ดูได้ฟังอะไรที่งดงามและมีรสนิยมเฉกเช่น Blake Lively ตลอดทั้งเรื่อง (อวยเข้าไป)
ส่วนสุดท้ายอยากพูดถึง Blake บทบาทนี้คนอื่นเล่นแทนเธอไม่ได้จริงๆ ไม่สามารถจินตนาการว่าคนอื่นมาเล่นบทบาทนี้ได้ดีเท่าเธอแม้สักปลายผม และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทบาทนี้จะเปลี่ยนทัศนคติที่ผู้คนคิดว่าเธอคือ Queen S ตัวฉกาจที่ลากแฟนเพื่อนลงไปกินในน้ำหรือยัดโคเคนให้คู่นอนจนถึงแก่ความตายหรือหลอกแฟนเก่ามากินแล้วแอบถ่ายคลิปเอาไว้ฟาดหน้าเพื่อนสุดสนิทที่เป็นแฟนใหม่ของแฟนเก่า หรือยิ้มภูมิใจเมื่อแม่แท้ๆ ยอมก้มหน้ารับกรรมเข้าคุก หรือเปิดนมโชว์บนเรือรบที่เต็มไปด้วยสื่อมวลชนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อ (วีรกรรมเธอเยอะมาก เล่าได้นานกว่านี้อีก)
...ความรักคือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เส้นทางที่เราใช้เดินทางไปตามหามันนั้นก็มักจะน่าหวาดหวั่น และทำให้มองอะไรไม่เห็น เหมือนพายุปกคลุม บางครั้งทำเราพลัดตก แต่มันก็ทำให้เกิดสิ่งพิเศษขึ้นเสมอ แต่การเดินหนีนั้น แม้ถึงจะกระจ่างแต่ก็มืดมิด ง่ายดายกว่าแต่ก็เหงา อยู่ที่เราจะเลือกอะไรให้ชีวิต เพราะเมื่อตัดสินใจไปแล้ว เราอาจไม่มีโอกาสหันกลับก็ได้นะ นอกเสียจากว่าเราจะเชื่อจริงๆ ว่าความรักจะหยุดรอเราที่นั่นเสมอ...