อินเดีย....ครั้งเดียวไม่เคยพอ Gwalior-Orchha-Khajuraho-Varanasi

เป็นสมาชิกพันทิพย์มา 10 กว่าปี เคยตั้งกระทู้ถามบ้าง ตอบคำถามบ้าง แต่ไม่เคยรีวิวการเดินทางของตัวเองเลย ทุกอย่างต้องมีครั้งแรก ว่าแล้วเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ ทริปอินเดียครั้งนี้ไปมาตั้งแต่เดือนธ.ค. 2557 มีเวลาเที่ยวแค่ 6 วัน จริง ๆ เวลามีแค่นี้ไม่ค่อยจะเหมาะไปอินเดียเท่าไหร่ เพราะประเทศใหญ่ การเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งใช้เวลานาน แต่ชอบอินเดีย .... ไปก็ไป ทริปนี้เป็นคร้งที่สองของการไปอินเดีย ครั้งแรกนั้นไปสถานที่ยอดฮิต Delhi-Agra-Rajastan ใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์ แต่เส้นทางนี้คนรีวิวกันเยอะแล้ว คงไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ที่จัดทริปนี้ หลัก ๆ เพราะอยากไปพาราณสี คนอินเดียเรียก วาราณาสี หรือบาณารัส รูปแบบการเดินทางของเราครั้งนี้ สบายๆ นะคะ ไม่ได้เที่ยวแบบราคาประหยัด แต่ไม่หรูหราค่ะ การเดินทางระหว่างเมือง มีทั้งรถไฟ รถแท็กซี่ และเครื่องบิน หากเป็นรถไฟ เราจองล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ให้เพื่อนคนอินเดียจองตั๋วและชำระเงินล่วงหน้าไว้แล้ว มี voucher ยื่นให้กับคนตรวจตั๋วได้เลย เครื่องบินก็จองมาก่อนล่วงหน้า ส่วนแท็กซี่ไปหาเอาข้างหน้าค่ะ

แผนเทียวเป็นดังนี้ (ไม่แนะนำให้ทำตามแผนเที่ยวนี้นะคะ ไปมาแล้วเลยทราบว่าควรแก้ไขอย่างไร จะบอกให้ทราบอีกที)
Day 1    Arrive Delhi after midnight
            First train (6 am) from New Delhi to Gwalior
            Overnight in Gwalior
Day 2    Train from Gwalior to Orchha/ Overnight in Orchha
Day 3    Taxi from Orchha to Khajuraho/ Overnight in Khajuraho
Day 4    Fly from Khajuraho to Varanasi/ Overnight in Varanasi
Day 5    Fly to New Delhi/Overnight at Airport Hotel (next day, morning flight to Bangkok)



วันแรก เดินทางถึงนิวเดลี โดยสายการบิน Jets Airways หลังเที่ยงคืน และจะจับรถไฟด่วนเที่ยวแรกไป Gwalior เวลาประมาณ 6 โมงเช้า เลยคิดว่าไม่น่าเสียเวลาไปนอนโรงแรม ที่สนามบินตรง departure lounge มี lounge แบบเสียเงิน โดยคิดเป็นรายชั่วโมง มีเก้าอี้นั่งสบาย ๆ มีไวไฟ และเครื่องดื่มบริการ หรือจะเลือกเปิดห้องนอนก็ได้ มีห้องน้ำในตัว เหมือนโรงแรมเลย เรากับสามีจึงเลือกที่จะเปิดห้องเพื่อจะได้นอนสบายๆ อาบน้ำล้างหน้า พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น นี่คือ lounge ที่เราใช้บริการ http://www.newdelhiairport.in/business-vip-facilities.aspx



ห้องขนาดกำลังดี เตียงเล็กไปนิดแต่พอนอนได้ 2 คน แบบห้ามขยับตัวน่าจะขนาดซัก 4 ฟุตได้ สะอาดสะอ้าน มีน้ำดื่มให้บริการ พร้อม amenities ครบครัน

ที่ departure lounge ก่อนจะออกไปด้านนอกอาคาร มีบูธขายซิมการ์ดหลายเจ้า เราเดินทางมาถึงหลังเที่ยงคืน ก็ยังเปิดให้บริการอยู่ คราวที่แล้วใช้บริการของ Vodafone ครั้งนี้เลยใช้เจ้าเดิม ซื้อซิมในสนามบินจะแพงกว่าข้างนอกนะคะ แต่เพื่อความสะดวกเราเลยเลือกที่จะซื้อจากที่นี่ไปเลย เอารูปถ่าย 1-2 นิ้ว ติดตัวมาด้วยนะคะ ต้องใช้เพื่อการลงทะเบียน การซื้อซิมครั้งนี้ถือเป็นการผิดพลาดอย่างมาก เนื่องจากการนำซิมการ์ดไปใช้ข้ามเขต เสมือนกับการนำไปใช้ต่างประเทศเลย ต้องเปิดโรมมิ่ง แต่ก็ไม่ได้แพงอะไรนะคะ แต่ปัญหาคือมันใช้เวลาเกือบ 3 วัน ถึงจะ activate ซิมการ์ดได้ ปกติจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ถามคนขายแล้วว่าเราจะเอาไปใช้ที่เมืองอื่น ก็ได้รับคำยืนยันว่าสามารถ activate ได้ภายใน 2-3 ชั่วโมงเช่นกัน เอาเป็นว่าถ้ามาถึงเดลีแล้วจะไปเที่ยวที่อื่นเลย ให้ไปซื้อซิมที่เมืองนั้นนะคะ ยังไม่ต้องรีบร้อนซื้อ เพราะมันยังใช้ไม่ได้อยู่ดี

เราตื่นประมาณตี 4 อาบน้ำแต่งตัว แล้วเรียกแท็กซี่ไปสถานีรถไฟ ไปเวลานี้ก็ดีนะคะ รถยังไม่ติด ไปถึงสถานีรถไฟประมาณตีห้า นิด ๆ เห็นคนนอนบนพื้นเต็มไปหมด ดูน่ากลัวนิด ๆ แต่ไม่ต้องกลัวนะคะ เพื่อนคนอินเดียบอกว่าในสถานีรถไฟจะมี refreshment room ให้นั่งพักแบบสบาย ๆ เราสองคนเลยมองหาป้ายแล้วเดินตามป้ายไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นมีคนเดินมาทักถามว่าจะขึ้นรถไฟขบวนไหน เราก็บอกไป เค้าบอกกลับมาว่ารถไฟขบวนนี้ยกเลิก เราไม่เชื่อค่ะ เพราะเช็คตรง screen มาก่อน สถานะรถก็ปกติดี มีหมายเลขชานชาลาขึ้นให้แล้ว เดาเอาว่าคงหลอกนักท่องเที่ยวว่าไม่มีรถไฟ จะได้หลอกฟันค่าแท็กซี่จากเรา หา refreshment room เจอ แต่ปรากฎว่ายังไม่เปิด เราเลยเดินตรงไปที่ชานชาลาเลย ปรากฎว่าตรงชานชาลาก็มีห้องให้พักคอย ที่มีนั่ง มีห้องน้ำ ต้องแสดงตั๋วก่อนเข้าไป คนในห้องก็ไม่ดูน่ากลัวอะไร นั่งหลับบ้าง นอนบ้าง รออยู่ไม่นาน รถไฟก็มาค่ะ ตรงเวลาทีเดียว


ผู้คนนอนกันเรียงรายที่สถานีรถไฟ



ชานชาลากับขบวนรถไฟของเรา


เราจองที่นั่งแบบ A/C Chair ก็คือเป็นแบบเก้าอี้นั่งติดแอร์ ตัวรถไฟไม่ใหม่นัก แต่สภาพดีกว่ารถไฟไทยแน่นอน เบาะนั่งแบบนุ่ม ๆ มีน้ำดื่มบริการทุกที่นั่ง ระหว่างทางมีบริการอาหารเช้า รสชาดไม่น่าเกลียด ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ Gwalior ค่ะ


สภาพภายในรถไฟ สำหรับ A/C Chair Second class มันไม่ได้เลวร้ายอะไรนะคะ เบาะนุ่ม ๆ แอร์เย็น ๆ นั่งสบาย




ระหว่างทางมีบริการชาร้อนพร้อมขนมหวาน ชาร้อนจัดมาให้คนละกระติกแบบนี้เลย



สักพักมีอาหารเช้าให้ด้วย มีขนมปัง เนย และแกงถั่วร้อน ๆ


เนื่องจากสามีเป็นฝรั่งย่อมเป็นที่สะดุดตา ลงจากรถไฟปุ๊ปก็มีคนกรูเข้ามาหามากมายเพื่อเสนอบริการรถตุ๊ก ตุ๊ก รถแท๊กซี่ น่าจะมีคนร่วม ๆ สิบคนที่มายืนห้อมล้อม ยืนจ้องแบบไม่เกรงใจ ต้องทำใจดีสู้เสือไว้ กระซิบบอกสามีว่า "relax relax" บอกปฎิเสธทุกคนไปว่าเราให้รถที่โรงแรมมารับค่ะ (ถึงอย่างนั้นก็ยังตื้อไม่เลิก) ใช้เวลานิดนึงกว่าจะหากันเจอเพราะมีทางออก 2 ทาง

โรงแรมที่เลือกพักคือ Deo Bagh Hotel เป็นโรงแรมประเภท heritage hotel คือเป็นอาคารเก่า เดิมอาจเป็นพระราชวังหรือที่อยู่ของคนมีฐานะในสมัยก่อนแล้วนำมาแปลงเป็นโรงแรม บริการดีเยี่ยม ห้องพักก็ใหญ่โต สะอาดสะอ้าน มีฮีทเตอร์ตัวเล็ก ๆ ซึ่งมีประโยชน์มาก ช่วงปลายปีอากาศเย็นค่ะ ภายในห้องไม่มีทีวี ต้องมานั่งห้องนั่งเล่นของส่วนกลางซึ่งจะมีทีวี และไวไฟ พ่อครัวที่นี่ทำอาหารได้อร่อยค่ะ บุฟเฟ่ต์มื้อเย็นและมื้อเช้ามีทั้งอาหารตะวันตกและอาหารอินเดียในเลือกทาน



สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ Gwalior มีไม่มากนักใช้เวลาครึ่งวันก็พอค่ะ ภายในตัวเมืองค่อนข้างจอแจวุ่นวาย เดินลำบาก  ถ้ารู้อย่างนี้เราก็คงจะนั่งรถไฟรอบเย็นไปเมืองถัดไป ไม่จำเป็นต้องค้างที่นี่ หลังจากเช็คอินเสร็จ เรานัดแท็กซี่มารับประมาณบ่ายโมง ไปทานอาหารเที่ยงเสร็จก็เริ่มเที่ยว มีเวลาเหลือไปเดินช้อปปิ้งมอลล์ (แบบภูธร) ด้วย ถึงอย่างนั้นก็กลับถึงโรงแรมตั้งแต่ยังไม่หกโมงเย็น ต้องปรับตัวใช้ชีวิตแบบ slow life นิดนึง

มาดูสถานที่ท่องเที่ยวกันนะคะ

Gwalior Fort ป้อมแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา สภาพค่อนข้างดี มีการบรูณะปฎิสังขรณ์ แต่ภายในไม่มีการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่าย หรือคำอธิบายใด ๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ตอนเดินเข้ามีคนเข้ามาหาเสนอตัวเป็นไกด์หลายคน เราถูกชะตากับเด็กผู้ชายคนนึง จำชื่อไม่ได้ซะแล้ว ภาษาอังกฤษดีมาก ๆ และยังพูดภาษาอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยเรียนรู้จากการคุยกับชาวต่างชาติ สามีเราซึ่งพูดภาษาอิตาเลี่ยนได้ ลองทดสอบภาษาน้องเค้าดูถึงกับทึ่งว่าเด็กที่ไม่ได้ไปเรียนเป็นเรื่องเป็นราวแต่กลับพูดได้ดีและสำเนียงก็ดีมาก ๆ น้องเค้าก็ช่วยอธิบายประวัติความเป็นมารวมถึงตำนานต่างๆ มากมาย บางครั้งเราก็ว่าพูดมากไปนิด แล้วก็มี emotional blackmail เราหน่อย ๆ ประมาณว่าครอบครัวลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อที่ว่าเราจะทิปให้มาก ๆ หน่อย


มองจากภายนอก Gwalior Fort



มองจากภายนอก Gwalior Fort



เสื้อแดงในภาพเป็นน้องไกด์ขาโจ๋ของเรา ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียที่เห็น ภายหลังมาขอถ่ายภาพเดี่ยวกับเราคนละภาพเลยทีเดียว และยังมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นมาขอถ่ายรูปด้วยอยู่เนือง ๆ ชักเริ่มเข้าใจอารมณ์คนเป็นเซเลบ อิ อิ น่าแปลกตรงที่สามีเราซึ่งเป็นฝรั่ง คนท้องถิ่นกลับไม่ตื่นเต้น ไม่สนใจจะถ่ายรูปด้วยเท่าไหร่ คงเพราะเห็นจนชินตาแล้วมั้ง



โถงกลางในส่วนที่อยู่ของราชวงศ์



ไม่แน่ใจว่าส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของข้าราชบริพาร เก็บช้าง เก็บม้าอะไรแบบนี้หรือเปล่า



วิวเมือง



บ่อน้ำ


Saas-bahu Temple ก็อยู่ไม่ไกลจาก fort เป็นวัดฮินดูที่สร้างถวายให้กับพระวิษณุ สร้างด้วยหินทราย มีรูปปั้นและงานแกะสลัก วัดลักษณะคล้ายกันนี้พบเห็นได้หลายแห่งในอินเดีย







ระหว่างทางลงจาก Gwalior Fort มีงานแกะสลักหินทรายตรงเชิงเขา น่าสนใจดี แวะถ่ายรูปสักนิด





ข้อแนะนำสำหรับการไปเที่ยวอินเดีย หากต่อรองจ่ายค่าอะไรไปแล้ว ถ้าเป็นราคาที่เราพอใจจะจ่ายแล้วไม่ต้องไปคิดมาก มันต้องมีเสียค่าโง่คือจ่ายแพงโดยไม่จำเป็นอยู่แล้ว อย่าเก็บมาคิดให้เที่ยวไม่สนุกเปล่า ๆ ถ้ารู้สึกว่าจ่ายแพงไป คิดเสียว่าเงินที่เราจ่ายไป เค้าจะได้เอาไปจุนเจือครอบครัว กระจายรายได้ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้นะคะ

มาต่อวันที่สองในตอนต่อไปนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่