สวัสดีครับ นี่เป็นการเขียนลงพันทิพครั้งแรกของผมนะครับ ปกติอ่านตลอด ตอนนี้ได้รับมามากก็ขอตอบแทนคืนให้บ้าง
กะจะเขียนรีวิว เขียนไปเขียนมาเหมือนเป็นบันทึกการเดินทางซะอย่างงั้น ดูยาวเหยียดสื่อสารไม่ได้ >.< ช่างเถอะ เน้นไปที่กลโกงที่โดนมาและวิธีรับมือ เชื่อว่าคงพอมีประโยชน์บ้าง
ขอออกตัวก่อนว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน สิ่งที่เขียนลงไปมันถูกปั้นแต่งให้บิดเบี้ยวผ่านม่านหมอกของอคติส่วนตัวของผมเยอะมาก ผมมองเห็นในสิ่งที่ผมเป็น ไอ้ครั้นจะได้บทสรุปที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นคนอื่นก็ไม่ได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับคนเวียดนามในเชิงลึกเลย ยังไงถ้ามีข้อเท็จจริงผิดพลาด ให้ข้อมูลเท็จไป รบกวนหลังไมค์มาทีครับ
หยุดยาวช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา(10-15เมษายน2558)ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่เวียดนามกัน 4 คน 2 คู่ แฟนผมเป็นคนชอบเที่ยวมากๆ ส่วนผมเฉยๆ แต่หลังๆมาเริ่มชักจะชอบเพราะโดนเขาพาไปเที่ยวบ่อย ทุกทริปที่ผ่านมาแฟนผมจะเป็นคนจัดการทุกอย่าง อ่านรีวิว จองตั๋ว จองที่พัก วางแผนเที่ยว ฯลฯ ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก ผมก็เฉยๆเอื่อยๆเหมือนที่เคยทำทุกครั้งจนได้มาอ่านกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/33483596
อ่านจบแล้วแบบ....
.... วันนี้วันที่8 จะไปวันที่10 หายง่วงหายขี้เกียจขึ้นมาทันที จึงเร่งอ่านรีวิวหาข้อมูลให้มากที่สุด ไม่งั้นต้องเน่ามากๆแถมดูแลผู้หญิงไม่ได้อีก
วันที่หนึ่ง 10/4/58
พวกเราเดินทางมาถึงเวียดนามราวๆ 17.00 ของวันที่ 10 เมษายน พอไปถึง ผมรีบเตือนทีมให้เร่งออกไปขึ้น shuttle bus สาย 152 ไปตลาดเบนถ่าน ให้ทันรถเที่ยวสุดท้าย เพราะผมเคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวเกาะตาชัย-สิมิลัน ทริปนั้นลงเครื่องที่สนามบินภูเก็ต 18.30 ซึ่ง shuttle bus หมดไปแล้ว ไม่มีทางเลือก จึงต้องขึ้น taxi ที่ไม่กดมิเตอร์ไปเขาหลัก 1600 บาท แต่ครั้งนี้ไม่พลาด ค่ารถราวๆคนละ 5k ดอง
งงๆกับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน เพื่อนบอกว่าอ่านมา ดอง หารด้วย 1000 แล้วนำมาคูณ1.5 จะได้เท่ากับบาท หรือคร่าวก็คือ 70kดอง=100บาทไทย
พอลงจาก shuttle bus ที่ท่ารถเมล์ตลาดเบนถ่านก็มีพวก taxi กับสามล้อเข้ามาชวนคุย ก็ไม่ไปยุ่งกับเขาตามที่ review แล้วๆมาได้เตือนไว้ ได้เข้าไปถามทางไปที่พักโดยเอาเอกสาร booking ไปถามในสำนักงานที่ท่ารถเมล์ แล้วเดินไป check-in ที่พัก เอาของไปวางในโรงแรม Dinh Phat ค่าที่พักที่ booking จากไทย ราคา 49 เหรียญสหรัฐ อยู่กัน 4 คน
ตอนเดินจากท่ารถเมล์ไปที่พักก็แย่ๆครับ มีคนมองผู้หญิงของพวกเราตั้งแต่หัวจรดเท้า มองของที่ถือ ผมก็จ้องหน้าเหวี่ยงๆไป คอยระแวดระวังข้างหลังว่าไม่มีใครเดินตาม ไม่มีมอไซด์เข้า charge ไม่โดนมอไซด์ชน(ขี่กันน่ากลัวมาก แต่ไม่ยักกะชนกัน) ไม่โดนรถเมล์เหยียบแบนติดถนน
ออกจากที่พักแล้วมี 3 ภารกิจที่จะต้องทำคือ
1.จองตั๋วรถทัวร์เพื่อไปเมือง Da Lat เดินทาง 11 เมษายน ราวๆ 23.40 โดยรถทัวร์นอนของบริษัท Phuong trang
2.หาอาหาร ไปกินที่ร้าน Kim café เฟ๋อ กับ ปอเปี๊ยะสดไม่อร่อยเลย อร่อยอยู่อย่างเดียวคือปอเปี๊ยะทอด เป็นเพราะว่าสั่งไม่เป็นด้วยแหละ
3.ซื้อซิมมือถือ ซื้อจากร้านขายยา ซื้อซิมมา 90kดอง แล้วเหมือนกับว่าเติมเงินเป็นค่าเน็ตอีก 100kดอง
ตกกลางคืนก็เดินดูของตลาดเบนถ่านกัน สาวๆได้งอบมาคนละอัน อันละ100k ไม่รู้โดนหลอกป่าว
การเดินข้ามถนนในเวียดนามครั้งแรกๆช่างน่าเสียวไส้ ต้องอาศัยเดินแจมประกบลุงที่เดินข้ามถนน เท่าที่สังเกต วิธีการที่ดีคือเดินข้ามถนนด้วยอัตราเร็วคงที่ ถ้าเขาจะไม่หลบเราเขาจะบีบแตรใส่เราเอง จะข้ามข้ามเลยอย่ายึกยัก ลองเดินสักวันสองวันเดี๋ยวก็เป็น
ตลอดเวลาที่เดินเที่ยวกันผมกับเพื่อนผู้ชายอีกคนรับหน้าที่ระแวดระวังดูแลความปลอดภัย เราพยายามบอกให้สาวๆเดินให้ชิดกำแพงของเลนซ้าย เพราะที่นี่เป็นพวกมาลัยซ้าย รถวิ่งเลนขวา มอไซด์ที่อาจเข้ามาวิ่งราวจะต้องเข้ามาจากด้านหน้า ถ้าเขาจะเข้ามาจากทางด้านหลังก็จะเป็นการวิ่งสวนเลนซึ่งเป็นจะผิดสังเกตได้ง่าย ผมจะเดินนำหน้าแล้วหันมามองข้างหลังเพื่อตรวจตรา
วันที่สอง 11/4/58
วันที่ 2 ตื่นมา กินข้าวเช้าโรงแรม แล้วก็เดินเที่ยว รอขึ้นรถทัวร์ไป Da Lat 23.40
ไปนั่งกินกาแฟที่ร้าน CAFFEE FRESCO คนเต็มร้าน แต่มีแต่ฝรั่ง เท่าที่ดูไม่มีคนท้องถิ่นเลย กาแฟรสชาติก็ไม่ค่อยถูกปากด้วย พอจ่ายเงิน เอาบิลมาดูรู้สึกราคาแพงขึ้นแปลกๆ +เพิ่ม VAT 10% กลับไปเปิดดูในเมนูก็มีตัวเล็กๆอยู่บรรทัดสุดท้ายของทุกหน้าว่าราคายังไม่รวม VAT
จึงสรุปได้ว่า ถึงแม้คนเต็มร้าน แต่ถ้าไม่ใช่คนท้องถิ่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันได้ แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าจะเป็นเหตุให้คนเต็มร้านก็น่าจะเป็นเพราะร้านเป็นห้องแอร์ และวันนั้นอากาศร้อน ร้านทำเลดี อยู่ตรงหัวมุม
opera house
ที่ว่าการเมืองโฮจิมิน
เดินเที่ยว ถ่ายรูปไปเรื่อยๆถึงบ่ายๆ แฟนผมเริ่มเหวี่ยงใส่ผม เพราะหลังจากที่เธอใช้โทรศัพท์ดูแผนที่แล้ว ผมก็จะยึดโทรศัพท์มาใส่ไว้ในกระเป๋าทันที พอเธอจะดูก็ต้องลำบากมาขอจากผม เธอบ่นว่าไม่สะดวก เธอบอกว่าถ้าจะมาเที่ยวแล้วระวังมากขนาดนี้ก็ไม่สนุกหรอก หลายครั้งเข้าเธอก็เอาโทรศัพท์ไปเลย ผมก็จนใจ ได้แต่คอยระวังอย่างอื่นเอา เธอบ่นว่าผมมักเดินนำหน้าไปไกล “เดินนำหน่ะรู้ทางเหรอ” “เกิดอะไรขึ้นมาจะช่วยเค้าได้เหรอ” (ก็ต้องคอยหันมาระวังหลังให้นี่หว่า -*-)
*แจก First Blood!!!!*
ไม่โดนโกงคือไปไม่ถึงเวียดนาม? ก่อนมาไม่เชื่อแล้วอยากลบหลู่นะ สุดท้ายก็โดนkill แจกไปตามระเบียบ
ตกบ่ายแก่ๆพวกเราเข้าไปเที่ยวที่ Independence palace ขากลับออกมาพวกเราเดินออกมาข้างหลัง เดินมาได้นิดนึงมีลุงแก่ๆหาบมะพร้าวกระวีกระวาดวิ่งเข้าใส่พวกเรา ลุงพอมาถึงก็ทิ้งหาบลงกับพื้น เพื่อนก็เหมือนกับหิวน้ำอยากกิน เราบอกให้เพื่อนเราถามราคาก่อน เพื่อนเราถาม ลุงก้มหน้า พึมพำพูดเหมือนเป็นภาษาเวียดนาม แล้วหยิบมะพร้าวเฉาะทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้ตกลง ส่งยื่นให้เพื่อนผู้หญิงของเรา เรากำลังจะอ้าปากร้องห้าม เห้ย!ยังไม่รู้ราคาเลยนะ เพื่อนเราก็คว้าของเขามาถือไปแล้ว ทีนี้ลุงเฉาะมะพร้าวอีกลูกยื่นให้แฟนเรา เราเห็นท่าไม่ดีละ เราตะโกนใส่หน้าแฟนเรา 3 ครั้งว่า อย่ารับ! อย่ารับ! อย่ารับ! สลับกับลุงพูดว่า zero zero....แฟนเรารับของเขามา....พอถึงเวลาจ่ายเงิน ลุงคนเดิมกลับเปลี่ยนเป็นคนเคร่งขรึม เพื่อนผู้ชายของเราหยิบแบงค์50kออกมา ลุงบอกว่าไม่ใช่ ลุงพยายามจะบอกว่า 150k (ราวๆ225บาท) พอเพื่อนเราหยิบแบงค์ 100k ออกมา ลุงคว้าเงินไปจากมือทันที ส่วนเราก็หยิบเงิน50kออกมา เราหันไปพูดกับเพื่อนๆของเราว่า ของกิน เอาของเขามาแล้ว เขาว่าเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายเขา แล้วจ่ายเงินลุงไป เราเห็นลุงก้มหน้าเก็บของๆเขา
ทีมพวกเราหายง่วงโดยพลัน มาตรการ security ที่เราได้ดำเนินการมา จนแฟนเราเริ่มรำคาญ ได้รับความชอบธรรมในทันที เราไม่พอใจแฟนเรามาก เราไม่เข้าใจว่าทำไมไปรับของเขาทั้งที่เราบอกห้าม แฟนเราถามเราว่าถ้าไม่ยอมจ่ายเงินลุงจะทำยังไง เราตอบแฟนไปว่าลุงก็จะหยิบมีดที่ใช้เฉาะมะพร้าวขึ้นมาสิ(เหมือนที่เขาเคยเตือนๆไว้ในหลายๆกระทู้)
วิเคราะห์บริบท : ถนนเส้นหลังของ Independence palace เป็นถนนเปลี่ยว ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะเป็นกลางวันแสกๆ แต่คนไม่พลุกพล่าน ตอนเกิดเหตุไม่มีคนเลยนอกจากพวกเรา4คนกับลุง เราคิดว่าลุงคนนี้คงดักนักท่องเที่ยวอยู่ที่ถนนเส้นนี้ ทางเลือกที่ถูกต้องของสถานการณ์นี้คือไม่หยุดเดินเมื่อลุงเข้ามาขวาง ไม่สนใจไม่ว่าลุงจะทำยังไง ต้องไม่สนใจคนแปลกหน้าที่เข้ามาหาเรา ถ้าอยากกินให้เป็นฝ่ายเดินเข้าไปขอซื้อเอง และถ้าซื้อกับคนหาบเร่ให้ซื้อในสถานที่ที่มีคนเยอะๆ เช่น กลางสวนสาธารณะ
เท่าที่สังเกต เรามีความคิดว่า คนที่ปากกัดตีนถีบ คนหาเช้ากินค่ำ คนที่ไม่มีร้านมีรวง พวกเขามีแนวโน้มที่จะหาโอกาสโกงสูงมากเมื่อโอกาสอำนวย แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกลางสวนสาธารณะที่มีคนพลุกพล่าน ลุงไม่น่าจะกล้าทำแบบนี้หรอก โดยเฉพาะคนในโฮจิมินซิตี้ เมื่อเราจะจ่ายเงินแทบทุกครั้ง พวกเขาแทบจะคว้าเงินไปจากมือเราในทันที, คนที่ Da Lat ไม่มีอย่างนั้น(Da Lat น่าอยู่ที่สุด), คนที่ Mui ne มีบ้าง
ค่ำๆ พวกเราไปพักในโรงแรมเพื่ออาบน้ำก่อนขึ้นรถทัวร์ เลือกโรงแรมเก่าๆถูกๆ ต่อรองเขาขออยู่ถึงแค่ห้าทุ่มได้ห้องคืนละ 40 เหรียญ โรงแรมดูเก่ามาก ลืมจดชื่อมา ที่พักในประเทศเวียดนามค่อนข้างมาตรฐานสูงเมื่อเทียบกับบ้านเรา เกือบทุกที่มีแปรงสีฟันให้ ราคาไม่แพง น้ำอุ่นไม่ใช่แบบเครื่องติดผนังเหมือนบ้านเราอ่ะ แต่ที่พักที่เราอยู่ครึ่งคืนที่เราอาบน้ำนี้เก่า เครื่องทำน้ำอุ่นยังเป็นแบบติดผนัง พอเราเปิดน้ำอุ่นด้วยระดับความร้อนต่ำที่สุด ปรากฎว่าน้ำร้อนมากๆ เราคิดว่า thermostat ที่อยู่ในเครื่องทำน้ำอุ่นน่าจะพัง ถ้าเจออะไรแปลกๆอาบน้ำเย็นปลอดภัยที่สุด
ก่อนขึ้นรถทัวร์แวะซื้อเสบียงที่โชห่วย เบียร์ที่นี่ราคาถูกมาก ซานมิเกล(16k=24บาท) ไฮเนเก้น(20k=30บาท) corona(47k=70.5บาท)
วันที่สาม 12/4/58
รถทัวร์ส่งพวกเราที่สถานีขนส่ง หลังจากนั้นบริษัททัวร์ก็มีบริการรถตู้ไปส่งให้ถึงตามที่พักฟรี (มีคนเข้ามาถาม taxi taxi มั้ยๆ เหมือนกัน) ก็บอกโรงแรมที่ booking ไว้ให้เขาไป เขาก็พาไปส่ง โรงแรม Tulip Hotel II
ถึง Da Lat เช้าๆ เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดแล้ว อากาศดีมาก ชาวบ้านดูโอเคมากๆ ไม่มีอะไรต้องระแวงระวัง
พวกเราขอให้โรงแรมจองรถไป Mui ne ในวันพรุ่งนี้เวลา 7.00
ชิวครับ Da Lat เมืองนี้ คือดีงามอ่ะ เช่ามอไซด์150บาท/วัน เที่ยวทั่วเมือง มื้อเช้าไปเจอร้านเหมือนร้านข้าวราดแกง คนท้องถิ่นเต็มร้าน ถามราคาก่อนเข้าร้าน ข้าวจานละ15k(22.5บาท) จัดไป อร่อยด้วย โชคร้ายที่วันนี้ฝนตกนิดหน่อย
ตลาดเช้า-1
ตลาดเช้า-2
เล่น roller coster
วัดจีน-1
วัดจีน-2
crazy house
ตลาดกลางคืน-1
ตลาดกลางคืน-2
ตลาดกลางคืน-3
บันทึกการเดินทางเวียดนาม โฮจิมินซิตี้-ดาลัด-มุยเน่ 5วัน4คืน
กะจะเขียนรีวิว เขียนไปเขียนมาเหมือนเป็นบันทึกการเดินทางซะอย่างงั้น ดูยาวเหยียดสื่อสารไม่ได้ >.< ช่างเถอะ เน้นไปที่กลโกงที่โดนมาและวิธีรับมือ เชื่อว่าคงพอมีประโยชน์บ้าง
ขอออกตัวก่อนว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน สิ่งที่เขียนลงไปมันถูกปั้นแต่งให้บิดเบี้ยวผ่านม่านหมอกของอคติส่วนตัวของผมเยอะมาก ผมมองเห็นในสิ่งที่ผมเป็น ไอ้ครั้นจะได้บทสรุปที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นคนอื่นก็ไม่ได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับคนเวียดนามในเชิงลึกเลย ยังไงถ้ามีข้อเท็จจริงผิดพลาด ให้ข้อมูลเท็จไป รบกวนหลังไมค์มาทีครับ
หยุดยาวช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา(10-15เมษายน2558)ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่เวียดนามกัน 4 คน 2 คู่ แฟนผมเป็นคนชอบเที่ยวมากๆ ส่วนผมเฉยๆ แต่หลังๆมาเริ่มชักจะชอบเพราะโดนเขาพาไปเที่ยวบ่อย ทุกทริปที่ผ่านมาแฟนผมจะเป็นคนจัดการทุกอย่าง อ่านรีวิว จองตั๋ว จองที่พัก วางแผนเที่ยว ฯลฯ ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก ผมก็เฉยๆเอื่อยๆเหมือนที่เคยทำทุกครั้งจนได้มาอ่านกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/33483596
อ่านจบแล้วแบบ........ วันนี้วันที่8 จะไปวันที่10 หายง่วงหายขี้เกียจขึ้นมาทันที จึงเร่งอ่านรีวิวหาข้อมูลให้มากที่สุด ไม่งั้นต้องเน่ามากๆแถมดูแลผู้หญิงไม่ได้อีก
วันที่หนึ่ง 10/4/58
พวกเราเดินทางมาถึงเวียดนามราวๆ 17.00 ของวันที่ 10 เมษายน พอไปถึง ผมรีบเตือนทีมให้เร่งออกไปขึ้น shuttle bus สาย 152 ไปตลาดเบนถ่าน ให้ทันรถเที่ยวสุดท้าย เพราะผมเคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวเกาะตาชัย-สิมิลัน ทริปนั้นลงเครื่องที่สนามบินภูเก็ต 18.30 ซึ่ง shuttle bus หมดไปแล้ว ไม่มีทางเลือก จึงต้องขึ้น taxi ที่ไม่กดมิเตอร์ไปเขาหลัก 1600 บาท แต่ครั้งนี้ไม่พลาด ค่ารถราวๆคนละ 5k ดอง
งงๆกับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน เพื่อนบอกว่าอ่านมา ดอง หารด้วย 1000 แล้วนำมาคูณ1.5 จะได้เท่ากับบาท หรือคร่าวก็คือ 70kดอง=100บาทไทย
พอลงจาก shuttle bus ที่ท่ารถเมล์ตลาดเบนถ่านก็มีพวก taxi กับสามล้อเข้ามาชวนคุย ก็ไม่ไปยุ่งกับเขาตามที่ review แล้วๆมาได้เตือนไว้ ได้เข้าไปถามทางไปที่พักโดยเอาเอกสาร booking ไปถามในสำนักงานที่ท่ารถเมล์ แล้วเดินไป check-in ที่พัก เอาของไปวางในโรงแรม Dinh Phat ค่าที่พักที่ booking จากไทย ราคา 49 เหรียญสหรัฐ อยู่กัน 4 คน
ตอนเดินจากท่ารถเมล์ไปที่พักก็แย่ๆครับ มีคนมองผู้หญิงของพวกเราตั้งแต่หัวจรดเท้า มองของที่ถือ ผมก็จ้องหน้าเหวี่ยงๆไป คอยระแวดระวังข้างหลังว่าไม่มีใครเดินตาม ไม่มีมอไซด์เข้า charge ไม่โดนมอไซด์ชน(ขี่กันน่ากลัวมาก แต่ไม่ยักกะชนกัน) ไม่โดนรถเมล์เหยียบแบนติดถนน
ออกจากที่พักแล้วมี 3 ภารกิจที่จะต้องทำคือ
1.จองตั๋วรถทัวร์เพื่อไปเมือง Da Lat เดินทาง 11 เมษายน ราวๆ 23.40 โดยรถทัวร์นอนของบริษัท Phuong trang
2.หาอาหาร ไปกินที่ร้าน Kim café เฟ๋อ กับ ปอเปี๊ยะสดไม่อร่อยเลย อร่อยอยู่อย่างเดียวคือปอเปี๊ยะทอด เป็นเพราะว่าสั่งไม่เป็นด้วยแหละ
3.ซื้อซิมมือถือ ซื้อจากร้านขายยา ซื้อซิมมา 90kดอง แล้วเหมือนกับว่าเติมเงินเป็นค่าเน็ตอีก 100kดอง
ตกกลางคืนก็เดินดูของตลาดเบนถ่านกัน สาวๆได้งอบมาคนละอัน อันละ100k ไม่รู้โดนหลอกป่าว
การเดินข้ามถนนในเวียดนามครั้งแรกๆช่างน่าเสียวไส้ ต้องอาศัยเดินแจมประกบลุงที่เดินข้ามถนน เท่าที่สังเกต วิธีการที่ดีคือเดินข้ามถนนด้วยอัตราเร็วคงที่ ถ้าเขาจะไม่หลบเราเขาจะบีบแตรใส่เราเอง จะข้ามข้ามเลยอย่ายึกยัก ลองเดินสักวันสองวันเดี๋ยวก็เป็น
ตลอดเวลาที่เดินเที่ยวกันผมกับเพื่อนผู้ชายอีกคนรับหน้าที่ระแวดระวังดูแลความปลอดภัย เราพยายามบอกให้สาวๆเดินให้ชิดกำแพงของเลนซ้าย เพราะที่นี่เป็นพวกมาลัยซ้าย รถวิ่งเลนขวา มอไซด์ที่อาจเข้ามาวิ่งราวจะต้องเข้ามาจากด้านหน้า ถ้าเขาจะเข้ามาจากทางด้านหลังก็จะเป็นการวิ่งสวนเลนซึ่งเป็นจะผิดสังเกตได้ง่าย ผมจะเดินนำหน้าแล้วหันมามองข้างหลังเพื่อตรวจตรา
วันที่สอง 11/4/58
วันที่ 2 ตื่นมา กินข้าวเช้าโรงแรม แล้วก็เดินเที่ยว รอขึ้นรถทัวร์ไป Da Lat 23.40
ไปนั่งกินกาแฟที่ร้าน CAFFEE FRESCO คนเต็มร้าน แต่มีแต่ฝรั่ง เท่าที่ดูไม่มีคนท้องถิ่นเลย กาแฟรสชาติก็ไม่ค่อยถูกปากด้วย พอจ่ายเงิน เอาบิลมาดูรู้สึกราคาแพงขึ้นแปลกๆ +เพิ่ม VAT 10% กลับไปเปิดดูในเมนูก็มีตัวเล็กๆอยู่บรรทัดสุดท้ายของทุกหน้าว่าราคายังไม่รวม VAT
จึงสรุปได้ว่า ถึงแม้คนเต็มร้าน แต่ถ้าไม่ใช่คนท้องถิ่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันได้ แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าจะเป็นเหตุให้คนเต็มร้านก็น่าจะเป็นเพราะร้านเป็นห้องแอร์ และวันนั้นอากาศร้อน ร้านทำเลดี อยู่ตรงหัวมุม
opera house
ที่ว่าการเมืองโฮจิมิน
เดินเที่ยว ถ่ายรูปไปเรื่อยๆถึงบ่ายๆ แฟนผมเริ่มเหวี่ยงใส่ผม เพราะหลังจากที่เธอใช้โทรศัพท์ดูแผนที่แล้ว ผมก็จะยึดโทรศัพท์มาใส่ไว้ในกระเป๋าทันที พอเธอจะดูก็ต้องลำบากมาขอจากผม เธอบ่นว่าไม่สะดวก เธอบอกว่าถ้าจะมาเที่ยวแล้วระวังมากขนาดนี้ก็ไม่สนุกหรอก หลายครั้งเข้าเธอก็เอาโทรศัพท์ไปเลย ผมก็จนใจ ได้แต่คอยระวังอย่างอื่นเอา เธอบ่นว่าผมมักเดินนำหน้าไปไกล “เดินนำหน่ะรู้ทางเหรอ” “เกิดอะไรขึ้นมาจะช่วยเค้าได้เหรอ” (ก็ต้องคอยหันมาระวังหลังให้นี่หว่า -*-)
*แจก First Blood!!!!*
ไม่โดนโกงคือไปไม่ถึงเวียดนาม? ก่อนมาไม่เชื่อแล้วอยากลบหลู่นะ สุดท้ายก็โดนkill แจกไปตามระเบียบ
ตกบ่ายแก่ๆพวกเราเข้าไปเที่ยวที่ Independence palace ขากลับออกมาพวกเราเดินออกมาข้างหลัง เดินมาได้นิดนึงมีลุงแก่ๆหาบมะพร้าวกระวีกระวาดวิ่งเข้าใส่พวกเรา ลุงพอมาถึงก็ทิ้งหาบลงกับพื้น เพื่อนก็เหมือนกับหิวน้ำอยากกิน เราบอกให้เพื่อนเราถามราคาก่อน เพื่อนเราถาม ลุงก้มหน้า พึมพำพูดเหมือนเป็นภาษาเวียดนาม แล้วหยิบมะพร้าวเฉาะทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้ตกลง ส่งยื่นให้เพื่อนผู้หญิงของเรา เรากำลังจะอ้าปากร้องห้าม เห้ย!ยังไม่รู้ราคาเลยนะ เพื่อนเราก็คว้าของเขามาถือไปแล้ว ทีนี้ลุงเฉาะมะพร้าวอีกลูกยื่นให้แฟนเรา เราเห็นท่าไม่ดีละ เราตะโกนใส่หน้าแฟนเรา 3 ครั้งว่า อย่ารับ! อย่ารับ! อย่ารับ! สลับกับลุงพูดว่า zero zero....แฟนเรารับของเขามา....พอถึงเวลาจ่ายเงิน ลุงคนเดิมกลับเปลี่ยนเป็นคนเคร่งขรึม เพื่อนผู้ชายของเราหยิบแบงค์50kออกมา ลุงบอกว่าไม่ใช่ ลุงพยายามจะบอกว่า 150k (ราวๆ225บาท) พอเพื่อนเราหยิบแบงค์ 100k ออกมา ลุงคว้าเงินไปจากมือทันที ส่วนเราก็หยิบเงิน50kออกมา เราหันไปพูดกับเพื่อนๆของเราว่า ของกิน เอาของเขามาแล้ว เขาว่าเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายเขา แล้วจ่ายเงินลุงไป เราเห็นลุงก้มหน้าเก็บของๆเขา
ทีมพวกเราหายง่วงโดยพลัน มาตรการ security ที่เราได้ดำเนินการมา จนแฟนเราเริ่มรำคาญ ได้รับความชอบธรรมในทันที เราไม่พอใจแฟนเรามาก เราไม่เข้าใจว่าทำไมไปรับของเขาทั้งที่เราบอกห้าม แฟนเราถามเราว่าถ้าไม่ยอมจ่ายเงินลุงจะทำยังไง เราตอบแฟนไปว่าลุงก็จะหยิบมีดที่ใช้เฉาะมะพร้าวขึ้นมาสิ(เหมือนที่เขาเคยเตือนๆไว้ในหลายๆกระทู้)
วิเคราะห์บริบท : ถนนเส้นหลังของ Independence palace เป็นถนนเปลี่ยว ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะเป็นกลางวันแสกๆ แต่คนไม่พลุกพล่าน ตอนเกิดเหตุไม่มีคนเลยนอกจากพวกเรา4คนกับลุง เราคิดว่าลุงคนนี้คงดักนักท่องเที่ยวอยู่ที่ถนนเส้นนี้ ทางเลือกที่ถูกต้องของสถานการณ์นี้คือไม่หยุดเดินเมื่อลุงเข้ามาขวาง ไม่สนใจไม่ว่าลุงจะทำยังไง ต้องไม่สนใจคนแปลกหน้าที่เข้ามาหาเรา ถ้าอยากกินให้เป็นฝ่ายเดินเข้าไปขอซื้อเอง และถ้าซื้อกับคนหาบเร่ให้ซื้อในสถานที่ที่มีคนเยอะๆ เช่น กลางสวนสาธารณะ
เท่าที่สังเกต เรามีความคิดว่า คนที่ปากกัดตีนถีบ คนหาเช้ากินค่ำ คนที่ไม่มีร้านมีรวง พวกเขามีแนวโน้มที่จะหาโอกาสโกงสูงมากเมื่อโอกาสอำนวย แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกลางสวนสาธารณะที่มีคนพลุกพล่าน ลุงไม่น่าจะกล้าทำแบบนี้หรอก โดยเฉพาะคนในโฮจิมินซิตี้ เมื่อเราจะจ่ายเงินแทบทุกครั้ง พวกเขาแทบจะคว้าเงินไปจากมือเราในทันที, คนที่ Da Lat ไม่มีอย่างนั้น(Da Lat น่าอยู่ที่สุด), คนที่ Mui ne มีบ้าง
ค่ำๆ พวกเราไปพักในโรงแรมเพื่ออาบน้ำก่อนขึ้นรถทัวร์ เลือกโรงแรมเก่าๆถูกๆ ต่อรองเขาขออยู่ถึงแค่ห้าทุ่มได้ห้องคืนละ 40 เหรียญ โรงแรมดูเก่ามาก ลืมจดชื่อมา ที่พักในประเทศเวียดนามค่อนข้างมาตรฐานสูงเมื่อเทียบกับบ้านเรา เกือบทุกที่มีแปรงสีฟันให้ ราคาไม่แพง น้ำอุ่นไม่ใช่แบบเครื่องติดผนังเหมือนบ้านเราอ่ะ แต่ที่พักที่เราอยู่ครึ่งคืนที่เราอาบน้ำนี้เก่า เครื่องทำน้ำอุ่นยังเป็นแบบติดผนัง พอเราเปิดน้ำอุ่นด้วยระดับความร้อนต่ำที่สุด ปรากฎว่าน้ำร้อนมากๆ เราคิดว่า thermostat ที่อยู่ในเครื่องทำน้ำอุ่นน่าจะพัง ถ้าเจออะไรแปลกๆอาบน้ำเย็นปลอดภัยที่สุด
ก่อนขึ้นรถทัวร์แวะซื้อเสบียงที่โชห่วย เบียร์ที่นี่ราคาถูกมาก ซานมิเกล(16k=24บาท) ไฮเนเก้น(20k=30บาท) corona(47k=70.5บาท)
วันที่สาม 12/4/58
รถทัวร์ส่งพวกเราที่สถานีขนส่ง หลังจากนั้นบริษัททัวร์ก็มีบริการรถตู้ไปส่งให้ถึงตามที่พักฟรี (มีคนเข้ามาถาม taxi taxi มั้ยๆ เหมือนกัน) ก็บอกโรงแรมที่ booking ไว้ให้เขาไป เขาก็พาไปส่ง โรงแรม Tulip Hotel II
ถึง Da Lat เช้าๆ เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดแล้ว อากาศดีมาก ชาวบ้านดูโอเคมากๆ ไม่มีอะไรต้องระแวงระวัง
พวกเราขอให้โรงแรมจองรถไป Mui ne ในวันพรุ่งนี้เวลา 7.00
ชิวครับ Da Lat เมืองนี้ คือดีงามอ่ะ เช่ามอไซด์150บาท/วัน เที่ยวทั่วเมือง มื้อเช้าไปเจอร้านเหมือนร้านข้าวราดแกง คนท้องถิ่นเต็มร้าน ถามราคาก่อนเข้าร้าน ข้าวจานละ15k(22.5บาท) จัดไป อร่อยด้วย โชคร้ายที่วันนี้ฝนตกนิดหน่อย
ตลาดเช้า-1
ตลาดเช้า-2
เล่น roller coster
วัดจีน-1
วัดจีน-2
crazy house
ตลาดกลางคืน-1
ตลาดกลางคืน-2
ตลาดกลางคืน-3