ภาวะความแข็งแกร่งของจิตใจ
เป็นสิ่งสำคัญที่คนเราควรมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง
ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา ซีอีโอหรือเจ้าของกิจการใหญ่เล็ก
ภาวะจิตที่แข็งแกร่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบาก
ในชีวิตประจำวันไปได้ด้วยดี แล้วคุณล่ะ มีจิตที่แข็งแกร่งแค่ไหน?
ทำความเข้าใจกันก่อนว่าสภาวะของจิตใจเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถวัดความแข็งแรงได้เหมือนสภาวะร่างกาย
เพราะมันเกิดจากอารมณ์และเคมีภายในร่างกายของเราที่เป็นนามธรรมเสียส่วนใหญ่
ข่าวดีก็คือสภาวะจิตใจของเรานั้นสามารถถูกฝึกได้เช่นกัน เพียงแต่อาจไม่ง่ายเหมือนการออกกำลังกายเท่าใดนัก ต้องอาศัยประสบการณ์ เวลาและการควบคุมอารมณ์มากพอสมควร
ความเข้มแข็งภายในจิตใจไม่อาจเรียกได้ว่าถูกถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ยกตัวอย่างเช่น พ่อที่เคยทำงานหนักและลำบากมาก่อน สามารถอดทนต่อสิ่งแวดล้อมแย่ๆและความตึงเครียดได้ดี
พอมีลูก ซึ่งเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวไม่ลำบากแล้ว เลยปรนเปรอและตามใจลูกเต็มที่ เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดในวัยเด็กของตัวเอง ลูกอาจกลายเป็นคนที่มีความอ่อนแอต่อโลกภายนอก ทำอะไรไม่เป็นเพราะมีพ่อคอยโอ๋ก็ได้ เป็นต้น
แต่อย่าเพิ่งถอดใจเสียก่อน ว่าพ่อแม่เราไม่ได้สอนให้เราเป็นคนเข้มแข็ง เราคงทำไม่ได้เป็นแน่ เพราะจิตของเรานั้นสามารถถูกฝึกได้
ความเข้มแข็งของจิตใจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ และหนทางที่ง่ายก็คือการเลียนแบบความคิดคนที่เขามีสภาวะจิตแข็งแกร่งนั่นเอง ฉะนั้นเรามาดูกันว่า คุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของนักกีฬา นักธุรกิจระดับโลกเขามีนั้นคืออะไรบ้าง เพื่อที่เราจะเข้าใจคำจำกัดความของคำว่า
“
ความแข็งแกร่งของจิตใจ” กันจริงๆเสียที
1. เขาไม่รู้สึกสงสารหรือรู้สึกแย่กับตัวเขาเอง
เคยเห็นคนที่เอาแต่บ่นๆๆ รู้สึกท้อแท้ไหม? คุณรู้สึกอย่างไรกับเขา? และถามจริงๆนะ ว่าคุณทำแบบนั้นกับตัวเองบ่อยๆหรือเปล่า?
คนที่จิตใจเข้มแข็งจริงๆจะไม่รู้สึกแย่เมื่อคนอื่นปฏิบัติกับเขาในแนวทางที่เขาไม่ต้องการ ไม่ว่าเขาจะเจอสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างไร เขาแทบจะไม่บ่นหรือทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตขึ้นไปอีก เพราะเขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะรู้ว่า การพร่ำบ่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แถมยังทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกว่าเขาเป็นคนอ่อนแอปวกเปียก
ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมองเราด้วยสายตาแบบนั้นหรอก จริงไหม? นอกจากไม่พร่ำบ่นพรรณนาถึงสิ่งที่เขาไม่ชอบ ไม่ต้องการแล้ว พวกเขายังทำสิ่งที่กลับกัน คือ เลือกโฟกัสสิ่งที่เขาอยากให้เกิดขึ้นแทน และดูว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ เพราะเขาเชื่อว่า
“
ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่ให้บ่น”
2. พวกเขาไม่ให้อำนาจคนอื่นเหนือตัวเขาเอง
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับคำสั่งจากหัวหน้าของเขา ทำตัวเหนือกว่าผู้บังคับบัญชานะ อย่าเข้าใจผิด แต่มันหมายถึงว่า “พวกเขาไม่ยอมคนอื่นไปเสียทุกอย่าง” การยอมคนอื่นไปเสียทุกอย่างคืออะไร? อย่าคิดว่ามันคือน้ำใจเชียว การที่คุณยอมทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นเล็กๆน้อยๆอาจเรียกว่าน้ำใจ แต่ถ้าคุณทำมากไป มันแปลได้ว่า “
คุณไม่มีศักดิ์ศรี คุณไม่นับถือตัวเองมากพอ”
ถ้าอยากให้เห็นภาพชัด ก็คือ การที่คุณมีเป้าหมายที่คุณอยากทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ และคุณมัวแต่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เอาแต่กังวลว่าพ่อแม่จะว่าอย่างไร เพื่อนบ้านจะมองอย่างไร หรือคนที่รู้จักคุณจะตัดสินคุณ เชื่อขนมกินได้เลยว่าคุณจะทำเป้าหมายของคุณไม่สำเร็จ เพราะคุณ ให้ความคิดและคำพูดคนอื่นมีอำนาจเหนือคุณน่ะสิ
คนที่จิตแข็งเลือกที่จะฟังคนอื่นบ้าง แต่ก็ยังเลือกทำสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่ดี เพราะเขาย่อมคิดและวิเคราะห์อย่างดีแล้วว่าเขาต้องการมันและมันไม่เดือดร้อนใคร ฉะนั้นถ้ามีบางอย่างที่คุณอยากให้มันสำเร็จมากๆในชีวิตนี้ แต่มันยังไม่ได้เริ่ม หรือไปไม่ถึงไหนเสียที ลองทบทวนตัวเองดูนะว่ากำลังเสียเวลาแคร์ความคิดคนอื่นอยู่หรือเปล่า?
3. พวกเขาไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง
พอพูดถึงความเปลี่ยนแปลง ใช่ คำพูดมันดูบวกมากๆ สำหรับคนที่กำลังอยู่ทางตันหรือหมดหนทางในชีวิต แต่สำหรับคนที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองดีอยู่แล้ว คำว่า “
เปลี่ยนแปลง” อาจมีความหมายที่น่ากลัวก็ได้ ยอมรับเสียเถอะว่าในชีวิตเราต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลงทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวังมาก่อน
บางคนถึงกับล้มพับเมื่อเจอความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไรอีกเลย แต่คนที่จิตแข็ง ไม่ใช่ว่าเขาชอบการเปลี่ยนแปลงหรอกนะ เพราะการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น ถูกไล่ออกจากงาน ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ทำยอดขายไม่ได้ตามเป้าหมาย เศรษฐกิจทรุดตัว หุ้นร่วง พ่อแม่เสีย ฯลฯ ทำให้คนเราเสียศูนย์มานักต่อนักแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาเสียใจ เขาผิดหวัง เขามีความรู้สึกเพราะเขาเป็นคน ไม่ใช่หุ่นยนต์
แต่เขาเลือกที่จะเดินต่อ มองหาหนทางที่จะสู้ต่อ ค่อยๆปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พวกเขามีความเชื่ออย่างยิ่งว่า
“
ทุกปัญหามีทางออก ถ้าเขาเดินต่อด้วยแรงกายแรงใจที่เขามี สิ่งดีๆต้องเกิดขึ้นแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว” การแข่งขันนั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในทุกสิ่งที่เราทำจะต้องมีคู่แข่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
4. เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ
คนที่จิตแข็งมีเป้าหมายยิ่งใหญ่มาก เพราะมันคุ้มที่จะลงมือทำ ถ้าเขาเล็งที่ดวงจันทร์ ต่อให้ไปไม่ถึง อย่างน้อยเขาก็อยู่ท่ามกลางหมู่ดาว มันจึงคุ้มที่จะเสี่ยง คุณเคยมีประสบการณ์ที่เอาชนะความกลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อไหม? เคยได้ยินหรือเห็นคนที่ยกของใหญ่และหนักกว่าตัวเองได้ในเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือแม่ที่บุกเข้าไปช่วยลูกในพื้นที่อันตรายโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเองไหม? พวกเขาทำไปได้อย่างไร?คำตอบคือ เพราะว่าเมื่อมนุษย์เรากล้าและลืมความกลัว เราจะสามารถทำสิ่งที่มันเหลือเชื่อได้เสมอ
คนจิตแข็งเลือกเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้ หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยในสายตาคนอื่น เพราะมันทำให้เขากล้า มันทำให้เขารู้สึกว่ามันคุ้มที่จะลงมือทำ
เพราะเป้าหมายเล็กๆมันไม่น่าดึงดูดใจเพียงพอ เขาจึงเลือกสิ่งที่ดึงดูดใจและทำให้เขามีไฟลุกโชน กล้าเสี่ยงที่จะทำ และพวกเขาทำอย่างเต็มที่ ใช้พลังกายและใจทุกอย่างที่มีด้วยความเชื่อที่ว่า “
สักวันมันต้องสำเร็จ ช้าหรือเร็วมันต้องสำเร็จ” เพราะอย่างน้อย ถ้าทำไม่สำเร็จ ไปไม่ถึงดวงจันทร์ เขาก็ยังลงเอยที่หมู่ดาว
5. พวกเขาไม่สนใจสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
คนจิตแข็งไม่มัวเสียเวลากับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะมันไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้น่ะสิ! พวกเขาเข้าใจว่ายิ่งพวกเขาเลิกเป็นพวกบ้าอำนาจ บ้าการควบคุมทุกสิ่งอย่าง พวกเขาจะยิ่งอยู่ห่างจากการตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายๆ พวกเขาไม่สร้างนิสัยแย่ๆให้ตัวเองเพราะมันทำให้เครียดและกดดันโดยใช่เหตุ
ถึงเราจะควบคุมทุกอย่างไม่ได้ แต่เราควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของเราได้เสมอ ห้าข้อนี้แหละที่ทำให้คนจิตแข็งเขาเป็นคนจิตแข็งได้ในปัจจุบัน และเราทุกคนก็สามารถฝึกมันได้
สิ่งที่เราทำในอดีตมันอาจกลายเป็นสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน แต่สิ่งที่เราทำ ณ ปัจจุบันก็จะกลายเป็นเราในอนาคต เพราะฉะนั้นคนเรามีทางเลือกเสมอ ไม่มีใครเด็กเกินไป แก่เกินไป โง่เกินไปหรือฉลาดเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรอก เชื่อสิ ถ้าคุณอยากเป็นสุดยอดคนจิตแข็ง เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ มันไม่สายไปหรอก รับรองว่าชีวิตจะหายเครียดลงเยอะ
จากใจ
แต่ก็ไม่ควรฝึกจิตแข็งเกินไปนะครับ เพราะจิตแข็งมันยังสามารถหมายถึงจิตแข็งทื่อได้ จะให้ดีทำตามที่พระพุทธองค์บอกไว้ดีกว่า คือควรทำให้มี"
จิตคู่ควรกับการงาน" หมายถึงจิตที่มีลักษณะของความเบาสบาย อ่อนละมุน ปราดเปรียว ว่องไว สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของจิตที่คู่ควรการงาน ไม่ใช่จิตที่อ่อนแอ ขวัญอ่อน หรือแข็งกระด้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
การที่จะมีจิตที่คู่ควรการงานได้นั้น อันดับแรกต้อง"
รู้สึกตัวให้เป็น" จะรู้สึกตัวเป็นได้นั้น ต้องมีการฝึกสติให้เกิดขึ้นครับ สตินี่ไมได้หมายถึงสติแบบโลกๆที่เราเข้าใจน่ะครับ เพราะสติแบบนั้นเอาไว้ทำการงานทางโลก ส่วนสติที่นักภาวนาจำเป็นต้องมีคือสติในการระลึกรู้กาย ใจ ตนเอง
เพราะสติเปรียบเสมือนกำแพงที่กลางกั้นอกุศลในใจเรา ความหวาดระแวง ความตกอกตกใจ ความกลัว อกุศลต่างๆนาๆเหล่านี้ จะดับไปถ้าหัดมาเจอสติครับ
ความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง แสวงหา
เพียงอยากให้รู้ว่า สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ในตัวคุณ.................
อยากเป็นสุดยอด "มนุษย์จิตแข็ง" ต้องอ่าน!!!
เป็นสิ่งสำคัญที่คนเราควรมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง
ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา ซีอีโอหรือเจ้าของกิจการใหญ่เล็ก
ภาวะจิตที่แข็งแกร่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบาก
ในชีวิตประจำวันไปได้ด้วยดี แล้วคุณล่ะ มีจิตที่แข็งแกร่งแค่ไหน?
ทำความเข้าใจกันก่อนว่าสภาวะของจิตใจเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถวัดความแข็งแรงได้เหมือนสภาวะร่างกาย
เพราะมันเกิดจากอารมณ์และเคมีภายในร่างกายของเราที่เป็นนามธรรมเสียส่วนใหญ่
ข่าวดีก็คือสภาวะจิตใจของเรานั้นสามารถถูกฝึกได้เช่นกัน เพียงแต่อาจไม่ง่ายเหมือนการออกกำลังกายเท่าใดนัก ต้องอาศัยประสบการณ์ เวลาและการควบคุมอารมณ์มากพอสมควร
ความเข้มแข็งภายในจิตใจไม่อาจเรียกได้ว่าถูกถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ยกตัวอย่างเช่น พ่อที่เคยทำงานหนักและลำบากมาก่อน สามารถอดทนต่อสิ่งแวดล้อมแย่ๆและความตึงเครียดได้ดี
พอมีลูก ซึ่งเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวไม่ลำบากแล้ว เลยปรนเปรอและตามใจลูกเต็มที่ เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดในวัยเด็กของตัวเอง ลูกอาจกลายเป็นคนที่มีความอ่อนแอต่อโลกภายนอก ทำอะไรไม่เป็นเพราะมีพ่อคอยโอ๋ก็ได้ เป็นต้น
แต่อย่าเพิ่งถอดใจเสียก่อน ว่าพ่อแม่เราไม่ได้สอนให้เราเป็นคนเข้มแข็ง เราคงทำไม่ได้เป็นแน่ เพราะจิตของเรานั้นสามารถถูกฝึกได้
ความเข้มแข็งของจิตใจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ และหนทางที่ง่ายก็คือการเลียนแบบความคิดคนที่เขามีสภาวะจิตแข็งแกร่งนั่นเอง ฉะนั้นเรามาดูกันว่า คุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของนักกีฬา นักธุรกิจระดับโลกเขามีนั้นคืออะไรบ้าง เพื่อที่เราจะเข้าใจคำจำกัดความของคำว่า
“ความแข็งแกร่งของจิตใจ” กันจริงๆเสียที
1. เขาไม่รู้สึกสงสารหรือรู้สึกแย่กับตัวเขาเอง
เคยเห็นคนที่เอาแต่บ่นๆๆ รู้สึกท้อแท้ไหม? คุณรู้สึกอย่างไรกับเขา? และถามจริงๆนะ ว่าคุณทำแบบนั้นกับตัวเองบ่อยๆหรือเปล่า?
คนที่จิตใจเข้มแข็งจริงๆจะไม่รู้สึกแย่เมื่อคนอื่นปฏิบัติกับเขาในแนวทางที่เขาไม่ต้องการ ไม่ว่าเขาจะเจอสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างไร เขาแทบจะไม่บ่นหรือทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตขึ้นไปอีก เพราะเขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะรู้ว่า การพร่ำบ่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แถมยังทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกว่าเขาเป็นคนอ่อนแอปวกเปียก
ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมองเราด้วยสายตาแบบนั้นหรอก จริงไหม? นอกจากไม่พร่ำบ่นพรรณนาถึงสิ่งที่เขาไม่ชอบ ไม่ต้องการแล้ว พวกเขายังทำสิ่งที่กลับกัน คือ เลือกโฟกัสสิ่งที่เขาอยากให้เกิดขึ้นแทน และดูว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ เพราะเขาเชื่อว่า
“ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่ให้บ่น”
2. พวกเขาไม่ให้อำนาจคนอื่นเหนือตัวเขาเอง
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับคำสั่งจากหัวหน้าของเขา ทำตัวเหนือกว่าผู้บังคับบัญชานะ อย่าเข้าใจผิด แต่มันหมายถึงว่า “พวกเขาไม่ยอมคนอื่นไปเสียทุกอย่าง” การยอมคนอื่นไปเสียทุกอย่างคืออะไร? อย่าคิดว่ามันคือน้ำใจเชียว การที่คุณยอมทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นเล็กๆน้อยๆอาจเรียกว่าน้ำใจ แต่ถ้าคุณทำมากไป มันแปลได้ว่า “คุณไม่มีศักดิ์ศรี คุณไม่นับถือตัวเองมากพอ”
ถ้าอยากให้เห็นภาพชัด ก็คือ การที่คุณมีเป้าหมายที่คุณอยากทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ และคุณมัวแต่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เอาแต่กังวลว่าพ่อแม่จะว่าอย่างไร เพื่อนบ้านจะมองอย่างไร หรือคนที่รู้จักคุณจะตัดสินคุณ เชื่อขนมกินได้เลยว่าคุณจะทำเป้าหมายของคุณไม่สำเร็จ เพราะคุณ ให้ความคิดและคำพูดคนอื่นมีอำนาจเหนือคุณน่ะสิ
คนที่จิตแข็งเลือกที่จะฟังคนอื่นบ้าง แต่ก็ยังเลือกทำสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่ดี เพราะเขาย่อมคิดและวิเคราะห์อย่างดีแล้วว่าเขาต้องการมันและมันไม่เดือดร้อนใคร ฉะนั้นถ้ามีบางอย่างที่คุณอยากให้มันสำเร็จมากๆในชีวิตนี้ แต่มันยังไม่ได้เริ่ม หรือไปไม่ถึงไหนเสียที ลองทบทวนตัวเองดูนะว่ากำลังเสียเวลาแคร์ความคิดคนอื่นอยู่หรือเปล่า?
3. พวกเขาไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง
พอพูดถึงความเปลี่ยนแปลง ใช่ คำพูดมันดูบวกมากๆ สำหรับคนที่กำลังอยู่ทางตันหรือหมดหนทางในชีวิต แต่สำหรับคนที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองดีอยู่แล้ว คำว่า “เปลี่ยนแปลง” อาจมีความหมายที่น่ากลัวก็ได้ ยอมรับเสียเถอะว่าในชีวิตเราต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลงทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวังมาก่อน
บางคนถึงกับล้มพับเมื่อเจอความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไรอีกเลย แต่คนที่จิตแข็ง ไม่ใช่ว่าเขาชอบการเปลี่ยนแปลงหรอกนะ เพราะการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น ถูกไล่ออกจากงาน ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ทำยอดขายไม่ได้ตามเป้าหมาย เศรษฐกิจทรุดตัว หุ้นร่วง พ่อแม่เสีย ฯลฯ ทำให้คนเราเสียศูนย์มานักต่อนักแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาเสียใจ เขาผิดหวัง เขามีความรู้สึกเพราะเขาเป็นคน ไม่ใช่หุ่นยนต์
แต่เขาเลือกที่จะเดินต่อ มองหาหนทางที่จะสู้ต่อ ค่อยๆปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พวกเขามีความเชื่ออย่างยิ่งว่า
“ทุกปัญหามีทางออก ถ้าเขาเดินต่อด้วยแรงกายแรงใจที่เขามี สิ่งดีๆต้องเกิดขึ้นแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว” การแข่งขันนั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในทุกสิ่งที่เราทำจะต้องมีคู่แข่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
4. เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ
คนที่จิตแข็งมีเป้าหมายยิ่งใหญ่มาก เพราะมันคุ้มที่จะลงมือทำ ถ้าเขาเล็งที่ดวงจันทร์ ต่อให้ไปไม่ถึง อย่างน้อยเขาก็อยู่ท่ามกลางหมู่ดาว มันจึงคุ้มที่จะเสี่ยง คุณเคยมีประสบการณ์ที่เอาชนะความกลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อไหม? เคยได้ยินหรือเห็นคนที่ยกของใหญ่และหนักกว่าตัวเองได้ในเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือแม่ที่บุกเข้าไปช่วยลูกในพื้นที่อันตรายโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเองไหม? พวกเขาทำไปได้อย่างไร?คำตอบคือ เพราะว่าเมื่อมนุษย์เรากล้าและลืมความกลัว เราจะสามารถทำสิ่งที่มันเหลือเชื่อได้เสมอ
คนจิตแข็งเลือกเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้ หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยในสายตาคนอื่น เพราะมันทำให้เขากล้า มันทำให้เขารู้สึกว่ามันคุ้มที่จะลงมือทำ
เพราะเป้าหมายเล็กๆมันไม่น่าดึงดูดใจเพียงพอ เขาจึงเลือกสิ่งที่ดึงดูดใจและทำให้เขามีไฟลุกโชน กล้าเสี่ยงที่จะทำ และพวกเขาทำอย่างเต็มที่ ใช้พลังกายและใจทุกอย่างที่มีด้วยความเชื่อที่ว่า “สักวันมันต้องสำเร็จ ช้าหรือเร็วมันต้องสำเร็จ” เพราะอย่างน้อย ถ้าทำไม่สำเร็จ ไปไม่ถึงดวงจันทร์ เขาก็ยังลงเอยที่หมู่ดาว
5. พวกเขาไม่สนใจสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
คนจิตแข็งไม่มัวเสียเวลากับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะมันไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้น่ะสิ! พวกเขาเข้าใจว่ายิ่งพวกเขาเลิกเป็นพวกบ้าอำนาจ บ้าการควบคุมทุกสิ่งอย่าง พวกเขาจะยิ่งอยู่ห่างจากการตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายๆ พวกเขาไม่สร้างนิสัยแย่ๆให้ตัวเองเพราะมันทำให้เครียดและกดดันโดยใช่เหตุ
ถึงเราจะควบคุมทุกอย่างไม่ได้ แต่เราควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของเราได้เสมอ ห้าข้อนี้แหละที่ทำให้คนจิตแข็งเขาเป็นคนจิตแข็งได้ในปัจจุบัน และเราทุกคนก็สามารถฝึกมันได้
สิ่งที่เราทำในอดีตมันอาจกลายเป็นสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน แต่สิ่งที่เราทำ ณ ปัจจุบันก็จะกลายเป็นเราในอนาคต เพราะฉะนั้นคนเรามีทางเลือกเสมอ ไม่มีใครเด็กเกินไป แก่เกินไป โง่เกินไปหรือฉลาดเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรอก เชื่อสิ ถ้าคุณอยากเป็นสุดยอดคนจิตแข็ง เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ มันไม่สายไปหรอก รับรองว่าชีวิตจะหายเครียดลงเยอะ
จากใจ
แต่ก็ไม่ควรฝึกจิตแข็งเกินไปนะครับ เพราะจิตแข็งมันยังสามารถหมายถึงจิตแข็งทื่อได้ จะให้ดีทำตามที่พระพุทธองค์บอกไว้ดีกว่า คือควรทำให้มี"จิตคู่ควรกับการงาน" หมายถึงจิตที่มีลักษณะของความเบาสบาย อ่อนละมุน ปราดเปรียว ว่องไว สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของจิตที่คู่ควรการงาน ไม่ใช่จิตที่อ่อนแอ ขวัญอ่อน หรือแข็งกระด้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
การที่จะมีจิตที่คู่ควรการงานได้นั้น อันดับแรกต้อง"รู้สึกตัวให้เป็น" จะรู้สึกตัวเป็นได้นั้น ต้องมีการฝึกสติให้เกิดขึ้นครับ สตินี่ไมได้หมายถึงสติแบบโลกๆที่เราเข้าใจน่ะครับ เพราะสติแบบนั้นเอาไว้ทำการงานทางโลก ส่วนสติที่นักภาวนาจำเป็นต้องมีคือสติในการระลึกรู้กาย ใจ ตนเอง
เพราะสติเปรียบเสมือนกำแพงที่กลางกั้นอกุศลในใจเรา ความหวาดระแวง ความตกอกตกใจ ความกลัว อกุศลต่างๆนาๆเหล่านี้ จะดับไปถ้าหัดมาเจอสติครับ
ความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง แสวงหา
เพียงอยากให้รู้ว่า สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ในตัวคุณ.................