เนื้อเรื่องย่อ : เมื่อเด็กหนุ่มชาวฟินนิช 'ออสการิ' ต้องสืบทอดธรรมเนียมของลูกผู้ชายโดยการเข้าป่าล่าสัตว์โดยลำพัง ประจวบเหมาะได้มาพบกับประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังหลบหนีจากการล่าสังหารของฝ่ายศัตรูอยู่ ความอยู่รอดของผู้นำของประเทศมหาอำนาจจึงขึ้นอยู่กับนักล่าน้อยคนนี้
- ด้านการดำเนินเรื่อง
เสน่ห์อย่างแรกที่ผู้เขียนรู้สึกเกินคาดจริงๆคือ 'ความเท่' ของหนังที่ขนมาเต็มเกินพิกัดชนิดที่ว่าปลุกเร้าอารมณ์กันสุดๆเลยทีเดียว, เรื่องราวช่วงแรกของ Big Game นั้นจะโคจรอยู่รอบๆตัวละครเอกอย่าง 'ออสการิ' ซึ่งจะทำให้เราได้เข้าถึงแรงผลักดันของตัวละครตั้งแต่จุดเริ่ม ในความคาดหวังและความกดดันในฐานะลูกชายของตำนานนักล่า ซึ่งการขยายความในส่วนนี้ขึ้นมาส่งผลให้เรา 'เอาใจช่วย' ตัวละครได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ฉากแอคชั่นในเรื่องนี้แม้จะไม่มากมายให้สะใจกัน แต่ก็โดดเด่นที่ 'ความสมจริง' ของฉากเหล่านั้นเสียมากกว่า เราจะไม่ได้เห็นฉากแอคชั่นเวอร์ๆหลุดโลกเหมือนเรื่องอื่น แต่สิ่งที่เราชื่นชมและเอาใจช่วยตัวละครเอกกลับกลายเป็นการก้าวข้ามความกลัวและความแน่วแน่ที่ 'ออสการิ' ถ่ายทอดออกมามากกว่า โดยเฉพาะในฉากที่เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะสร้างตำนานให้ตัวเองนั้นถือว่าเจ๋งติดตามากเลยทีเดียว
นอกเหนือจากฉากแอคชั่นที่สมจริงแล้ว 'บทสนทนา' ที่โดดเด่นและเท่เอามากๆ ก็ช่วยบิ้วอารมณ์คนดูอย่างเราๆได้อีกระดับเลยทีเดียว อีกทั้งไดอะล็อกระหว่างตัวละครที่ไม่ท่วมทุ่งแต่เต็มไปด้วยความหมาย (โดยส่วนตัวชอบฉากที่คุยกันเรื่องการเป็นคนแข็งแกร่งมาก) เมื่อมาผสานกับการใช้เพลงประกอบที่จัดเต็มอลังการสุดๆแบบนี้ ถือเป็นความดีงามที่หาข้อตำหนิได้ยากจริงๆ
- ด้านตัวละคร
การที่เลือกใช้นักแสดงหนุ่มนอกกระแสมาแสดงเป็น Oskari (Onni Tommila) ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด ความโดดเด่นของการแสดงของเจ้าหนุ่มนี่อยู่ที่แววตาที่สื่ออารมณ์ได้ชัดเจนมาก (หรือเพราะมันคิ้วบาง?) และบุคลิคท่าทางที่ badass ตลอดเวลาก็ช่วยขับคาแร็คเตอร์ให้เด่นชัดขึ้น
สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง Samuel L. Jackson ในบทบาทประธานาธิบดีสหรัฐก็ยังคงรักษาความยียวนในลีลาการพูดของแกได้เป็นอย่างดี และการเสียดสีแบบขำๆเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของอเมริกาอยู่บ่อยครั้งก็ชวนให้อดขำไม่ได้ ที่น่าสนใจคือการคงอารมณ์ 'ตกกระใดพลอยโจน' ของแกที่ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกับเจ้าหนูออสการินั้น เฮียซามูเอลสามารถคงสีหน้านั้นไว้ได้ทั้งเรื่องเลย คงถือเป็นผลงานจากประสบการณ์จริงๆ
- ด้านงานภาพ-เพลงประกอบ
เป็นหนังเรื่องแรกในรอบหลายเดือนที่ใช้เพลงประกอบได้ 'อลังการและถี่' แบบนี้ เราจะได้ยินเพลงกระหึ่มโรงแทบจะทุกๆฉากของหนังซึ่งช่วยส่งอารมณ์ให้ถึงฝั่งฝันสุดๆ ถึงแม้ฉากแอคชั่นจะไม่ผาดโผนเท่าไหร่ แต่กลับเป็นการดีที่มันยังคงอยู่ในธีมของหนังได้
" Big Game เป็นหนังแอคชั่นที่ไม่ได้ขายแอคชั่น แต่มันขายความเท่ของตัวละคร ความฉลาดในการสนทนา และความอลังการของซาวน์และภาพ อีกทั้งมิติใหม่ของเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนแต่พอประมาณที่น่าสนใจ ทั้งหมดทั้งมวลถือว่าไม่ควรพลาดด้วยประการใดใด "
คะแนนความเห็นส่วนตัว : 10/10
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ by Jayz Hunhaboon
Big Game - การล่าที่อลังที่สุดในสามโลก
- ด้านการดำเนินเรื่อง
เสน่ห์อย่างแรกที่ผู้เขียนรู้สึกเกินคาดจริงๆคือ 'ความเท่' ของหนังที่ขนมาเต็มเกินพิกัดชนิดที่ว่าปลุกเร้าอารมณ์กันสุดๆเลยทีเดียว, เรื่องราวช่วงแรกของ Big Game นั้นจะโคจรอยู่รอบๆตัวละครเอกอย่าง 'ออสการิ' ซึ่งจะทำให้เราได้เข้าถึงแรงผลักดันของตัวละครตั้งแต่จุดเริ่ม ในความคาดหวังและความกดดันในฐานะลูกชายของตำนานนักล่า ซึ่งการขยายความในส่วนนี้ขึ้นมาส่งผลให้เรา 'เอาใจช่วย' ตัวละครได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ฉากแอคชั่นในเรื่องนี้แม้จะไม่มากมายให้สะใจกัน แต่ก็โดดเด่นที่ 'ความสมจริง' ของฉากเหล่านั้นเสียมากกว่า เราจะไม่ได้เห็นฉากแอคชั่นเวอร์ๆหลุดโลกเหมือนเรื่องอื่น แต่สิ่งที่เราชื่นชมและเอาใจช่วยตัวละครเอกกลับกลายเป็นการก้าวข้ามความกลัวและความแน่วแน่ที่ 'ออสการิ' ถ่ายทอดออกมามากกว่า โดยเฉพาะในฉากที่เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะสร้างตำนานให้ตัวเองนั้นถือว่าเจ๋งติดตามากเลยทีเดียว
นอกเหนือจากฉากแอคชั่นที่สมจริงแล้ว 'บทสนทนา' ที่โดดเด่นและเท่เอามากๆ ก็ช่วยบิ้วอารมณ์คนดูอย่างเราๆได้อีกระดับเลยทีเดียว อีกทั้งไดอะล็อกระหว่างตัวละครที่ไม่ท่วมทุ่งแต่เต็มไปด้วยความหมาย (โดยส่วนตัวชอบฉากที่คุยกันเรื่องการเป็นคนแข็งแกร่งมาก) เมื่อมาผสานกับการใช้เพลงประกอบที่จัดเต็มอลังการสุดๆแบบนี้ ถือเป็นความดีงามที่หาข้อตำหนิได้ยากจริงๆ
- ด้านตัวละคร
การที่เลือกใช้นักแสดงหนุ่มนอกกระแสมาแสดงเป็น Oskari (Onni Tommila) ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด ความโดดเด่นของการแสดงของเจ้าหนุ่มนี่อยู่ที่แววตาที่สื่ออารมณ์ได้ชัดเจนมาก (หรือเพราะมันคิ้วบาง?) และบุคลิคท่าทางที่ badass ตลอดเวลาก็ช่วยขับคาแร็คเตอร์ให้เด่นชัดขึ้น
สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง Samuel L. Jackson ในบทบาทประธานาธิบดีสหรัฐก็ยังคงรักษาความยียวนในลีลาการพูดของแกได้เป็นอย่างดี และการเสียดสีแบบขำๆเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของอเมริกาอยู่บ่อยครั้งก็ชวนให้อดขำไม่ได้ ที่น่าสนใจคือการคงอารมณ์ 'ตกกระใดพลอยโจน' ของแกที่ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกับเจ้าหนูออสการินั้น เฮียซามูเอลสามารถคงสีหน้านั้นไว้ได้ทั้งเรื่องเลย คงถือเป็นผลงานจากประสบการณ์จริงๆ
- ด้านงานภาพ-เพลงประกอบ
เป็นหนังเรื่องแรกในรอบหลายเดือนที่ใช้เพลงประกอบได้ 'อลังการและถี่' แบบนี้ เราจะได้ยินเพลงกระหึ่มโรงแทบจะทุกๆฉากของหนังซึ่งช่วยส่งอารมณ์ให้ถึงฝั่งฝันสุดๆ ถึงแม้ฉากแอคชั่นจะไม่ผาดโผนเท่าไหร่ แต่กลับเป็นการดีที่มันยังคงอยู่ในธีมของหนังได้
" Big Game เป็นหนังแอคชั่นที่ไม่ได้ขายแอคชั่น แต่มันขายความเท่ของตัวละคร ความฉลาดในการสนทนา และความอลังการของซาวน์และภาพ อีกทั้งมิติใหม่ของเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนแต่พอประมาณที่น่าสนใจ ทั้งหมดทั้งมวลถือว่าไม่ควรพลาดด้วยประการใดใด "
คะแนนความเห็นส่วนตัว : 10/10
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ by Jayz Hunhaboon