ต้องขอโทษด้วยครับ ที่ลบกระทู้เก่าไป เนื่องจากเหตุขัดข้องทางการสื่อสารนิดหน่อย เลยต้องแก้ไขเนื้อความบางประการครับ ^^
------------------------------------------------------
จริง ๆ แล้วงานแต่งนี้เริ่มมาจากความคิดที่ว่า อยากหาที่กินเลี้ยงฉลองกันเองในหมู่เพื่อนสนิทครับ
แต่จำนวนเพื่อน ๆ ที่ทราบข่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดความคิดว่า มานั่งรวมหน้ากัน กินเฉย ๆ ก็คงจะธรรมดาไป
ถ้ามีพิธีเล็ก ๆ ในงานด้วยก็คงจะน่ารัก และน่าจดจำไม่น้อย
โปรเจกต์ก็เลยค่อย ๆ ขยายออกไปเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นงาน "Handfasting" หรือพิธี "สมรสผูกข้อมือ"
หลังจากที่ได้ทราบจำนวนแขกอย่างคร่าว ๆ คือราว 40-60 คน
ก็พยายามหาสถานที่ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของบรรยากาศ อาหาร และราคา
จนมาจบที่ห้องอาหาร No.43 ของ Cape House หลังสวนครับ
โดยเหมาบุฟเฟต๋กลางวันของทั้งห้องอาหาร จำนวน 65 หัว
เรียกได้ว่าปิดห้องเลี้ยงกันไปเลย
ทางห้องอาหารก็น่ารักมากครับ ให้ความสนใจ สอบถาม และเก็บรายละเอียด
โดยทางห้องอาหารกังวลแค่เรื่องเสียง เพราะหะแรกพอเขาได้ยินว่างานแต่งงานก็คงกลัวว่าจะเจอเครื่องเสียงมังครับ
แต่พอเราอธิบายรูปแบบงานไป ทางนั้นก็ให้ความสนใจมาก และตอบรับเราเป็นอย่างดี
พร้อมกับช่วยจัดหาดอกไม้มาประดับห้องอาหารให้ดูพิเศษกว่าทุกวัน โดยเพิ่มค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย
หลังจากนั้นก็หาสมุดลงชื่อ ใจอยากจะทำให้พิเศษ คือไม่ได้ซื้อสมุดสำเร็จรูปมาวางเฉย ๆ
หาไปหามาจนมาจบที่หนังสือทำมือแสนน่ารัก สั่งไม่นานก็ได้เลย ตามใจเจ้าสาวที่ชอบกระต่าย
และดุนปกนูนให้เป็นอักษรย่อชื่อบ่าวสาว
ส่วนของชำร่วยทำเองเลยครับ
เดินจตุจักรหาขวดเล็ก ๆ หาถุงผ้า กุหลาบแห้ง ดอกลาเวนเดอร์แห้ง น้ำผึ้ง และเกลือ
กลับมาถึงก็เปิดโรงงานนรกจนออกมาเป็นของชำร่วยน่ารัก ๆ แบบนี้
และที่ขาดไม่ได้คือ เชือกผูกข้อมือ หัวใจสำคัญของงาน Handfasting
ก็ได้จตุจักรนี่แหละครับ หาของมาทำกันเอง
ที่เหลือก็เป็นงานจุกจิกเช่นงานเชิญแขก สั่งช่อดอกไม้ให้เจ้าสาว ตระเตรียมพิธี และเก็บตกรายละเอียดต่าง ๆ
ต่างคนต่างปันเวลาว่างจากการทำงานของตัวเองมาช่วยกัน บ้างก็ช่วยเดินเรื่องตามงาน บ้างก็ช่วยแรง ช่วยสมอง ช่วยความเห็น ฯลฯ
ยิ่งใกล้วันยิ่งตื่นเต้นครับ บางคนตื่นเต้นกว่าเจ้าสาวอีก (ฮา)
พอวันพิธีมาถึง ก็มารอหน้าห้องอาหารตั้งแต่เขายังจัดไม่เสร็จเลยครับ
แต่พี่ ๆ พนักงานน่ารัก และใจดีมาก ๆ ออกมาอธิบาย ให้ข้อมูล และบอกเวลาอย่างชัดเจน
พอทางห้องอาหารพร้อม เราก็เข้าไปจัดของอีกนิดหน่อย งานแต่งก็พร้อมจะรับแขกแล้วครับ
โต๊ะรับแขกหน้างานขนาดย่อม ๆ
ในส่วนของการลงชื่อในสมุด ไม่ได้แค่ให้เขียนเฉย ๆ ครับ
แต่มีการถ่ายรูปด้วยกล้องโพลารอยด์หน้างานกับคู่บ่าวสาวก่อน
แล้วจึงนำไปแปะลงในสมุด แล้วค่อยเขียนอวยพร
ตอนแรก ๆ คิดว่าน่าจะเสียเวลาในส่วนนี้มาก แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไหลลื่นดีทีเดียวครับ
อาจจะเพราะแขกเรามีไม่มีมาก เลยไม่ติดขัดเสียเวลาเท่าไหร่
หลังจากนั้นแขกก็จะได้รับของชำร่วยครับ
ที่ใช้กุหลาบแช่น้ำผึ้ง ก็เหมือนเช่นงานแต่งงานทั่ว ๆ ไปครับ ที่ต้องการแสดงให้เป็นสัญลักษณ์ของความรัก
ความหอม+หวาน ของความสัมพันธ์ที่มีให้แก่กัน
ในถุงยังใส่เกลือก้อนหยาบ และดอกลาเวนเดอร์แห้งลงไปด้วย เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ และความสุขในชีวิตครับ
เจ้าบ่าวเจ้าสาว
แต่งหน้า+ทำผม ก็ทำกันเองเนี่ยแหละครับ สาว ๆ เขาช่วยกันหยิบ ๆ จับ ๆ ปัด ๆ แต่ง ๆ จนออกมาสวยชิ้ง ไม่ต้องพึ่งช่างกันเลย
พอแขกเหรื่อพร้อมก็เริ่มพิธีครับ
แขกทุกท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และมีความสนอกสนใจมากครับ
การผูกข้อมือแบบนี้เป็นพิธีแต่งงานท้องถิ่นของทางหมู่เกาะบริเตน
ลักษณะของพิธีก็เหมือนพิธีแต่งงานทั่วไป คือเป็นการกล่าวยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่คนสองคนมีให้กัน ต่อหน้าประจักษ์พยานทั้งหลาย
คู่บ่าวสาวจะมีการกล่าวคำปฏิญาณแก่กันต่อหน้าผู้ทำพิธี และแขกเหรื่อ
เชือกผูกข้อมือจะต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ และความเชื่อครับ
ในงานนี้ใช้เป็นเชือกกระสอบ ลูกไม้ และริบบิ้นผ้า
สื่อถึงชีวิตทั้ง 3 แบบที่บ่าวสาวจะได้พบในชีวิตคู่ คือ
เชือกกระสอบ แทนความทุกข์ ความลำบาก และความขัดแย้ง
ลูกไม้ แทนความสุข ความสบาย ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์
ริบบิ้นผ้า แทนความธรรมดาสามัญ และชีวิตประจำวัน
และกลางเชือกจะผูกปมไว้ปมหนึ่ง เป็นเครื่องหมายถึงความผูกพันธ์ และพัมธะสัญญาที่ทั้งสองมอบให้แก่กันครับ
กำลังกล่าวคำปฏิญาณข้อสุดท้ายครับ
ใครสังเกตจะเห็นเสาเชิงเทียนคู่หนึ่ง ตั้งขนาบเจ้าบ่าวเจ้าสาว
เป็นเทียนแทนคู่บ่าวสาว หมายถึงแสงสว่าง การนำทาง และความอบอุ่นที่ทั้งสองจะมอบให้แก่กันครับ
“บัดนี้ ต่อหน้าสักขีพยานทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน
และขออำนาจแห่งคำปฏิญาณนี้ อำนวยพรให้ชีวิตสมรสของท่านทั้งสองเข้มแข็งขึ้น
เจริญในความรักที่มีให้แก่กันและกันตลอดไป”
ในสมัยก่อนเขาจะให้บ่าวสาวผูกข้อมือติดกันไว้แบบนี้เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ครับ!!!
ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่อให้ฝึกความมีน้ำอดน้ำทน และรู้จักการให้ความร่วมมือแก่กันและกัน
แต่ในปัจจุบันทำไม่ได้ ก็เลยละประเพณีนี้ไปครับ
มีแขกท่านหนึ่งถ่ายวิดีโอไว้ด้วยครับ
หลังจากเสร็จพิธีแล้วก็เข้าสู่การฉลองครับ
ก็เชิญแขกเหรื่อ กิน และดื่มกันตามอัธยาศัย
อาหารนี่เรียกได้ว่าคอยเติมไม่ขาดเลยครับ
ส่วนตัวชอบมากินที่นี่กับเพื่อนเป็นประจำอยู่แล้ว เลยเชื่อมือในรสอาหารเขา
พนักงานน่ารักมาก ๆ เลยครับ ยิ้มแย้ม และใส่ใจในการให้บริการมาก ๆ
หมั่นมาถามไถ่ ว่าขาดเหลืออะไรตรงไหนอีกบ้าง
ใครที่เคยมากินที่นี่ จะคุ้นเคยกับพี่คนนี้
อาจจะดูดุสักหน่อยเวลาสั่งงาน
แต่จริง ๆ แล้วน่ารักมากครับ
ออกแนวเข้มงวดมากกว่า
เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินข้าวกันกระหนุงกระหนิง <3
พอแขกเริ่มกินกันจนอยู่ท้องแล้ว เริ่มเดินเล่น คุยกัน ถ่ายรูปเล่นกัน
ก็มาถึงฉากที่ขาดไม่ได้ในงานแต่งงาน
เคยอ่านเจอครับ ว่าสาเหตุที่มีการโยนช่อดอกไม้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อที่ว่า การได้ดอกไม้ หรือชิ้นส่วนบนชุดเจ้าสาวติดมือกลับบ้าน จะนำโชคดีมาให้
จนถึงขนาดที่ว่ามีการฉีกทึ้งชายกระโปรงของเจ้าสาวกันเลยทีเดียว
การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาวจึงมิใช่แค่มอบความโชคดีให้แก่แขกเหรื่อในงาน แต่ยังเปิดโอกาสให้เจ้าสาวได้เดินออกจากงานไปสู่ห้องหอได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย
แต่เดิมการรับช่อดอกไม้เจ้าสาวจะสงวนไว้ให้แต่กับแขกผู้หญิงที่ยังสาว และโสดอยู่ โดยเชื่อว่าผู้ที่ได้รับดอกไม้ไป
จะได้แต่งงานเป็นคนถัดไป
(ก็เล่นได้ทั้งช่อแบบนี้ แสดงว่าโชคดีสุด ๆ ไปเลย แล้วสำหรับผู้หญิงจะมีอะไรโชคดีไปกว่าการได้ออกเรือนล่ะครับ)
ดอกไม้เจ้าสาว <3
เสร็จแล้วยังมีใบรับรองการสมรสให้อีกด้วยครับ
เป็นเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากทีมจัดงาน <3
ขอให้ชีวิตรักของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมีความสุข และยั่งยืนไปตลอดนะครับ <3 <3 <3
---------------------------------------------------------------------------------------
ทีนี้เราลองมาดูที่งบประมาณครับ
อาหาร + ค่าดอกไม้ตบแต่ง
30,350.-
ช่อดอกไม้เจ้าสาว
800.-
สมุดลงชื่อ
500.-
ฟิลม์โพลารอยด์
1,350.-
ของชำร่วย
1,000.-
ช่างภาพ
2,000.-
จิปาถะ
2,000.-
รวมทั้งสิ้น 38,000.- ครับ
สำหรับงานแต่งเล็ก ๆ กับแขก 65 คน
ใครสนใจลองเอาไปเป็นแรงบันดาลใจบ้างก็ได้นะครับ
เหนื่อยหน่อย แต่สนุก และประทับใจมากครับ <3
-------------------------------------------------------------
เก็บตกบรรยากาศ
ตรวจทานบทพิธี ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะต้องแปลจากอังกฤษเป็นไทย
ที่เลือกแปลเป็นภาษาไทย ก็เพื่อให้เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ง่ายครับ
แก๊งค์งานแต่ง <3 เกือบลืมถ่ายภาพหมู่กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสียแล้ว
มัวแต่ยุ่งเรื่องงานกัน
ซักซ้อมพิธีกันอีกครั้งก่อนเริ่มพิธีจริง
พอพิธีเสร็จแล้วใจหายเลยครับ
เหนื่อยก็เหนื่อย โล่งก็โล่ง เหงาก็เหงา มันหลากอารมณ์ปนกันไป
แต่ที่แน่ ๆ สุขใจมากครับ <3
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ <3
ขอความรักจงมีแด่ท่านทั้งหลายครับ <3
จัดงานแต่งงานเล็ก ๆ "Handfasting" งบไม่เกิน 4 หมื่น ไม่ต้องง้อ Organizer <3
------------------------------------------------------
จริง ๆ แล้วงานแต่งนี้เริ่มมาจากความคิดที่ว่า อยากหาที่กินเลี้ยงฉลองกันเองในหมู่เพื่อนสนิทครับ
แต่จำนวนเพื่อน ๆ ที่ทราบข่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดความคิดว่า มานั่งรวมหน้ากัน กินเฉย ๆ ก็คงจะธรรมดาไป
ถ้ามีพิธีเล็ก ๆ ในงานด้วยก็คงจะน่ารัก และน่าจดจำไม่น้อย
โปรเจกต์ก็เลยค่อย ๆ ขยายออกไปเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นงาน "Handfasting" หรือพิธี "สมรสผูกข้อมือ"
หลังจากที่ได้ทราบจำนวนแขกอย่างคร่าว ๆ คือราว 40-60 คน
ก็พยายามหาสถานที่ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของบรรยากาศ อาหาร และราคา
จนมาจบที่ห้องอาหาร No.43 ของ Cape House หลังสวนครับ
โดยเหมาบุฟเฟต๋กลางวันของทั้งห้องอาหาร จำนวน 65 หัว
เรียกได้ว่าปิดห้องเลี้ยงกันไปเลย
ทางห้องอาหารก็น่ารักมากครับ ให้ความสนใจ สอบถาม และเก็บรายละเอียด
โดยทางห้องอาหารกังวลแค่เรื่องเสียง เพราะหะแรกพอเขาได้ยินว่างานแต่งงานก็คงกลัวว่าจะเจอเครื่องเสียงมังครับ
แต่พอเราอธิบายรูปแบบงานไป ทางนั้นก็ให้ความสนใจมาก และตอบรับเราเป็นอย่างดี
พร้อมกับช่วยจัดหาดอกไม้มาประดับห้องอาหารให้ดูพิเศษกว่าทุกวัน โดยเพิ่มค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย
หลังจากนั้นก็หาสมุดลงชื่อ ใจอยากจะทำให้พิเศษ คือไม่ได้ซื้อสมุดสำเร็จรูปมาวางเฉย ๆ
หาไปหามาจนมาจบที่หนังสือทำมือแสนน่ารัก สั่งไม่นานก็ได้เลย ตามใจเจ้าสาวที่ชอบกระต่าย
และดุนปกนูนให้เป็นอักษรย่อชื่อบ่าวสาว
ส่วนของชำร่วยทำเองเลยครับ
เดินจตุจักรหาขวดเล็ก ๆ หาถุงผ้า กุหลาบแห้ง ดอกลาเวนเดอร์แห้ง น้ำผึ้ง และเกลือ
กลับมาถึงก็เปิดโรงงานนรกจนออกมาเป็นของชำร่วยน่ารัก ๆ แบบนี้
และที่ขาดไม่ได้คือ เชือกผูกข้อมือ หัวใจสำคัญของงาน Handfasting
ก็ได้จตุจักรนี่แหละครับ หาของมาทำกันเอง
ที่เหลือก็เป็นงานจุกจิกเช่นงานเชิญแขก สั่งช่อดอกไม้ให้เจ้าสาว ตระเตรียมพิธี และเก็บตกรายละเอียดต่าง ๆ
ต่างคนต่างปันเวลาว่างจากการทำงานของตัวเองมาช่วยกัน บ้างก็ช่วยเดินเรื่องตามงาน บ้างก็ช่วยแรง ช่วยสมอง ช่วยความเห็น ฯลฯ
ยิ่งใกล้วันยิ่งตื่นเต้นครับ บางคนตื่นเต้นกว่าเจ้าสาวอีก (ฮา)
พอวันพิธีมาถึง ก็มารอหน้าห้องอาหารตั้งแต่เขายังจัดไม่เสร็จเลยครับ
แต่พี่ ๆ พนักงานน่ารัก และใจดีมาก ๆ ออกมาอธิบาย ให้ข้อมูล และบอกเวลาอย่างชัดเจน
พอทางห้องอาหารพร้อม เราก็เข้าไปจัดของอีกนิดหน่อย งานแต่งก็พร้อมจะรับแขกแล้วครับ
โต๊ะรับแขกหน้างานขนาดย่อม ๆ
ในส่วนของการลงชื่อในสมุด ไม่ได้แค่ให้เขียนเฉย ๆ ครับ
แต่มีการถ่ายรูปด้วยกล้องโพลารอยด์หน้างานกับคู่บ่าวสาวก่อน
แล้วจึงนำไปแปะลงในสมุด แล้วค่อยเขียนอวยพร
ตอนแรก ๆ คิดว่าน่าจะเสียเวลาในส่วนนี้มาก แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไหลลื่นดีทีเดียวครับ
อาจจะเพราะแขกเรามีไม่มีมาก เลยไม่ติดขัดเสียเวลาเท่าไหร่
หลังจากนั้นแขกก็จะได้รับของชำร่วยครับ
ที่ใช้กุหลาบแช่น้ำผึ้ง ก็เหมือนเช่นงานแต่งงานทั่ว ๆ ไปครับ ที่ต้องการแสดงให้เป็นสัญลักษณ์ของความรัก
ความหอม+หวาน ของความสัมพันธ์ที่มีให้แก่กัน
ในถุงยังใส่เกลือก้อนหยาบ และดอกลาเวนเดอร์แห้งลงไปด้วย เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ และความสุขในชีวิตครับ
เจ้าบ่าวเจ้าสาว
แต่งหน้า+ทำผม ก็ทำกันเองเนี่ยแหละครับ สาว ๆ เขาช่วยกันหยิบ ๆ จับ ๆ ปัด ๆ แต่ง ๆ จนออกมาสวยชิ้ง ไม่ต้องพึ่งช่างกันเลย
พอแขกเหรื่อพร้อมก็เริ่มพิธีครับ
แขกทุกท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และมีความสนอกสนใจมากครับ
การผูกข้อมือแบบนี้เป็นพิธีแต่งงานท้องถิ่นของทางหมู่เกาะบริเตน
ลักษณะของพิธีก็เหมือนพิธีแต่งงานทั่วไป คือเป็นการกล่าวยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่คนสองคนมีให้กัน ต่อหน้าประจักษ์พยานทั้งหลาย
คู่บ่าวสาวจะมีการกล่าวคำปฏิญาณแก่กันต่อหน้าผู้ทำพิธี และแขกเหรื่อ
เชือกผูกข้อมือจะต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ และความเชื่อครับ
ในงานนี้ใช้เป็นเชือกกระสอบ ลูกไม้ และริบบิ้นผ้า
สื่อถึงชีวิตทั้ง 3 แบบที่บ่าวสาวจะได้พบในชีวิตคู่ คือ
เชือกกระสอบ แทนความทุกข์ ความลำบาก และความขัดแย้ง
ลูกไม้ แทนความสุข ความสบาย ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์
ริบบิ้นผ้า แทนความธรรมดาสามัญ และชีวิตประจำวัน
และกลางเชือกจะผูกปมไว้ปมหนึ่ง เป็นเครื่องหมายถึงความผูกพันธ์ และพัมธะสัญญาที่ทั้งสองมอบให้แก่กันครับ
กำลังกล่าวคำปฏิญาณข้อสุดท้ายครับ
ใครสังเกตจะเห็นเสาเชิงเทียนคู่หนึ่ง ตั้งขนาบเจ้าบ่าวเจ้าสาว
เป็นเทียนแทนคู่บ่าวสาว หมายถึงแสงสว่าง การนำทาง และความอบอุ่นที่ทั้งสองจะมอบให้แก่กันครับ
“บัดนี้ ต่อหน้าสักขีพยานทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน
และขออำนาจแห่งคำปฏิญาณนี้ อำนวยพรให้ชีวิตสมรสของท่านทั้งสองเข้มแข็งขึ้น
เจริญในความรักที่มีให้แก่กันและกันตลอดไป”
ในสมัยก่อนเขาจะให้บ่าวสาวผูกข้อมือติดกันไว้แบบนี้เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ครับ!!!
ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่อให้ฝึกความมีน้ำอดน้ำทน และรู้จักการให้ความร่วมมือแก่กันและกัน
แต่ในปัจจุบันทำไม่ได้ ก็เลยละประเพณีนี้ไปครับ
มีแขกท่านหนึ่งถ่ายวิดีโอไว้ด้วยครับ
หลังจากเสร็จพิธีแล้วก็เข้าสู่การฉลองครับ
ก็เชิญแขกเหรื่อ กิน และดื่มกันตามอัธยาศัย
อาหารนี่เรียกได้ว่าคอยเติมไม่ขาดเลยครับ
ส่วนตัวชอบมากินที่นี่กับเพื่อนเป็นประจำอยู่แล้ว เลยเชื่อมือในรสอาหารเขา
พนักงานน่ารักมาก ๆ เลยครับ ยิ้มแย้ม และใส่ใจในการให้บริการมาก ๆ
หมั่นมาถามไถ่ ว่าขาดเหลืออะไรตรงไหนอีกบ้าง
ใครที่เคยมากินที่นี่ จะคุ้นเคยกับพี่คนนี้
อาจจะดูดุสักหน่อยเวลาสั่งงาน
แต่จริง ๆ แล้วน่ารักมากครับ
ออกแนวเข้มงวดมากกว่า
เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินข้าวกันกระหนุงกระหนิง <3
พอแขกเริ่มกินกันจนอยู่ท้องแล้ว เริ่มเดินเล่น คุยกัน ถ่ายรูปเล่นกัน
ก็มาถึงฉากที่ขาดไม่ได้ในงานแต่งงาน
เคยอ่านเจอครับ ว่าสาเหตุที่มีการโยนช่อดอกไม้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อที่ว่า การได้ดอกไม้ หรือชิ้นส่วนบนชุดเจ้าสาวติดมือกลับบ้าน จะนำโชคดีมาให้
จนถึงขนาดที่ว่ามีการฉีกทึ้งชายกระโปรงของเจ้าสาวกันเลยทีเดียว
การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาวจึงมิใช่แค่มอบความโชคดีให้แก่แขกเหรื่อในงาน แต่ยังเปิดโอกาสให้เจ้าสาวได้เดินออกจากงานไปสู่ห้องหอได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย
แต่เดิมการรับช่อดอกไม้เจ้าสาวจะสงวนไว้ให้แต่กับแขกผู้หญิงที่ยังสาว และโสดอยู่ โดยเชื่อว่าผู้ที่ได้รับดอกไม้ไป
จะได้แต่งงานเป็นคนถัดไป
(ก็เล่นได้ทั้งช่อแบบนี้ แสดงว่าโชคดีสุด ๆ ไปเลย แล้วสำหรับผู้หญิงจะมีอะไรโชคดีไปกว่าการได้ออกเรือนล่ะครับ)
ดอกไม้เจ้าสาว <3
เสร็จแล้วยังมีใบรับรองการสมรสให้อีกด้วยครับ
เป็นเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากทีมจัดงาน <3
ขอให้ชีวิตรักของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมีความสุข และยั่งยืนไปตลอดนะครับ <3 <3 <3
---------------------------------------------------------------------------------------
ทีนี้เราลองมาดูที่งบประมาณครับ
อาหาร + ค่าดอกไม้ตบแต่ง
30,350.-
ช่อดอกไม้เจ้าสาว
800.-
สมุดลงชื่อ
500.-
ฟิลม์โพลารอยด์
1,350.-
ของชำร่วย
1,000.-
ช่างภาพ
2,000.-
จิปาถะ
2,000.-
รวมทั้งสิ้น 38,000.- ครับ
สำหรับงานแต่งเล็ก ๆ กับแขก 65 คน
ใครสนใจลองเอาไปเป็นแรงบันดาลใจบ้างก็ได้นะครับ
เหนื่อยหน่อย แต่สนุก และประทับใจมากครับ <3
-------------------------------------------------------------
เก็บตกบรรยากาศ
ตรวจทานบทพิธี ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะต้องแปลจากอังกฤษเป็นไทย
ที่เลือกแปลเป็นภาษาไทย ก็เพื่อให้เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ง่ายครับ
แก๊งค์งานแต่ง <3 เกือบลืมถ่ายภาพหมู่กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสียแล้ว
มัวแต่ยุ่งเรื่องงานกัน
ซักซ้อมพิธีกันอีกครั้งก่อนเริ่มพิธีจริง
พอพิธีเสร็จแล้วใจหายเลยครับ
เหนื่อยก็เหนื่อย โล่งก็โล่ง เหงาก็เหงา มันหลากอารมณ์ปนกันไป
แต่ที่แน่ ๆ สุขใจมากครับ <3
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ <3
ขอความรักจงมีแด่ท่านทั้งหลายครับ <3