วันนี้ขออนุญาตทุกท่าน ระบายเรื่องอัดอั้นตันใจเกี่ยวข้างบ้านค่ะ
ก่อนอื่นขอแจ้งก่อนนะค่ะ บ้านเราอยู่ต่างจังหวัด แต่เรามาทำงานที่กทม.
และจากกทม.มาที่บ้านเรา ค่อนข้างไกล ประมาณ 600 กว่ากิโล การจะกลับบ้านทีใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งวันเลย เพราะฉะนั้นเรากับพี่ๆของเราจะกลับต่างจังหวัดมาเยี่ยมเยือนคุณแม่เฉพาะช่วงเทศกาลที่เป็นวันหยุดยาว ๆ ปีนึงก็ประมาณ 2-3 ครั้งเห็นจะได้
สำหรับปีนี้ก็เช่นกัน เราเดินทางกลับไปต่างจังหวัดเพื่อมากราบคุณแม่เช่นเคย และก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่
งั้นเริ่มเรื่องกันเลยนะค่ะ.... คือ ข้างบ้านเราเค้าจะเป็นประเภท มักสร้างภาพให้ตัวเองดูดี เช่น เข้าวัด ทำบุญ รักสัตว์
และชอบโกหกด้วยการทำให้คนอื่นดูแย่ เราเองไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่มันก็อดทนไม่ไหวจริงๆ ค่ะ
และที่มันทำให้เราอึดอัดมากๆ เพราะเรากับคนข้างบ้านเป็นญาติกันค่ะ นามสกุลก็ดันใช้นามสกุลเหมือนกันอีกค่ะ
ก่อนหน้านี้ครอบครัวเรากับข้างบ้านก็สนิทสนมกันดี เพราะเราโตมาด้วยกัน รู้จักนิสัยใจคอกันดี
และคนที่อยู่ละแวกบ้านเราทุกหลังคาเรือนก็มีความสุขกันดี ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันดีค่ะ
จุดเปลี่ยนมันอยู่ที่คนที่เป็นญาติของเราได้เลิกกับภรรยาที่มีลูกด้วยกัน 2 คน ( ถ้านับญาติกัน เด็ก 2 คนนี้ก็เป็นหลานเราเอง)
และนำผู้หญิงคนนึงเข้ามาอยู่แทน (จากนี้ไปขออนุญาติเรียกว่า ข้างบ้านนะคะ) คิดว่าคงจะเป็นภรรยาคนใหม่มั้งค่ะ
จากนั้นข้างบ้านเค้าก็เอาสุนัขพันธ์ใหญ่มาเลี้ยง นับๆแล้วสิบกว่าตัวเห็นจะได้ จริงๆแล้วการที่เค้าจะนำสุนัขมาเลี้ยงกี่ตัวมันไม่ใช่ประเด็นหรอกนะค่ะ คุณจะเลี้ยงเป็นร้อยๆตัวก็ได้ ไม่มีใครว่าคุณหรอก ประเด็นมันอยู่ที่ว่า....ถ้าคุณนำเค้ามาเลี้ยงแล้ว คุณจะสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาได้มั้ย ในเรื่องของกลิ่นและเสียงเห่าที่ไปรบกวนบ้านข้างเคียง ไม่ใช่พอเกิดปัญหาแล้วปัดความรับผิดชอบ จะมาอ้างว่าไม่รู้ภาษาหมา ไม่รู้จะบอกให้มันหยุดอย่างไร ไม่ได้!!!
ในเรื่องของกลิ่นคาวและความสะอาดก็สำคัญ คุณเองอาจจะไม่รู้สึกเพราะมันคือกลิ่นที่คุณได้รับมันทุกวันจนเกิดความเคยชิน ควรจะใส่ใจให้มาก
คือ อยากจะบอกว่าบ้านเราและคนละแวกนั้นต้องใช้ความอดทนเพื่ออยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านแย่ๆแบบนี้มานานแล้ว
จนวันนึงตอนประมาณ 7 โมงเช้า ไม่ทราบข้างบ้านเค้าดูแลสุนัขยังไง ปล่อยสุนัข 3 ตัวให้หลุดออกมา มันก็พากันวิ่งกรูเข้ามาที่บ้านเรา
แล้วสุนัขของเค้า 3 ตัวก็วิ่งมารุมกัดคุณแม่ของเราซึ่งท่านอายุ 70 ปี ที่กำลังยืนกวาดพื้นในบ้าน เราเองก็ยังไม่ตื่นเพราะเพลียจากการเดินทางนาน
คุณแม่เราตะโกนร้องเรียกขอความช่วยเหลือ เพราะท่านโดนกัดเข้าไปที่ก้นอย่างจัง ทั้งล้มลุกคุกคลาน โชคดีที่วันนั้นเรากลับไปต่างจังหวัด
สิ่งที่เราเห็นในขณะนั้นคือ มันรุมกัดคุณแม่เราอย่างบ้าคลั่ง ตอนนั้นเราโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทำอะไรไม่ถูก
เราไม่มีอาวุธอะไรทั้งนั้นที่จะสู้กับมัน มีเพียงไม้กวาดอันสั้นๆที่คุณแม่เรากวาดพื้นอยู่กับความบ้าคลั่งของเราเองต่อสู้กับหมา 3 ตัว
แล้วข้างบ้านก็วิ่งตามมาที่บ้านเรา มาเอาสุนัข แต่เค้าก็ไม่สามารถต่อสู้กับแรงของมันได้ จับไว้ได้เพียงแค่ตัวเดียว เรากับคุณแม่ของเราต้องวิ่งหาที่หลบกันเองในบ้านต่อ จากนั้นข้างบ้านเราก็ทยอยขนกลับทีละตัวจนหมด
เชื่อมั้ยค่ะ....เหตุการณ์นี้เค้าไม่มีแม้แต่คำว่าขอโทษ ไม่มีแม้กระทั่งค่ารักษาพยาบาล ไม่มีแม้กระทั้งมาเยี่ยมดูอาการ ทั้งๆที่บ้านเราก็ติดกัน ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เค้าเงียบหายไปเลย เราต้องเดินไปขอเคลียร์ถึงหน้าบ้านเค้าก็ไม่คุยกับเรา เดินหนีเข้าบ้านไป เราเดินตามเข้าไปในบ้าน เค้าก็ไม่พูดอะไรกับเราเลยซักคำ บ่งบอกชัดเจนว่าเค้าจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เราเลยต้องไปแจ้งความ ให้ตำรวจมาเชิญตัวไปเคลียร์ที่โรงพัก เชิญไปเพื่อลงบันทึกว่าจะไม่ให้สุนัขบ้านเค้ามาสร้างความเดือดร้อนที่บ้านเราอีก เพราะถ้าเราไม่กลับต่างจังหวัดในวันนั้น เราคงต้องสูญเสียคุณแม่ไป
ไม่มีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่บาทเดียว ค่าฉีดยาพิษสุนัขบ้าบ้านเราก็ออกกันเอง
ครอบครัวเราจึงตัดสินใจว่าต่อไปนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบ้านนั้นอีก ปล่อยให้มันผ่านไป เป็นเรื่องของเวรกรรม
แต่ข้างบ้านเราไม่ทำเช่นนั้นค่ะ เราเองค่อนข้างจะงง และสับสนในการกระทำของเค้าจริงๆ....
เพราะตั้งแต่วันนั้นมาข้างบ้านเค้าคอยกัดจิกครอบครัวเราผ่านเฟสบุคตลอดเวลา ที่ทราบเพราะเราบังเอิญไปเห็นของเพื่อนบ้านคนอื่นแล้วเค้าเป็น Friend ของเพื่อนบ้านเราอีกทีเช่น โพสต์ว่าหลานเราว่าแหกปากเสียงดัง พ่อแม่ไม่สั่งสอน ด่าว่าที่สุนัขบ้านเค้าเสียงดังนิดหน่อยบ้านเราทำเป็นโวยวาย บ้านเราปากดีทั้งตระกูลบ้าง คือ ถ้าสุนัขบ้านเค้าเห่านิดหน่อยจริงคงไม่มีใครว่ามั้งค่ะ แต่นี่เห่าไรสาระทุกคืนๆ แล้วคุณไม่ห้ามปราม ที่คนละแวกนี่เค้ารุมว่ามันก็สมควรมั้ยค่ะ เราไม่ใช่คนใจแคบ ครอบครัวเรารักสุนัขทุกคนค่ะ และที่บ้านก็เลี้ยงสุนัขเหมือนกันค่ะ เข้าใจว่าสุนัขมันเห่าเป็นรื่องธรรมดา แต่คุณต้องมีวิธีการจัดการไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นเค้าไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เราอยากจะบอกว่า...เรากับตระกูลสามีเค้าก็ตระกูลเดียวกันค่ะ แต่ญาติเราก็หูหนวกตาบอดรักไม่ลืมหูลืมตาเอง ไม่รู้จะพูดยังไง ญาติกันแท้ๆก็ต้องมาหมางใจกันเพราะคนอื่น อีกอย่างหลานเราและเราจะกลับไปต่างจังหวัดเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาวๆเหมือนเรา น้องเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 3 ขวบ เป็นเด็กอารมณ์ดี ไม่งอแง มีแต่เสียงหัวเราะทั้งวัน แล้วช่วงที่อยู่ต่างจังหวัดเรายังไม่ได้ยินเสียงหลานเราแหกปากเลยซักครั้ง กลับไปโพสต์ในเฟสบุ๊คบอกรำคาญ ทั้งๆที่ไม่เคยมีบ้านไหนบ่นซักคำ คือไม่เข้าใจว่าเค้าไม่มีความละอายแก่ใจเลยรึไง ทำไมต้องสร้างเรื่องโกหกคนอื่น เค้าได้อะไรจากการโพสต์ข้อความเหล่านี้ลงเฟสบุ๊คหรอค่ะ นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวนะ มีหลายข้อความที่เค้าสร้างเรื่อง จัดฉาก ใส่ร้ายคนอื่น แม้กระทั่งลูกเลี้ยงและแม่สามีเค้าเอง
จนคนละแวกนี้ไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมด้วยเลย ตอนแรกก็รู้สึกสงสารนะค่ะ แต่พอเจอกับตัว บอกตรงๆสงสารไม่ลงค่ะ
ยิ่งไปเจอข้อความที่เค้าไปโพสต์ในเฟสบุ๊คก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงคุณแม่ เพราะท่านอยู่บ้านคนเดียวค่ะ
มีใครมีวิธีจะช่วยให้เค้าสำนึกได้บ้างค่ะ นับวันอาการข้างบ้านยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ รบกวนช่วยชี้แนะด้วยค่
หมดความอดทนกับข้างบ้านแย่ๆ ปล่อยให้สุนัขมากัดคุณแม่เราวัย 70 ปี นอกจากจะไม่รับผิดชอบแล้ว เจ้าของสุนัขยังตามมากัดไม่เลิก
ก่อนอื่นขอแจ้งก่อนนะค่ะ บ้านเราอยู่ต่างจังหวัด แต่เรามาทำงานที่กทม.
และจากกทม.มาที่บ้านเรา ค่อนข้างไกล ประมาณ 600 กว่ากิโล การจะกลับบ้านทีใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งวันเลย เพราะฉะนั้นเรากับพี่ๆของเราจะกลับต่างจังหวัดมาเยี่ยมเยือนคุณแม่เฉพาะช่วงเทศกาลที่เป็นวันหยุดยาว ๆ ปีนึงก็ประมาณ 2-3 ครั้งเห็นจะได้
สำหรับปีนี้ก็เช่นกัน เราเดินทางกลับไปต่างจังหวัดเพื่อมากราบคุณแม่เช่นเคย และก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่
งั้นเริ่มเรื่องกันเลยนะค่ะ.... คือ ข้างบ้านเราเค้าจะเป็นประเภท มักสร้างภาพให้ตัวเองดูดี เช่น เข้าวัด ทำบุญ รักสัตว์
และชอบโกหกด้วยการทำให้คนอื่นดูแย่ เราเองไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่มันก็อดทนไม่ไหวจริงๆ ค่ะ
และที่มันทำให้เราอึดอัดมากๆ เพราะเรากับคนข้างบ้านเป็นญาติกันค่ะ นามสกุลก็ดันใช้นามสกุลเหมือนกันอีกค่ะ
ก่อนหน้านี้ครอบครัวเรากับข้างบ้านก็สนิทสนมกันดี เพราะเราโตมาด้วยกัน รู้จักนิสัยใจคอกันดี
และคนที่อยู่ละแวกบ้านเราทุกหลังคาเรือนก็มีความสุขกันดี ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันดีค่ะ
จุดเปลี่ยนมันอยู่ที่คนที่เป็นญาติของเราได้เลิกกับภรรยาที่มีลูกด้วยกัน 2 คน ( ถ้านับญาติกัน เด็ก 2 คนนี้ก็เป็นหลานเราเอง)
และนำผู้หญิงคนนึงเข้ามาอยู่แทน (จากนี้ไปขออนุญาติเรียกว่า ข้างบ้านนะคะ) คิดว่าคงจะเป็นภรรยาคนใหม่มั้งค่ะ
จากนั้นข้างบ้านเค้าก็เอาสุนัขพันธ์ใหญ่มาเลี้ยง นับๆแล้วสิบกว่าตัวเห็นจะได้ จริงๆแล้วการที่เค้าจะนำสุนัขมาเลี้ยงกี่ตัวมันไม่ใช่ประเด็นหรอกนะค่ะ คุณจะเลี้ยงเป็นร้อยๆตัวก็ได้ ไม่มีใครว่าคุณหรอก ประเด็นมันอยู่ที่ว่า....ถ้าคุณนำเค้ามาเลี้ยงแล้ว คุณจะสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาได้มั้ย ในเรื่องของกลิ่นและเสียงเห่าที่ไปรบกวนบ้านข้างเคียง ไม่ใช่พอเกิดปัญหาแล้วปัดความรับผิดชอบ จะมาอ้างว่าไม่รู้ภาษาหมา ไม่รู้จะบอกให้มันหยุดอย่างไร ไม่ได้!!!
ในเรื่องของกลิ่นคาวและความสะอาดก็สำคัญ คุณเองอาจจะไม่รู้สึกเพราะมันคือกลิ่นที่คุณได้รับมันทุกวันจนเกิดความเคยชิน ควรจะใส่ใจให้มาก
คือ อยากจะบอกว่าบ้านเราและคนละแวกนั้นต้องใช้ความอดทนเพื่ออยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านแย่ๆแบบนี้มานานแล้ว
จนวันนึงตอนประมาณ 7 โมงเช้า ไม่ทราบข้างบ้านเค้าดูแลสุนัขยังไง ปล่อยสุนัข 3 ตัวให้หลุดออกมา มันก็พากันวิ่งกรูเข้ามาที่บ้านเรา
แล้วสุนัขของเค้า 3 ตัวก็วิ่งมารุมกัดคุณแม่ของเราซึ่งท่านอายุ 70 ปี ที่กำลังยืนกวาดพื้นในบ้าน เราเองก็ยังไม่ตื่นเพราะเพลียจากการเดินทางนาน
คุณแม่เราตะโกนร้องเรียกขอความช่วยเหลือ เพราะท่านโดนกัดเข้าไปที่ก้นอย่างจัง ทั้งล้มลุกคุกคลาน โชคดีที่วันนั้นเรากลับไปต่างจังหวัด
สิ่งที่เราเห็นในขณะนั้นคือ มันรุมกัดคุณแม่เราอย่างบ้าคลั่ง ตอนนั้นเราโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทำอะไรไม่ถูก
เราไม่มีอาวุธอะไรทั้งนั้นที่จะสู้กับมัน มีเพียงไม้กวาดอันสั้นๆที่คุณแม่เรากวาดพื้นอยู่กับความบ้าคลั่งของเราเองต่อสู้กับหมา 3 ตัว
แล้วข้างบ้านก็วิ่งตามมาที่บ้านเรา มาเอาสุนัข แต่เค้าก็ไม่สามารถต่อสู้กับแรงของมันได้ จับไว้ได้เพียงแค่ตัวเดียว เรากับคุณแม่ของเราต้องวิ่งหาที่หลบกันเองในบ้านต่อ จากนั้นข้างบ้านเราก็ทยอยขนกลับทีละตัวจนหมด
เชื่อมั้ยค่ะ....เหตุการณ์นี้เค้าไม่มีแม้แต่คำว่าขอโทษ ไม่มีแม้กระทั่งค่ารักษาพยาบาล ไม่มีแม้กระทั้งมาเยี่ยมดูอาการ ทั้งๆที่บ้านเราก็ติดกัน ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เค้าเงียบหายไปเลย เราต้องเดินไปขอเคลียร์ถึงหน้าบ้านเค้าก็ไม่คุยกับเรา เดินหนีเข้าบ้านไป เราเดินตามเข้าไปในบ้าน เค้าก็ไม่พูดอะไรกับเราเลยซักคำ บ่งบอกชัดเจนว่าเค้าจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เราเลยต้องไปแจ้งความ ให้ตำรวจมาเชิญตัวไปเคลียร์ที่โรงพัก เชิญไปเพื่อลงบันทึกว่าจะไม่ให้สุนัขบ้านเค้ามาสร้างความเดือดร้อนที่บ้านเราอีก เพราะถ้าเราไม่กลับต่างจังหวัดในวันนั้น เราคงต้องสูญเสียคุณแม่ไป
ไม่มีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่บาทเดียว ค่าฉีดยาพิษสุนัขบ้าบ้านเราก็ออกกันเอง
ครอบครัวเราจึงตัดสินใจว่าต่อไปนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบ้านนั้นอีก ปล่อยให้มันผ่านไป เป็นเรื่องของเวรกรรม
แต่ข้างบ้านเราไม่ทำเช่นนั้นค่ะ เราเองค่อนข้างจะงง และสับสนในการกระทำของเค้าจริงๆ....
เพราะตั้งแต่วันนั้นมาข้างบ้านเค้าคอยกัดจิกครอบครัวเราผ่านเฟสบุคตลอดเวลา ที่ทราบเพราะเราบังเอิญไปเห็นของเพื่อนบ้านคนอื่นแล้วเค้าเป็น Friend ของเพื่อนบ้านเราอีกทีเช่น โพสต์ว่าหลานเราว่าแหกปากเสียงดัง พ่อแม่ไม่สั่งสอน ด่าว่าที่สุนัขบ้านเค้าเสียงดังนิดหน่อยบ้านเราทำเป็นโวยวาย บ้านเราปากดีทั้งตระกูลบ้าง คือ ถ้าสุนัขบ้านเค้าเห่านิดหน่อยจริงคงไม่มีใครว่ามั้งค่ะ แต่นี่เห่าไรสาระทุกคืนๆ แล้วคุณไม่ห้ามปราม ที่คนละแวกนี่เค้ารุมว่ามันก็สมควรมั้ยค่ะ เราไม่ใช่คนใจแคบ ครอบครัวเรารักสุนัขทุกคนค่ะ และที่บ้านก็เลี้ยงสุนัขเหมือนกันค่ะ เข้าใจว่าสุนัขมันเห่าเป็นรื่องธรรมดา แต่คุณต้องมีวิธีการจัดการไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นเค้าไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เราอยากจะบอกว่า...เรากับตระกูลสามีเค้าก็ตระกูลเดียวกันค่ะ แต่ญาติเราก็หูหนวกตาบอดรักไม่ลืมหูลืมตาเอง ไม่รู้จะพูดยังไง ญาติกันแท้ๆก็ต้องมาหมางใจกันเพราะคนอื่น อีกอย่างหลานเราและเราจะกลับไปต่างจังหวัดเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาวๆเหมือนเรา น้องเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 3 ขวบ เป็นเด็กอารมณ์ดี ไม่งอแง มีแต่เสียงหัวเราะทั้งวัน แล้วช่วงที่อยู่ต่างจังหวัดเรายังไม่ได้ยินเสียงหลานเราแหกปากเลยซักครั้ง กลับไปโพสต์ในเฟสบุ๊คบอกรำคาญ ทั้งๆที่ไม่เคยมีบ้านไหนบ่นซักคำ คือไม่เข้าใจว่าเค้าไม่มีความละอายแก่ใจเลยรึไง ทำไมต้องสร้างเรื่องโกหกคนอื่น เค้าได้อะไรจากการโพสต์ข้อความเหล่านี้ลงเฟสบุ๊คหรอค่ะ นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวนะ มีหลายข้อความที่เค้าสร้างเรื่อง จัดฉาก ใส่ร้ายคนอื่น แม้กระทั่งลูกเลี้ยงและแม่สามีเค้าเอง
จนคนละแวกนี้ไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมด้วยเลย ตอนแรกก็รู้สึกสงสารนะค่ะ แต่พอเจอกับตัว บอกตรงๆสงสารไม่ลงค่ะ
ยิ่งไปเจอข้อความที่เค้าไปโพสต์ในเฟสบุ๊คก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงคุณแม่ เพราะท่านอยู่บ้านคนเดียวค่ะ
มีใครมีวิธีจะช่วยให้เค้าสำนึกได้บ้างค่ะ นับวันอาการข้างบ้านยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ รบกวนช่วยชี้แนะด้วยค่