หลายคนคงได้ยินข่าวกันมาบ้างแล้ว เกี่ยวกับ"สตูดิโอจิบลิ" ที่ประกาศปิดสตูดิโอชั่วคราวเพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคต
สาเหตุบ้างก็ว่าพักหลังสตูดิโอขาดทุน ทำผลงานแล้วไม่ค่อยใครรับชมเพราะการ์ตูนแนวลายเส้นแบบนี้ได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ
"When Marnie Was There" จึงเป็นผลงานสุดท้ายของสตูดิโอในตอนนี้ และไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เราควรอยู่กับปัจจุบันอย่างเช่นภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อน (555)
When Marnie Was There หรือชื่อไทย "ฝันของฉันต้องมีเธอ" (ดูน้ำเน่ายังไงไม่รู้อะ 555) เป็นเรื่องของ"อันนะ" เด็กหญิงจากซัปโปโรคนหนึ่ง เธอเป็นคนขี้อาย พูดน้อย เข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ และเธอก็เป็นโรคหอบหืด
วันหนึ่ง อาการของเธอกำเริบ แม่เธอจึงตัดสินใจให้เธอพักการเรียนและไปอยู่กับป้าที่ต่างจังหวัด และหวังว่าอากาศบริสุทธิ์จากที่นั่นจะทำให้อาการเธอดีขึ้น
อันนะพบว่าต่างจังหวัดนั้นอากาศดีมาก แต่บรรยากาศช่างเงียบเหงา จากที่เธอเข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนไม่ได้ มาที่นี่ก็น่าจะยิ่งเข้ากันไม่ได้มากกว่าเดิมอีก
วันนึงเธอออกไปเดินเล่นริมทะเล เธอพบคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งกับที่เธอยืน ด้วยความสงสัย เธอจึงพายเรือไปสำรวจคฤหาสน์นั้น และนั่นคือเหตุที่ทำให้เธอได้พบกับ"มาร์นี่"
ผมขอเล่าเรื่องย่อแค่นี้ละกันนะฮะ เล่ามากไม่ได้ เพราะหนังมันมีอะไรให้เราค้นหาอีกเยอะมาก
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังสตูดิโอจิบลิทุกๆเรื่อง คือลายเส้นการ์ตูนที่โคตรจะงาม และการเล่นสี ซึ่งผู้กำกับแต่ละท่านจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันไป
สำหรับ Hiromasa Yonebayashi ที่กำกับเรื่องนี้ ผมดูประวัติของเขาแล้ว เขาเคยกำกับภาพยนตร์แค่ 2 เรื่อง แต่มีส่วนร่วมเป็นทีมงานแอนิเมชั่นให้กับหนังขึ้นหิ้งมาแล้วมากมาย เช่น Spirited Away , Princess Mononoke , Howl's Moving Castle และ Ponyo
สารภาพก่อนครับว่าแต่ก่อนผมไม่ได้ชอบดูหนัง ส่วนมากจะดูแค่พวกหนังดิสนีย์ การ์ตูนแบบนี้ผมไม่ได้แตะเลย หลังจากผมเริ่มดูหนังจริงจังก็เริ่มเปิดใจกับหนังทุกๆประเภท รวมถึงแนวนี้ แต่นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ 3 ของจิบลิที่ผมเคยดู (ก่อนหน้าคือ The Wind Rises และ The Tale of the Princess Kaguya)
ถึงแม้ผมจะเคยดูแค่ 3 เรื่อง แต่ก็ขอพูดเลยครับว่างานภาพมันได้ใจผมไปทั้ง 3 เรื่องเลยจริงๆ การจัดองค์ประกอบศิลป์ในภาพ รายละเอียดยิบย่อยในแต่ละฉาก ของพวกนี้แสดงให้เห็นถึงคุณภาพและความสามารถของผู้ทำและพิสูจน์ได้ว่าการ์ตูนแบบดั้งเดิมไม่ได้เชยเสมอไป
สำหรับเนื้อเรื่อง ถ้าใครไม่ได้ดูตัวอย่างหนังหรือแค่เห็นโปสเตอร์หนังผ่านๆก็คงคิดว่ามันเป็นหนักรักธรรมดาแน่ๆ
ใครที่ดูตัวอย่างมาแล้ว สารภาพเถอะครับว่าคุณคิดว่ามันเป็นหนังเบี้ยน (ไม่ต้องอาย เพราะผมก็คิดอย่างนั้น 55555)
จริงๆแล้วมันไม่ใช่หนังเลสเบี้ยนหรือรักร่วมเพศหรอกครับ ใช้คำว่า "ความสัมพันธ์" จะดีกว่า
ความสัมพันธ์ในที่นี้จะขอพูดถึงเป็น 3 แบบ
1 ทั่วไป
คือความสัมพันธ์ที่หนังไม่ได้ลงรายละเอียดหรือเน้นมากนัก คนดูจะเห็นแค่พอผ่านตา
ถ้าถามผมว่า ความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ได้สำคัญอะไรมาก ตัดออกไปได้มั้ย? คำตอบคือ ไม่ได้ครับ
เพราะมันคือสังคมที่เราอยู่ เราเดินผ่านร้านขายของ เราเข้าไปซื้อของ ซื้อบ่อยจนพนักงานจำหน้าได้ คุยกับพนักงานจนสนิทสนมกัน
หรือเอาใกล้ตัวมากๆก็คือเพื่อนบ้านเรานี่แหละครับ
หนังเรื่องนี้ได้มีการสอดแทรกความสัมพันธ์แบบญี่ปุ่นๆเข้าไปด้วย คนดูจะได้เห็นธรรมเนียมปฏิบัติพื้นฐานของญี่ปุ่น เช่น การทักทายเมื่อเข้าไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน การรับแขก เป็นต้น แต่ก็อย่างที่บอกครับ หนังมันไม่ได้เน้นมาก ของพวกนี้ก็จะมีผ่านๆตาให้เราได้เห็นกัน ให้รู้ว่านี่คือสังคมญี่ปุ่นแบบพื้นบ้าน จุดประสงค์มันมีแค่นี้ครับ
2 ความสัมพันธ์ของตัวละครในช่วง"ครึ่งแรก"
ขอใช้คำว่าครึ่งแรก-ครึ่งหลังนะครับ
ที่ต้องแยกอย่างนี้ เพราะหนังมันมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เยอะมาก มันก็คล้ายๆกับการสืบว่าใครเป็นใคร อันไหนจริง อันไหนไม่จริง
ความสัมพันธ์ในช่วงนี้จะออกแนว "ชวนให้คนดูคิดตาม" ว่าเอ๊ะ! ตัวละครสองตัวนี้มันดีกันรึเปล่า สรุปว่ามันรักกัน หรือว่าอะไร??? ใครเป็นใครกันแน่???
ซึ่งอันนี้ ใครที่ไม่ตั้งใจดูอาจจะพลาดจุดเพียงนิดเดียวไป และนั่นอาจทำให้คุณดูหนังไม่รู้เรื่องไปจนเกือบจบ
สำหรับผม ผมดูทันครับ จุดที่มันต้องการจะสื่อและบอกใบ้เรามันออกมาสั้นๆและเนียนกลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องจริงๆ
แต่ถ้าดูไม่ทันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องนะครับ ตอนท้ายมันมีเฉลยอยู่
อันนะกับมาร์นี่ในช่วงนี้จะดูเหมือนคนรักกันมากๆ เพราะต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจกันและกัน ทำอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับคู่รักสุดๆ
มีสอดแทรกตัวละครประกอบอีกบางตัว ซึ่งผมชอบมาก เพราะดูผ่านๆมันก็เหมือนความสัมพันธ์แบบที่ 1 คือแค่มีไว้ให้ผ่านตาเฉยๆ แต่จริงๆแล้วตัวประกอบพวกนี้มีอิทธิพลและมีผลต่ออันนะสุดๆ หนังจะใช้ภาพหรือสิ่งของเชิงสัญลักษณ์ออกมาให้คนดูเห็น ซึ่งผมว่ามันทำออกมาดี ไม่งง/มากเกินไปและน่าค้นหามากครับ
3 ความสัมพันธ์ของตัวละครในช่วง"ครึ่งหลัง"
จริงๆมันก็ไม่ได้แบ่ง 50-50 ระหว่างครึ่งแรกกับหลังนะครับ ครึ่งหลังในที่นี้คือช่วงที่หนังเริ่มเผยข้อมูลสำคัญออกมาแล้ว ซึ่งนั่นคือประมาณ 20 นาทีก่อนหนังจบ
ช่วงนี้มีข้อเสียอยู่ครับ คือการเล่าเรื่องที่ค่อยๆคลายปมทีละอย่างมันจะมีอยู่ 2 จุดใหญ่ๆ จุดแรกคือจุดที่เล่าความเป็นมาของมาร์นี่ จุดนี้ผมชอบครับ ถือว่าเล่าดี แต่อีกจุดนึงคือตอนท้ายที่เฉลยสิ่งที่คนดูสงสัยมากที่สุด ว่าตกลงแล้ว"ความสัมพันธ์"ของทั้งสองมันคืออะไร
เหมือนมันกลัวคนดูไม่เข้าใจเลยเลือกนำเสนอแบบตรงๆ
ไปเลย (ก็คือให้ตัวละครเล่าเรื่องออกมาตรงๆ) ซึ่งผมไม่ชอบครับ ผมมองว่าการตัดต่อภาพหรือใช้ภาพเป็นสื่อก็สามารถนำเสนอได้ และดีกว่าพูดออกมาตรงๆ ถ้ามีคนไม่เข้าใจ เขาก็จะออกมาหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังเพิ่มเติม และเมื่อเขาเข้าใจแล้ว เขาก็จะชอบหนังมากขึ้น (คล้ายๆตอนผมดู Inception เลย 555)
หนังเน้นสร้างบรรยากาศเหงาๆ ถ่ายทอดความเหงาผ่านสไตล์ภาพสีและเพลงประกอบ เพื่อให้คนดูรู้ว่าความ"เหงา"แบบอันนะมันเป็นยังไง ต้องยอมรับครับว่าบางช่วงมันเหงาในระดับที่ว่ากูนอนดีกว่า (55555) แต่การเล่าเรื่องในช่วงครึ่งหลังก็พอลุ้นระทึกและดึงความสนใจเราได้ และเมื่อมันเฉลยความจริงแล้ว ยากที่จะกลั้นน้ำตาครับ (แต่ผมไม่ร้องนะเรื่องนี้ 555)
สรุปว่าแนะนำครับ หนังยังมีฉายตามโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพบางโรง และเชียงใหม่ครับ แต่ที่ๆแนะนำให้ไปดูคือสกาล่า หนังคลาสิคต้องดูในโรงคลาสิคครับ
WHEN MARNIE WAS THERE
IMDb : 7.7
===================================================================================
นี่เป็นผลงานแรกๆที่เขียนออกสื่อ อาจมีการใช้ภาษาแปลกไปบ้างเพราะปกติเขียนในพื้นที่ส่วนตัวเลยใช้คำได้เต็มที่ ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ครับ
หากชื่นชอบและอยากอ่านงานเขียนต่อๆไปก็เชิญได้ที่เพจเลยครับ เพิ่งสร้างใหม่อาจจะดูร้างแต่รับรองว่ามีรีวิวในอนาคตแน่นอนครับเพราะดูหนังบ่อยมาก
https://www.facebook.com/movieaddictman
[CR] [Movie-addict] When Marnie Was There : มาร์นีมีเพื่อน การ์ตูนเรื่องสุดท้ายของสตูดิโอจิบลิก่อนพักยาว
สาเหตุบ้างก็ว่าพักหลังสตูดิโอขาดทุน ทำผลงานแล้วไม่ค่อยใครรับชมเพราะการ์ตูนแนวลายเส้นแบบนี้ได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ
"When Marnie Was There" จึงเป็นผลงานสุดท้ายของสตูดิโอในตอนนี้ และไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เราควรอยู่กับปัจจุบันอย่างเช่นภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อน (555)
When Marnie Was There หรือชื่อไทย "ฝันของฉันต้องมีเธอ" (ดูน้ำเน่ายังไงไม่รู้อะ 555) เป็นเรื่องของ"อันนะ" เด็กหญิงจากซัปโปโรคนหนึ่ง เธอเป็นคนขี้อาย พูดน้อย เข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ และเธอก็เป็นโรคหอบหืด
วันหนึ่ง อาการของเธอกำเริบ แม่เธอจึงตัดสินใจให้เธอพักการเรียนและไปอยู่กับป้าที่ต่างจังหวัด และหวังว่าอากาศบริสุทธิ์จากที่นั่นจะทำให้อาการเธอดีขึ้น
อันนะพบว่าต่างจังหวัดนั้นอากาศดีมาก แต่บรรยากาศช่างเงียบเหงา จากที่เธอเข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนไม่ได้ มาที่นี่ก็น่าจะยิ่งเข้ากันไม่ได้มากกว่าเดิมอีก
วันนึงเธอออกไปเดินเล่นริมทะเล เธอพบคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งกับที่เธอยืน ด้วยความสงสัย เธอจึงพายเรือไปสำรวจคฤหาสน์นั้น และนั่นคือเหตุที่ทำให้เธอได้พบกับ"มาร์นี่"
ผมขอเล่าเรื่องย่อแค่นี้ละกันนะฮะ เล่ามากไม่ได้ เพราะหนังมันมีอะไรให้เราค้นหาอีกเยอะมาก
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังสตูดิโอจิบลิทุกๆเรื่อง คือลายเส้นการ์ตูนที่โคตรจะงาม และการเล่นสี ซึ่งผู้กำกับแต่ละท่านจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันไป
สำหรับ Hiromasa Yonebayashi ที่กำกับเรื่องนี้ ผมดูประวัติของเขาแล้ว เขาเคยกำกับภาพยนตร์แค่ 2 เรื่อง แต่มีส่วนร่วมเป็นทีมงานแอนิเมชั่นให้กับหนังขึ้นหิ้งมาแล้วมากมาย เช่น Spirited Away , Princess Mononoke , Howl's Moving Castle และ Ponyo
สารภาพก่อนครับว่าแต่ก่อนผมไม่ได้ชอบดูหนัง ส่วนมากจะดูแค่พวกหนังดิสนีย์ การ์ตูนแบบนี้ผมไม่ได้แตะเลย หลังจากผมเริ่มดูหนังจริงจังก็เริ่มเปิดใจกับหนังทุกๆประเภท รวมถึงแนวนี้ แต่นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ 3 ของจิบลิที่ผมเคยดู (ก่อนหน้าคือ The Wind Rises และ The Tale of the Princess Kaguya)
ถึงแม้ผมจะเคยดูแค่ 3 เรื่อง แต่ก็ขอพูดเลยครับว่างานภาพมันได้ใจผมไปทั้ง 3 เรื่องเลยจริงๆ การจัดองค์ประกอบศิลป์ในภาพ รายละเอียดยิบย่อยในแต่ละฉาก ของพวกนี้แสดงให้เห็นถึงคุณภาพและความสามารถของผู้ทำและพิสูจน์ได้ว่าการ์ตูนแบบดั้งเดิมไม่ได้เชยเสมอไป
สำหรับเนื้อเรื่อง ถ้าใครไม่ได้ดูตัวอย่างหนังหรือแค่เห็นโปสเตอร์หนังผ่านๆก็คงคิดว่ามันเป็นหนักรักธรรมดาแน่ๆ
ใครที่ดูตัวอย่างมาแล้ว สารภาพเถอะครับว่าคุณคิดว่ามันเป็นหนังเบี้ยน (ไม่ต้องอาย เพราะผมก็คิดอย่างนั้น 55555)
จริงๆแล้วมันไม่ใช่หนังเลสเบี้ยนหรือรักร่วมเพศหรอกครับ ใช้คำว่า "ความสัมพันธ์" จะดีกว่า
ความสัมพันธ์ในที่นี้จะขอพูดถึงเป็น 3 แบบ
1 ทั่วไป
คือความสัมพันธ์ที่หนังไม่ได้ลงรายละเอียดหรือเน้นมากนัก คนดูจะเห็นแค่พอผ่านตา
ถ้าถามผมว่า ความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ได้สำคัญอะไรมาก ตัดออกไปได้มั้ย? คำตอบคือ ไม่ได้ครับ
เพราะมันคือสังคมที่เราอยู่ เราเดินผ่านร้านขายของ เราเข้าไปซื้อของ ซื้อบ่อยจนพนักงานจำหน้าได้ คุยกับพนักงานจนสนิทสนมกัน
หรือเอาใกล้ตัวมากๆก็คือเพื่อนบ้านเรานี่แหละครับ
หนังเรื่องนี้ได้มีการสอดแทรกความสัมพันธ์แบบญี่ปุ่นๆเข้าไปด้วย คนดูจะได้เห็นธรรมเนียมปฏิบัติพื้นฐานของญี่ปุ่น เช่น การทักทายเมื่อเข้าไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน การรับแขก เป็นต้น แต่ก็อย่างที่บอกครับ หนังมันไม่ได้เน้นมาก ของพวกนี้ก็จะมีผ่านๆตาให้เราได้เห็นกัน ให้รู้ว่านี่คือสังคมญี่ปุ่นแบบพื้นบ้าน จุดประสงค์มันมีแค่นี้ครับ
2 ความสัมพันธ์ของตัวละครในช่วง"ครึ่งแรก"
ขอใช้คำว่าครึ่งแรก-ครึ่งหลังนะครับ
ที่ต้องแยกอย่างนี้ เพราะหนังมันมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เยอะมาก มันก็คล้ายๆกับการสืบว่าใครเป็นใคร อันไหนจริง อันไหนไม่จริง
ความสัมพันธ์ในช่วงนี้จะออกแนว "ชวนให้คนดูคิดตาม" ว่าเอ๊ะ! ตัวละครสองตัวนี้มันดีกันรึเปล่า สรุปว่ามันรักกัน หรือว่าอะไร??? ใครเป็นใครกันแน่???
ซึ่งอันนี้ ใครที่ไม่ตั้งใจดูอาจจะพลาดจุดเพียงนิดเดียวไป และนั่นอาจทำให้คุณดูหนังไม่รู้เรื่องไปจนเกือบจบ
สำหรับผม ผมดูทันครับ จุดที่มันต้องการจะสื่อและบอกใบ้เรามันออกมาสั้นๆและเนียนกลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องจริงๆ
แต่ถ้าดูไม่ทันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องนะครับ ตอนท้ายมันมีเฉลยอยู่
อันนะกับมาร์นี่ในช่วงนี้จะดูเหมือนคนรักกันมากๆ เพราะต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจกันและกัน ทำอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับคู่รักสุดๆ
มีสอดแทรกตัวละครประกอบอีกบางตัว ซึ่งผมชอบมาก เพราะดูผ่านๆมันก็เหมือนความสัมพันธ์แบบที่ 1 คือแค่มีไว้ให้ผ่านตาเฉยๆ แต่จริงๆแล้วตัวประกอบพวกนี้มีอิทธิพลและมีผลต่ออันนะสุดๆ หนังจะใช้ภาพหรือสิ่งของเชิงสัญลักษณ์ออกมาให้คนดูเห็น ซึ่งผมว่ามันทำออกมาดี ไม่งง/มากเกินไปและน่าค้นหามากครับ
3 ความสัมพันธ์ของตัวละครในช่วง"ครึ่งหลัง"
จริงๆมันก็ไม่ได้แบ่ง 50-50 ระหว่างครึ่งแรกกับหลังนะครับ ครึ่งหลังในที่นี้คือช่วงที่หนังเริ่มเผยข้อมูลสำคัญออกมาแล้ว ซึ่งนั่นคือประมาณ 20 นาทีก่อนหนังจบ
ช่วงนี้มีข้อเสียอยู่ครับ คือการเล่าเรื่องที่ค่อยๆคลายปมทีละอย่างมันจะมีอยู่ 2 จุดใหญ่ๆ จุดแรกคือจุดที่เล่าความเป็นมาของมาร์นี่ จุดนี้ผมชอบครับ ถือว่าเล่าดี แต่อีกจุดนึงคือตอนท้ายที่เฉลยสิ่งที่คนดูสงสัยมากที่สุด ว่าตกลงแล้ว"ความสัมพันธ์"ของทั้งสองมันคืออะไร
เหมือนมันกลัวคนดูไม่เข้าใจเลยเลือกนำเสนอแบบตรงๆไปเลย (ก็คือให้ตัวละครเล่าเรื่องออกมาตรงๆ) ซึ่งผมไม่ชอบครับ ผมมองว่าการตัดต่อภาพหรือใช้ภาพเป็นสื่อก็สามารถนำเสนอได้ และดีกว่าพูดออกมาตรงๆ ถ้ามีคนไม่เข้าใจ เขาก็จะออกมาหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังเพิ่มเติม และเมื่อเขาเข้าใจแล้ว เขาก็จะชอบหนังมากขึ้น (คล้ายๆตอนผมดู Inception เลย 555)
หนังเน้นสร้างบรรยากาศเหงาๆ ถ่ายทอดความเหงาผ่านสไตล์ภาพสีและเพลงประกอบ เพื่อให้คนดูรู้ว่าความ"เหงา"แบบอันนะมันเป็นยังไง ต้องยอมรับครับว่าบางช่วงมันเหงาในระดับที่ว่ากูนอนดีกว่า (55555) แต่การเล่าเรื่องในช่วงครึ่งหลังก็พอลุ้นระทึกและดึงความสนใจเราได้ และเมื่อมันเฉลยความจริงแล้ว ยากที่จะกลั้นน้ำตาครับ (แต่ผมไม่ร้องนะเรื่องนี้ 555)
สรุปว่าแนะนำครับ หนังยังมีฉายตามโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพบางโรง และเชียงใหม่ครับ แต่ที่ๆแนะนำให้ไปดูคือสกาล่า หนังคลาสิคต้องดูในโรงคลาสิคครับ
WHEN MARNIE WAS THERE
IMDb : 7.7
===================================================================================
นี่เป็นผลงานแรกๆที่เขียนออกสื่อ อาจมีการใช้ภาษาแปลกไปบ้างเพราะปกติเขียนในพื้นที่ส่วนตัวเลยใช้คำได้เต็มที่ ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ครับ
หากชื่นชอบและอยากอ่านงานเขียนต่อๆไปก็เชิญได้ที่เพจเลยครับ เพิ่งสร้างใหม่อาจจะดูร้างแต่รับรองว่ามีรีวิวในอนาคตแน่นอนครับเพราะดูหนังบ่อยมาก
https://www.facebook.com/movieaddictman