เรามักจะโดนสอนมาตั้งแต่เด็ก ว่าการปิดทองหลังพระนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราคนดี"ควร"ทำ และเราควรจะมีความสุขกับสิ่งที่เราโดยไม่หวังผล กลับกันการปิดทองหน้าพระ ซึ่งตรงข้ามกับคำสอนในนิทานต่างๆ ก็มักจะถูกมองว่าเป็นแค่การทำดีเอาหน้าไปซะงั้น
ครั้งนี้ ผมเลยอยากชวนเพื่อนๆมาลองมองข้อดีของการทำดีและแสดงให้คนอื่นเห็น (เปรียบเปรยได้กับการปิดทอง"หน้า"พระ) ซึ่งในหลายๆกรณี มีประโยชน์ต่อทั้งผู้ทำและผู้เห็น มากกว่าแค่การทำดีแบบปิดทองหลังพระที่เราเคยถูกสอนมาด้วยซ้ำครับ
ปิดทองหน้าพระดียังไง?
สำหรับผู้ทำความดี หรือแค่ทำเรื่องดีๆ การปิดทอง
หน้าพระจะช่วยให้เขามีกำลังใจที่จะทำเรื่องดีๆต่อไป เพราะเขาจะได้รับ
คำขอบคุณและรอยยิ้ม ทั้งจากคนที่เขาช่วยและผู้อื่นที่เห็นเหตุการณ์ สำหรับผมแล้ว การได้เห็นรอยยิ้มนี้เป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกเบิกบานใจ แบบที่ใช้เงินซื้อไม่ได้เลย กลับกันถ้าเราปิดทองหลังพระ อาจทำให้เราเกิดความรู้สึกทำนองว่าน้อยใจได้ นอกจากนี้มันทำให้ยากที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นมีประโยชน์ต่อคนที่เราช่วยรึเปล่า
นอกจากนี้ ผู้ปิดทองหน้าพระ ยังมีโอกาสที่จะเป็นแบบอย่างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆทำดีแถมทำให้เขายังได้มีโอกาสพบเจอกับ"ผู้ร่วมทาง" ใหม่ๆ ที่มีอุดมคติเดียวกับเรา และได้ช่วยกันทำประโยชน์ที่มากกว่าใครคนเดียวจะทำได้
และสุดท้าย การที่เขามีเพื่อนร่วมทาง และได้แสดงให้คนอื่นเห็นถึงสิ่งดีๆที่เขาทำ อาจกระตุ้นให้เขา
ไม่ล้มเลิกและยอมแพ้กับสิ่งดีๆที่เขาทำอยู่ได้ง่ายๆ ในขณะที่ผู้ปิดทองหลังพระที่จะเลิกปิดเมื่อไหร่ก็ได้เพราะไม่มีใครรู้
แต่ทำไมต้องสมัยนี้ล่ะ??
ในยุคนี้ อินเตอร์เน็ตทำให้ประโยชน์ต่างๆของการปิดทองหน้าพระที่กล่าวมา เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า
ในสมัยก่อน การแสดงออกส่วนใหญ่นั้นจำกัดอยู่แค่ในกลุ่มคนใกล้ชิด แต่ในสมัยนี้อินเตอร์เน็ตได้เพิ่มจำนวนคนที่ได้รับอิทธิพลจากความคิดหรือการกระทำของเรา เพราะฉะนั้นการทำดีของเราจะมีอิทธิพลต่อผู้อื่นมากขึ้นนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น แค่เพื่อนๆลงรูปว่าไปขี่จักรยานตอนเช้าตรู่ แค่นี้เราก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆอีกหลายๆคนอยากไปออกกำลังกายบ้าง และไม่แน่เพื่อนๆก็อาจจะได้เจอเพื่อนเก่าที่ขี่จักรยานตอนเช้าเหมือนกัน และได้ไปขี่ด้วยกัน สนุกขึ้น แถมเดี๋ยวนี้จะนัด จะสร้างกลุ่ม จะคุยอินเตอร์เน็ตก็ทำให้เป็นเรื่องง่ายไปหมด
นอกจากนี้การที่มีระบบ "ไลค์" หรือ "แชร์" ก็ทำคนที่ทำและแชร์สิ่งดีๆ ได้รับกำลังใจง่ายกว่าเดิม นอกจากนี้ ระบบนี้ยังทำหน้าที่เป็น
ตาช่ง ว่าสิ่งที่เราทำนั้น
มีประโยชน์จริงหรือไม่ เช่น ถ้าบล็อกของผมไม่มีประโยชน์ต่อคนอื่น ก็จะไม่มีคนกดไลค์หรือแชร์ซึ่งส่งสัญญาณให้ผมรู้ตัวละว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นยังทำให้ดีกว่านี้ได้อีกครับ
ในข้อดีก็มักจะมีข้อเสีย
อินเตอร์เน็ตทำให้การแชร์อะไรก็ง่ายไปหมด ซึ่งทำให้การทำดีเพื่อเอาหน้านั้นง่ายขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าการทำดีเอาหน้ามักจะอยู่ได้ไม่นาน และคนที่มีทำดีในระยะยาวเท่านั้นที่จะได้สิ่งดีๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆในชีวิตจริง
ส่วนตัวผมคิดว่าการทำดีไปด้วยพรีเซ้นตัวเองนั้น ไม่ไช่สิ่งที่
ผิดถ้าเรามีเจตนาที่ดีต่อคนอื่นครับ แต่เราแค่ต้องระวังอย่าให้เจตนาจาก"แชร์สิ่งที่ดี" เป็นการ"แชร์เพื่อเอาไลค์"แทน เพราะถ้าวันไหนไลค์ไม่มีจะได้ไม่หมดกำลังใจในการทำเรื่องดีๆกันง่ายๆครับ
ถ้าไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นเป็นการ "ทำดีเอาหน้า" หรือไม่ เราควรลองถามตัวเองก่อนแชร์สิ่งที่เราทำให้คนอื่นเห็น ว่า
"ถ้าไม่มีใครเห็นสิ่งที่เราทำเลย (ปิดทองหลังพระ) เรายังจะทำอยู่มั้ย?" ถ้าคำตอบคือ
ใช่ แสดงว่า
ผ่านครับ (อันนี้ไม่เกี่ยวกับ อั๊พ status หรืออะไรแบบนี้นะ)
ทั้งหมดนี้
สรุปได้ว่า ไม่มีช่วงเวลาไหนในประวัติศาสตร์ที่จะเหมาะกับการแชร์สิ่งดีๆที่เราทำเท่ายุคนี้แล้วครับ
ปล. อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ผมเห็นว่าเราควรเลิกปิดทองหลังพระนะครับ การปิดทองหลังพระนั้นยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ผู้ทำจะได้ทั้งความสุขและความเติมเต็มจากการทำดีอย่างบริสุทธิ์ใจไม่แพ้การโดนกด Like อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเราควรดูเป็นกรณีไปครับ
เพื่อนๆคิดว่าพวกเราแชร์เรื่องดีๆที่เราทำ
มากไปหรือ
น้อยไป บนอินเตอร์เน็ตครับ?
จุดประสงค์ของโพสต์นี้คือเพื่อแชร์ความคิดของผมครับ ถ้าผมเข้าใช้ภาษาหรือสุภาษิตผิดตรงไหนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ -/\-
My Blog:
http://metapon.wordpress.com
ปล2.แท็กห้องไหนดีหว่าา
อินเตอร์เน็ต กับยุคของการปิดทองหน้าพระ
ครั้งนี้ ผมเลยอยากชวนเพื่อนๆมาลองมองข้อดีของการทำดีและแสดงให้คนอื่นเห็น (เปรียบเปรยได้กับการปิดทอง"หน้า"พระ) ซึ่งในหลายๆกรณี มีประโยชน์ต่อทั้งผู้ทำและผู้เห็น มากกว่าแค่การทำดีแบบปิดทองหลังพระที่เราเคยถูกสอนมาด้วยซ้ำครับ
ปิดทองหน้าพระดียังไง?
สำหรับผู้ทำความดี หรือแค่ทำเรื่องดีๆ การปิดทองหน้าพระจะช่วยให้เขามีกำลังใจที่จะทำเรื่องดีๆต่อไป เพราะเขาจะได้รับคำขอบคุณและรอยยิ้ม ทั้งจากคนที่เขาช่วยและผู้อื่นที่เห็นเหตุการณ์ สำหรับผมแล้ว การได้เห็นรอยยิ้มนี้เป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกเบิกบานใจ แบบที่ใช้เงินซื้อไม่ได้เลย กลับกันถ้าเราปิดทองหลังพระ อาจทำให้เราเกิดความรู้สึกทำนองว่าน้อยใจได้ นอกจากนี้มันทำให้ยากที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นมีประโยชน์ต่อคนที่เราช่วยรึเปล่า
นอกจากนี้ ผู้ปิดทองหน้าพระ ยังมีโอกาสที่จะเป็นแบบอย่างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆทำดีแถมทำให้เขายังได้มีโอกาสพบเจอกับ"ผู้ร่วมทาง" ใหม่ๆ ที่มีอุดมคติเดียวกับเรา และได้ช่วยกันทำประโยชน์ที่มากกว่าใครคนเดียวจะทำได้
และสุดท้าย การที่เขามีเพื่อนร่วมทาง และได้แสดงให้คนอื่นเห็นถึงสิ่งดีๆที่เขาทำ อาจกระตุ้นให้เขาไม่ล้มเลิกและยอมแพ้กับสิ่งดีๆที่เขาทำอยู่ได้ง่ายๆ ในขณะที่ผู้ปิดทองหลังพระที่จะเลิกปิดเมื่อไหร่ก็ได้เพราะไม่มีใครรู้
แต่ทำไมต้องสมัยนี้ล่ะ??
ในยุคนี้ อินเตอร์เน็ตทำให้ประโยชน์ต่างๆของการปิดทองหน้าพระที่กล่าวมา เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า
ในสมัยก่อน การแสดงออกส่วนใหญ่นั้นจำกัดอยู่แค่ในกลุ่มคนใกล้ชิด แต่ในสมัยนี้อินเตอร์เน็ตได้เพิ่มจำนวนคนที่ได้รับอิทธิพลจากความคิดหรือการกระทำของเรา เพราะฉะนั้นการทำดีของเราจะมีอิทธิพลต่อผู้อื่นมากขึ้นนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น แค่เพื่อนๆลงรูปว่าไปขี่จักรยานตอนเช้าตรู่ แค่นี้เราก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆอีกหลายๆคนอยากไปออกกำลังกายบ้าง และไม่แน่เพื่อนๆก็อาจจะได้เจอเพื่อนเก่าที่ขี่จักรยานตอนเช้าเหมือนกัน และได้ไปขี่ด้วยกัน สนุกขึ้น แถมเดี๋ยวนี้จะนัด จะสร้างกลุ่ม จะคุยอินเตอร์เน็ตก็ทำให้เป็นเรื่องง่ายไปหมด
นอกจากนี้การที่มีระบบ "ไลค์" หรือ "แชร์" ก็ทำคนที่ทำและแชร์สิ่งดีๆ ได้รับกำลังใจง่ายกว่าเดิม นอกจากนี้ ระบบนี้ยังทำหน้าที่เป็นตาช่ง ว่าสิ่งที่เราทำนั้น มีประโยชน์จริงหรือไม่ เช่น ถ้าบล็อกของผมไม่มีประโยชน์ต่อคนอื่น ก็จะไม่มีคนกดไลค์หรือแชร์ซึ่งส่งสัญญาณให้ผมรู้ตัวละว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นยังทำให้ดีกว่านี้ได้อีกครับ
ในข้อดีก็มักจะมีข้อเสีย
อินเตอร์เน็ตทำให้การแชร์อะไรก็ง่ายไปหมด ซึ่งทำให้การทำดีเพื่อเอาหน้านั้นง่ายขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าการทำดีเอาหน้ามักจะอยู่ได้ไม่นาน และคนที่มีทำดีในระยะยาวเท่านั้นที่จะได้สิ่งดีๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆในชีวิตจริง
ส่วนตัวผมคิดว่าการทำดีไปด้วยพรีเซ้นตัวเองนั้น ไม่ไช่สิ่งที่ผิดถ้าเรามีเจตนาที่ดีต่อคนอื่นครับ แต่เราแค่ต้องระวังอย่าให้เจตนาจาก"แชร์สิ่งที่ดี" เป็นการ"แชร์เพื่อเอาไลค์"แทน เพราะถ้าวันไหนไลค์ไม่มีจะได้ไม่หมดกำลังใจในการทำเรื่องดีๆกันง่ายๆครับ
ถ้าไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นเป็นการ "ทำดีเอาหน้า" หรือไม่ เราควรลองถามตัวเองก่อนแชร์สิ่งที่เราทำให้คนอื่นเห็น ว่า "ถ้าไม่มีใครเห็นสิ่งที่เราทำเลย (ปิดทองหลังพระ) เรายังจะทำอยู่มั้ย?" ถ้าคำตอบคือใช่ แสดงว่าผ่านครับ (อันนี้ไม่เกี่ยวกับ อั๊พ status หรืออะไรแบบนี้นะ)
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า ไม่มีช่วงเวลาไหนในประวัติศาสตร์ที่จะเหมาะกับการแชร์สิ่งดีๆที่เราทำเท่ายุคนี้แล้วครับ
ปล. อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ผมเห็นว่าเราควรเลิกปิดทองหลังพระนะครับ การปิดทองหลังพระนั้นยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ผู้ทำจะได้ทั้งความสุขและความเติมเต็มจากการทำดีอย่างบริสุทธิ์ใจไม่แพ้การโดนกด Like อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเราควรดูเป็นกรณีไปครับ
เพื่อนๆคิดว่าพวกเราแชร์เรื่องดีๆที่เราทำ มากไปหรือ น้อยไป บนอินเตอร์เน็ตครับ?
จุดประสงค์ของโพสต์นี้คือเพื่อแชร์ความคิดของผมครับ ถ้าผมเข้าใช้ภาษาหรือสุภาษิตผิดตรงไหนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ -/\-
My Blog: http://metapon.wordpress.com
ปล2.แท็กห้องไหนดีหว่าา