สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ส่วนตัวนะ ผู้ปกครองแบบที่มาเฝ้าลูกได้ตลอดเวลานี่ คือ พวกว่างค่ะ
ว่างไม่มีอะไรจะทำจริง ๆ และไม่คิดว่าจะต้องหาอะไรทำ
อินไปกับความคิดที่ว่า อาชีพ "แม่" ยิ่งใหญ่มาก ฉันต้องทำให้สมบูรณ์แบบสุด ๆ
แต่ไม่ได้จะรู้เลย ว่าที่คิดว่าตัวทำแบบสุด ๆ นี่แหละ "พ่อแม่รังแกลูก" ชัด ๆ
เห็นจากใน facebook แต่ไม่กล้า share แล้วใส่ comment ในนั้น
เพราะลึก ๆ ก็มีคนรู้จักหลายคนเป็นค่ะ กลัวเค้าจะคิดว่าเราไปเม้นท์ด่าเค้าค่ะ --"
ว่างไม่มีอะไรจะทำจริง ๆ และไม่คิดว่าจะต้องหาอะไรทำ
อินไปกับความคิดที่ว่า อาชีพ "แม่" ยิ่งใหญ่มาก ฉันต้องทำให้สมบูรณ์แบบสุด ๆ
แต่ไม่ได้จะรู้เลย ว่าที่คิดว่าตัวทำแบบสุด ๆ นี่แหละ "พ่อแม่รังแกลูก" ชัด ๆ
เห็นจากใน facebook แต่ไม่กล้า share แล้วใส่ comment ในนั้น
เพราะลึก ๆ ก็มีคนรู้จักหลายคนเป็นค่ะ กลัวเค้าจะคิดว่าเราไปเม้นท์ด่าเค้าค่ะ --"
ความคิดเห็นที่ 13
อ่านมาตั้งแต่ต้น เข้าใจและเห็นใจคุณครูมาก และค่อนข้างเห็นด้วยว่าการเลี้ยงลูกในลักษณะที่ เข้าครอบงำลูกแบบนั้น คงไม่ส่งผลดีในระยะยาวแน่
ติดใจแค่ตรงประโยคนี้ค่ะ
"ปล.2 ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเพียงพฤติกรรมส่วนหนึ่งของผู้ปกครองนะครับ ไม่ใช่ทั้งหมด และไม่ได้หมายความว่าการเอาใจใส่ลูกเป็นสิ่งไม่ดี ดีครับแต่ควรมีขอบเขต ไม่งั้นก็เรียน Home school ดีกว่าครับ"
บังเอิญดิฉันเป็นผปค.ที่เอาลูกขึ้นทะเบียนแบบเรียน Home School มาแล้วสี่ปีเต็ม แม้จะเป็นการเรียนแบบรวมกลุ่มเรียน แต่อยากให้คุณครูมองเห็นภาพบ้านเรียนอย่างที่มันเป็นจริงๆ นะคะ ประเดี๋ยวจะเข้าใจว่า พ่อแม่ที่ทำ "บ้านเรียน" เอง เป็นพ่อแม่ประเภท เอาใจใส่ลูกมากจนไม่อาจทำใจให้ลูกเรียนร่วมกับเด็กในระบบได้
ส่วนใหญ่แล้ว พ่อแม่บ้านเรียน ค่อนข้างชิวค่ะ บางคนก็ชิวมากชิวน้อยแล้วแต่ลักษณะ แต่เหตุผลส่วนใหญ่ที่กล้ากระโดดมาเป็นบ้านเรียน เอาลูกออกจากระบบสังคมนิยมที่เป็นอยู่ก็เพราะ ไม่เชื่อว่า ระบบวิชาการแบบเร่งเรียนในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยการแข็งขันจะสร้างลูกให้ "คิดเป็น อยู่เป็น และสุขเป็น" เราแค่มองว่า เด็กไม่ได้ต้องการความรู้อะไรมากขนาดที่เขาแข่งขันกันอยู่ แต่เด็กแค่ต้องการเวลาและโอกาสที่จะได้ คิด ลงมือ ค้นหา ตั้งคำถาม และแสดงออกให้สมกับวัยของเขามากกว่า
หลายบ้านไม่สนใจด้วยซ้ำว่าลูกจะเรียนเทียบกับเด็กในระบบแล้วเก่งกว่าด้อยกว่ายังไง เรามองที่เขาได้ใช้ศักยภาพความมนุษย์ในเชิงสร้างสรรมากแค่ไหนต่างหาก แต่ไม่ใช่เอาเค้าออกมาเพื่อที่จะได้ครอบงำทั้งความคิดและการกระทำเขาได้อย่างอิสระไม่ต้องติดอยู่ในกรอบที่โรงเรียนหรือคุณครูวางเอาไว้ มันไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่เลยจริงๆ
ฝากไว้แค่นี้นะคะคุณครู ขอบคุณที่คุณครูกล้าที่จะออกมาพูดเพื่อเตือนสติ คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่กำลัง ล้ำเส้นและเห็นลูกเป็น "สินค้า" มากเข้าไปทุกวัน
แต่จากที่เห็นมาตลอดหลายปี ดิฉันคิดว่า ครูคงเหนื่อยค่ะ เพราะนับวัน พ่อแม่แบบนั้นยิ่งมากขึ้นทุกที อย่างไรก็เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ ค่ะคุณครู
ติดใจแค่ตรงประโยคนี้ค่ะ
"ปล.2 ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเพียงพฤติกรรมส่วนหนึ่งของผู้ปกครองนะครับ ไม่ใช่ทั้งหมด และไม่ได้หมายความว่าการเอาใจใส่ลูกเป็นสิ่งไม่ดี ดีครับแต่ควรมีขอบเขต ไม่งั้นก็เรียน Home school ดีกว่าครับ"
บังเอิญดิฉันเป็นผปค.ที่เอาลูกขึ้นทะเบียนแบบเรียน Home School มาแล้วสี่ปีเต็ม แม้จะเป็นการเรียนแบบรวมกลุ่มเรียน แต่อยากให้คุณครูมองเห็นภาพบ้านเรียนอย่างที่มันเป็นจริงๆ นะคะ ประเดี๋ยวจะเข้าใจว่า พ่อแม่ที่ทำ "บ้านเรียน" เอง เป็นพ่อแม่ประเภท เอาใจใส่ลูกมากจนไม่อาจทำใจให้ลูกเรียนร่วมกับเด็กในระบบได้
ส่วนใหญ่แล้ว พ่อแม่บ้านเรียน ค่อนข้างชิวค่ะ บางคนก็ชิวมากชิวน้อยแล้วแต่ลักษณะ แต่เหตุผลส่วนใหญ่ที่กล้ากระโดดมาเป็นบ้านเรียน เอาลูกออกจากระบบสังคมนิยมที่เป็นอยู่ก็เพราะ ไม่เชื่อว่า ระบบวิชาการแบบเร่งเรียนในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยการแข็งขันจะสร้างลูกให้ "คิดเป็น อยู่เป็น และสุขเป็น" เราแค่มองว่า เด็กไม่ได้ต้องการความรู้อะไรมากขนาดที่เขาแข่งขันกันอยู่ แต่เด็กแค่ต้องการเวลาและโอกาสที่จะได้ คิด ลงมือ ค้นหา ตั้งคำถาม และแสดงออกให้สมกับวัยของเขามากกว่า
หลายบ้านไม่สนใจด้วยซ้ำว่าลูกจะเรียนเทียบกับเด็กในระบบแล้วเก่งกว่าด้อยกว่ายังไง เรามองที่เขาได้ใช้ศักยภาพความมนุษย์ในเชิงสร้างสรรมากแค่ไหนต่างหาก แต่ไม่ใช่เอาเค้าออกมาเพื่อที่จะได้ครอบงำทั้งความคิดและการกระทำเขาได้อย่างอิสระไม่ต้องติดอยู่ในกรอบที่โรงเรียนหรือคุณครูวางเอาไว้ มันไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่เลยจริงๆ
ฝากไว้แค่นี้นะคะคุณครู ขอบคุณที่คุณครูกล้าที่จะออกมาพูดเพื่อเตือนสติ คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่กำลัง ล้ำเส้นและเห็นลูกเป็น "สินค้า" มากเข้าไปทุกวัน
แต่จากที่เห็นมาตลอดหลายปี ดิฉันคิดว่า ครูคงเหนื่อยค่ะ เพราะนับวัน พ่อแม่แบบนั้นยิ่งมากขึ้นทุกที อย่างไรก็เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ ค่ะคุณครู
ความคิดเห็นที่ 39
มีอีกเคสนะครับที่ไมไ่ด้เล่าให้ฟัง คือเคสของครอบครัวที่พ่อแม่ทำงาน งานยุ่ง มีภาระอันยิ่งใหญ่ตลอดเวลา
เลยต้องฝากลูกไว้กับ พี่เลี้ยงไม่ก็ ปู่ย่าตายาย คือ ย้ำนะครับ "บางครอบครัว" ที่ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง แล้วตามใจหลาน อยากได้อะไรได้ ทำอะไรทำ เอาแต่ใจเป็นพิเศษ พ่อแม่บางรายไม่ทราบพฤติกรรมลูกนะครับว่าโดยปกติเป้นอย่างไร
เคสแรก เป็นเด็กผู้หญิง อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พัฒนาการช้ามาตลอดเพราะ ตายายให้ดูทีวีตั้งแต่เล็กๆ ไม่ได้พูดคุยกับหลานเป็นพิเศษ ปล่อยหลานนั่งหน้าทีวีมันดูทีวีแล้วนิ่งเลย ปล่อยเลยตามเลย การทำแบบนี้ทำให้พัฒนาการด้านสังคมเด็กหายไปครับ ทักษะการพูดอ่านเขียน ด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วพอเด็กมาโรงเรียนเรียนได้ไม่ทันเพื่อน พอทำไมไ่ด้ก็ไม่สนใจและเลิกทำไปเอง บางทีขอเนียนไปเข้าห้องน้ำนานๆ ครูก็สอนเพลินจนลืม เอ๊ะหายไปไหน พอวันสอบ ตกครับ วันซ่อมคุณแม่พามาด้วยอารมณ์เดือด คุณแม่สบโอกาสเห็นอาจารย์ผู้ใหญ่ไม่อยู่ มีครูใหม่แกะกล่องนั่งกันอยู่สองคนคือผมกับเพื่อน คุณแม่ตบตีลูกผัวะๆ ครูพยายามห้ามก็โดนมองด้วยวายตาจิกกัด ก่อนจะจากไป
เคสที่สองเป็นเด็กผู้ชายปัญหาจากสาเหตุเดียวกัน แต่ทักษะการเรียนค่อนข้างดี ที่มีปัญหาคือพฤติกรรม ชอบทำร้ายเพื่อน แกล้งเพื่อน ขโมยของ เรียกได้ว่าถ้าเด็กคนไหนในห้องอยากให้อะไรพัง ยื่นให้เขาคนนี้ มันจะพังสมใจ เมื่อเพื่อนมีของอะไรใหม่ๆมาโรงเรียน (ผู้ปกครองก็ดันให้เอามานะฮะ) ไม่ว่าจะเป็นขนม พวงกุญแจ ของเล่น ตุ๊กตา กระดาษ สมุด ดินสอ ยางลบน่ารักๆ เด็กคนนี้เห็นแล้วไปหยิบไปพังไปขโมยมาหมด จนผมต้องขอพบแล้วพูดคุยกับผู้ปกครอง ผู้ปกครองก็รับปากจะใส่ใจให้ดีขึ้น ครูเองก็จะช่วยดูกวดขันที่โรงเรียน ต่อมาพังทำลายพวงกุญแจเพื่อน 3 คนรวดและทำ ไอโฟน 5S เพื่อนจอแตกอีก 1 คน (ไม่น่าให้เด็กใช้ของแพงแบบนี้นะครับยิ่งเด็กเล็กๆ) ทำคนเดียวเน้นๆ ไม่มีใครเกี่ยวข้อง พยานเพียบ เด็กถ่ายวีดีโอไว้ (เด็กใช้เทคโนโลยีเป็นกันไวแท้) แน่นอนครับเรื่องถึงผู้ปกครอง
วันต่อมาผมพบว่าเด็กคนนี้ตัวมีรอยช้ำจำนวนมากทั้งแขนขาและใต้ตาและหลัง ผมถึงกับตกใจซึ่งนี่คือผลงานของผู้ปกครอง โดยใช้ไม้แขวนเสื้อและเข็มขัด ผมบอกได้คำเดียวครับว่าผมไม่สนับสนุนความรุนแรงแบบนี้ในครอบครัว จึงได้ชี้แจงกับทางผู้ปกครองไป คุณแม่ได้ตัดสินใจจะลาออกจากงานมาเพื่อนอบรมดูแลลูก เพราะกลัวว่าลูกอีก 2 คนจะเป็นไปตามคนโต
ครอบครัวคือสังคมที่เล็กที่สุด และสำคัญที่สุด ปลูกฝังสิ่งดีๆให้ลูก ทำเป็นตัวอย่างให้เห็น แยกแยะผิดชอบชั่วดี
จงอย่าทำสิ่งนี้เพราะมันไม่ดีไม่ถูกต้อง
จงเคารพและให้เกียรติผู้อื่น
จงกระทำกับคนอื่นเหมือนที่อยากให้คนอื่นกระทำกับเรา
เราอยากให้เขาดีกับเรา เราก็ดีกับเขา
ยึดมั่นในความดีความถูกต้อง
แม้นไม่เหลือใครทำดี จะมีเราและครอบครัวที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
แม้อาจดูโลกสวยนะครับ แต่ถ้าเราสร้างทัศนคติที่ดีเป้นนิสัยติดตัวเด็กได้จะดีมากๆเลยนะครับ
เลยต้องฝากลูกไว้กับ พี่เลี้ยงไม่ก็ ปู่ย่าตายาย คือ ย้ำนะครับ "บางครอบครัว" ที่ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง แล้วตามใจหลาน อยากได้อะไรได้ ทำอะไรทำ เอาแต่ใจเป็นพิเศษ พ่อแม่บางรายไม่ทราบพฤติกรรมลูกนะครับว่าโดยปกติเป้นอย่างไร
เคสแรก เป็นเด็กผู้หญิง อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พัฒนาการช้ามาตลอดเพราะ ตายายให้ดูทีวีตั้งแต่เล็กๆ ไม่ได้พูดคุยกับหลานเป็นพิเศษ ปล่อยหลานนั่งหน้าทีวีมันดูทีวีแล้วนิ่งเลย ปล่อยเลยตามเลย การทำแบบนี้ทำให้พัฒนาการด้านสังคมเด็กหายไปครับ ทักษะการพูดอ่านเขียน ด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วพอเด็กมาโรงเรียนเรียนได้ไม่ทันเพื่อน พอทำไมไ่ด้ก็ไม่สนใจและเลิกทำไปเอง บางทีขอเนียนไปเข้าห้องน้ำนานๆ ครูก็สอนเพลินจนลืม เอ๊ะหายไปไหน พอวันสอบ ตกครับ วันซ่อมคุณแม่พามาด้วยอารมณ์เดือด คุณแม่สบโอกาสเห็นอาจารย์ผู้ใหญ่ไม่อยู่ มีครูใหม่แกะกล่องนั่งกันอยู่สองคนคือผมกับเพื่อน คุณแม่ตบตีลูกผัวะๆ ครูพยายามห้ามก็โดนมองด้วยวายตาจิกกัด ก่อนจะจากไป
เคสที่สองเป็นเด็กผู้ชายปัญหาจากสาเหตุเดียวกัน แต่ทักษะการเรียนค่อนข้างดี ที่มีปัญหาคือพฤติกรรม ชอบทำร้ายเพื่อน แกล้งเพื่อน ขโมยของ เรียกได้ว่าถ้าเด็กคนไหนในห้องอยากให้อะไรพัง ยื่นให้เขาคนนี้ มันจะพังสมใจ เมื่อเพื่อนมีของอะไรใหม่ๆมาโรงเรียน (ผู้ปกครองก็ดันให้เอามานะฮะ) ไม่ว่าจะเป็นขนม พวงกุญแจ ของเล่น ตุ๊กตา กระดาษ สมุด ดินสอ ยางลบน่ารักๆ เด็กคนนี้เห็นแล้วไปหยิบไปพังไปขโมยมาหมด จนผมต้องขอพบแล้วพูดคุยกับผู้ปกครอง ผู้ปกครองก็รับปากจะใส่ใจให้ดีขึ้น ครูเองก็จะช่วยดูกวดขันที่โรงเรียน ต่อมาพังทำลายพวงกุญแจเพื่อน 3 คนรวดและทำ ไอโฟน 5S เพื่อนจอแตกอีก 1 คน (ไม่น่าให้เด็กใช้ของแพงแบบนี้นะครับยิ่งเด็กเล็กๆ) ทำคนเดียวเน้นๆ ไม่มีใครเกี่ยวข้อง พยานเพียบ เด็กถ่ายวีดีโอไว้ (เด็กใช้เทคโนโลยีเป็นกันไวแท้) แน่นอนครับเรื่องถึงผู้ปกครอง
วันต่อมาผมพบว่าเด็กคนนี้ตัวมีรอยช้ำจำนวนมากทั้งแขนขาและใต้ตาและหลัง ผมถึงกับตกใจซึ่งนี่คือผลงานของผู้ปกครอง โดยใช้ไม้แขวนเสื้อและเข็มขัด ผมบอกได้คำเดียวครับว่าผมไม่สนับสนุนความรุนแรงแบบนี้ในครอบครัว จึงได้ชี้แจงกับทางผู้ปกครองไป คุณแม่ได้ตัดสินใจจะลาออกจากงานมาเพื่อนอบรมดูแลลูก เพราะกลัวว่าลูกอีก 2 คนจะเป็นไปตามคนโต
ครอบครัวคือสังคมที่เล็กที่สุด และสำคัญที่สุด ปลูกฝังสิ่งดีๆให้ลูก ทำเป็นตัวอย่างให้เห็น แยกแยะผิดชอบชั่วดี
จงอย่าทำสิ่งนี้เพราะมันไม่ดีไม่ถูกต้อง
จงเคารพและให้เกียรติผู้อื่น
จงกระทำกับคนอื่นเหมือนที่อยากให้คนอื่นกระทำกับเรา
เราอยากให้เขาดีกับเรา เราก็ดีกับเขา
ยึดมั่นในความดีความถูกต้อง
แม้นไม่เหลือใครทำดี จะมีเราและครอบครัวที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
แม้อาจดูโลกสวยนะครับ แต่ถ้าเราสร้างทัศนคติที่ดีเป้นนิสัยติดตัวเด็กได้จะดีมากๆเลยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
มีใครมีความคิดเห็นกับผู้ปกครองแบบนี้บ้างครับ
ผมพบว่าผู้ปกครองจำนวนมากที่ใส่ใจลูกเป็นอย่างมาก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีนะครับที่พ่อแม่ใส่ใจลูก แต่กับบางคนนี่ใส่ใจแบบค่อนข้างผิดวิธีไปเสียหน่อย
คือมาเฝ้าลูกเกือบตลอด มาส่งลูกที่โรงเรียนจนเข้าเรียนคาบแรกถึงจะกลับ พอเที่ยงก็เอาข้าวมาให้นั่งอยู่กับลูกจนหมดเวลา พอเลิกเรียนก็มารับพาไปเรียนนู่นนี่ต่อ สิ่งที่ผมพบนะครับ อาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่เคสที่ผมเห็นมาในชั้นเรียนทั้ง 5 ห้องของผม เด็กที่ผู้ปกครองเลี้ยงแบบนี้ จะ คิดไม่เป็นครับ ปกติมีพ่อแม่คิดแทนเกือบทุกเรื่อง ช่วงเวลาทำข้อสอบ ตอนเด็กอยู่กับแม่จะตอบได้ทุกข้อ แต่พอมาสอบจริง ข้อสอบไม่ต่างจากแบบฝึกหัดเลย แต่เด็กไม่สามารถทำได้
กดดันลูกเรื่องผลการเรียน พยายามอยากรู้คะแนนลูกแล้วถ้าไม่ได้ดังหวังก็จะขอดูข้อสอบ คือผู้ปกครองที่นี่(ผมเชื่อว่าหลายโรงเรียนต้องทำ) ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าว่าจะสอบเก้บคะแนนนะ ด้วยเรื่องนี้ๆๆๆๆ แทบจะบอกข้อสอบให้เด็ก ผู้ปกครองก็ด้วยความใส่ใจลูกครับ ติวกันมาเป็นอย่างดี จนไม่อาจรู้ได้ว่า ที่คะแนนสอบดีเพราะ ข้อสอบง่าย? เด็กเก่ง? ครูสอนดี? หรือผู้ปกครองติวมาดี หรืออื่นๆ? การติวทบทวนให้ลูกเป็นสิ่งที่ดีนะครับ แต่ผมเห็นผู้ปกครองอยู่ห้องนึงครับที่ถามคะแนนและจดคะแนนของเด็กทั้งห้องแล้วนำไปคุยกันในกรุ๊ปไลน์ บางคนเหมือนถูกประจานกันเลยทีเดียวว่าลูกชั้นตกหรือคะแนนน้อย ส่วนใหญ่ผู้ปกครองที่ทำแบบนี้จะต้องมั่นใจในตัวลูกของตนเองเป็นพิเศษว่าได้คะแนนดี และผู้ปกครองกลุ่มนี้เองที่เมื่อลูกคะแนนน้อยเมื่อไหร่ต้องเอาเรื่องจากโรงเรียนเป็นการใหญ่
ในเคสนี้ผมเคยสอบเด็กด้วยข้อสอบ 30 คะแนน จำนวนเด็ก 150 คน มีเด็กสอบตก 15 คน คิดเป็น 10% พอดี และมีอีก 15 คน ที่คะแนนอยู่ในช่วง 15 - 20 คะแนนคิดเป็น 10% ส่วนคนที่เหลือ 80% ได้คะแนน 20-30 คะแนนกันหมด ปรากฎว่ามีผู้ปกครองท่านหนึ่งลูกได้คะแนนอยู่ในช่วง 15-20 เค้าก็ไปร้องเรียนทันทีที่วิชาการโรงเรียนว่า ผมสอนไม่ดีแล้วชักจูงผู้ปกครองคนอื่นๆว่าผมเองก็สอนไม่ดีเช่นกัน แต่คดีนี้จบไปครับผมมีหลักฐานชัดเจน
3 ผู้ปกครองที่เชื่อลูกทุกอย่าง ลูกแก้ตัวโกหกเข้าข้างตัวเองยังไงก็เชื่อหมด มีเด็กผู้ชายคนนึงครับไปรังแกเพื่อน เป็นตัวแสบที่สุดของโรงเรียน ชอบแกล้งเพื่อนมาก เข้าแถวนี่อยู่หน้าสุดแต่ไม่เกรงกลัวครูกันเลย ลงไปนั่งแกะเชือกรองเท้าเพื่อนเล่นในขณะที่เพื่อนก็ยืนเคารพธงชาติไม่กล้าขยับเพราะกำลังเคารพธงชาติอยู่ ยิ่งครูผู้หญิงไปดุจะยิ่งชอบใจ สุดท้ายไม่พ้นครูผู้ชายหรือครูฝ่ายปกครองเข้าไปดุ และเด็กคนนี้ชอบแกล้งเพื่อนมาก ไปเตะปากเพื่อนปากแตกแล้วบอกไม่ได้ทำทั้งๆที่ ครูนิสิตเห็น เพื่อนทั้งห้องเห็น พอผู้ปกครองมาดันบอกว่าเพื่อนล้มไปโดนโต๊ะ แล้วผู้ปกครองก็เชื่อ สนิท วันต่อมาไปไล่เหยียบแปลงผักจนผักเพื่อนๆตายหมด พอเพื่อนโมโหเข้ามาผลัก เลยสบโอกาสบอกครูว่าไม่ได้เหยียบถูกเพื่อนผลักไปผลักมา ผักเลยเละหมด (แหม....ถ้าเชื่อครูก็ทานหญ้าแล้วล่ะ) พอเรียกผู้ปกครอง แบบเดิมเป๊ะครับ เชื่อลูก บอกให้ครูลงโทษเด็กคนอื่นๆซึ่งเป็นผู้เสียหาย (อ้าว ผักเราตายแล้วยังจะให้ลงโทษเราอีกเหรอ ! )
ผมอยากให้ผู้ปกครองหันมามองแล้วลองคิดดูครับ ชั้นกำกับชีวิตลูกชั้นมากเกินไปรึปล่าว บางคนเลือกให้ลูกเรียนนู่นนี่เองหมดเลยโดยไม่ถามว่าลูกชอบมั้ย เด็กก็เรียนเพราะแม่สั่ง ( เคยมีมาระบายให้ผมฟังว่าเครียดว่ากดดันมาก ) อีกหน่อยอาจจะเป็นเหมือนน้องดาว ในเรื่องฮอโมนส์วัยว้าวุ่นนะครับ ถูกบังคับและคาดหวังมากเกินไปจากครอบครัว พ่อแม่ตีกรอบชีวิตไว้ให้ลูกทั้งหมดจนเด็กไม่ต้องคิดอะไรเองทั้งนั้น
เด็กไทยสมัยนี้คิดเป็นน้อยนะครับ ไม่ค่อยรู้หน้าที่ และจิตสำนึกต่ำ จะโยนให้ทุกอย่างเป็นของโรงเรียนอย่างเดียวไม่ได้นะครับ
เพราะตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน พ่อแม่และครอบครัวคือตัวแบบที่ดีที่สุดของลูก
ปล.ผมกล่าวอะไรแล้วไม่เห็นด้วย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ เพราะผมเองก็อาจจะคิดไม่ถูกเสมอไป ผมยินดีรับฟังเสมอครับ
ปล.2 ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเพียงพฤติกรรมส่วนหนึ่งของผู้ปกครองนะครับ ไม่ใช่ทั้งหมด และไม่ได้หมายความว่าการเอาใจใส่ลูกเป็นสิ่งไม่ดี ดีครับแต่ควรมีขอบเขต ไม่งั้นก็เรียน Home school ดีกว่าครับ