คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ควรบอกก่อนว่าถ้าไม่กำหนดเพดานไว้ที่2.2 แล้วจะกำหนดไว้ที่เท่าไหร่
ปรกติที่3.0ถือว่าเริ่มมีหนี้เกินตัวแล้ว
บริษัทที่ผมทำงานอยู่ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนเหมือนกันก็มีนโยบายไม่เกิน 3.0 ครับ
อ่านตามจดหมายเขาไม่บอกเพดานใหม่เท่ากับกู้เพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ได้
ของคุณกว่าจะได้เงินต้นคืนก็อีกห้าปี มันก็อยู่บนความเสี่ยง
ถ้าเขาบริหารไม่ดีใช้วิธีออกหุ้นกู้มาโปะตลอดก็ไม่รู้จะไปตลอดรอดฝั่งไหม
ถ้าหุ้นกู้ขายไม่ออกเขาก็ต้องแบกหน้าไปหาธนาคารซึ่งจะโดน
ตรวจสอบอย่างหนักด้วย ออกหุ้นกู้มันสบายกว่ากู้ธนาคารตรงนี้ด้วยนอกจากเรื่องต้นทุนถูกกว่า
สรุปขอคำรับรองว่าเพดานจะไม่เกิน 3.0 แล้วก็โอเคไปครับ
ปรกติที่3.0ถือว่าเริ่มมีหนี้เกินตัวแล้ว
บริษัทที่ผมทำงานอยู่ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนเหมือนกันก็มีนโยบายไม่เกิน 3.0 ครับ
อ่านตามจดหมายเขาไม่บอกเพดานใหม่เท่ากับกู้เพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ได้
ของคุณกว่าจะได้เงินต้นคืนก็อีกห้าปี มันก็อยู่บนความเสี่ยง
ถ้าเขาบริหารไม่ดีใช้วิธีออกหุ้นกู้มาโปะตลอดก็ไม่รู้จะไปตลอดรอดฝั่งไหม
ถ้าหุ้นกู้ขายไม่ออกเขาก็ต้องแบกหน้าไปหาธนาคารซึ่งจะโดน
ตรวจสอบอย่างหนักด้วย ออกหุ้นกู้มันสบายกว่ากู้ธนาคารตรงนี้ด้วยนอกจากเรื่องต้นทุนถูกกว่า
สรุปขอคำรับรองว่าเพดานจะไม่เกิน 3.0 แล้วก็โอเคไปครับ
แสดงความคิดเห็น
ืNoble ขอผ่อนผันการดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่คิดง่ายๆว่า ถ้ายินยอม ก็คือเค้าจะกู้ได้มากขึ้น มีหนี้สินมากขึ้น แม้จะอ้างว่าไปดำเนินโครงการโนเบิล เพลินจิต และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท แต่เราในฐานะผู้ถือหุ้นกู้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากขึ้น กลับมีความเสี่ยงมากขึ้น
วานเพื่อนๆ ที่มีความรู้เรื่องนี้ หรือผู้ถือหุ้น / หุ้นกู้ Noble ท่านอื่นๆ ช่วยออกความเห็นหน่อยค่ะ ควรยินยอมให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นสูงขึ้นหรือไม่
ขอบคุณหลายๆค่ะ