เกณฑ์ทหารครั้งแรกในชีวิตกับสาวประเภทสองที่น่าตบ!!!

กระทู้สนทนา
เรื่องของเรื่องก็คือ วันนี้ผมไปเกณฑ์ทหารมา...มันก็เรื่องเดิม ๆ แหละครับพี่ ไปตั้งแต่เจ็ดแปดโมง รวมแถวเคารพธงชาติ แล้วก็รอเรียกชื่อตามตำบล ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกกดดันหรืออะไรนะครับเพราะตั้งใจว่าจะสมัครแล้วยื่นวุฒิ ป. ตรี เป็นแค่หกเดือน (เริ่มเข้าเรื่องส่วนตัว) แต่เรื่องที่จะเล่าคือหลังจากเคารพธงชาติเสร็จเขาก็ให้แต่ละคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนรอเรียกชื่อ มันก็มีกลุ่มก้อนสาวประเภทสอง+สาวแท้+ตุ๊ดแต่งบอย+ฯลฯ เดินเข้ามาในบริเวณ (น่าจะเกินห้าแต่ไม่ถึงสิบ ผมไม่ได้ตั้งใจนับจริงจัง) พวกนางก็จริงจังกับการเดินมากกกกโดยเฉพาะ "นางแม่" (ไม่รู้จะเรียกอะไรแต่นางคนที่จะเกณฑ์ทหารนั่นแหละ) นางแม่สวมชุดแม๊กซี่ผ้าชีฟองแขนยาวและผ่าแขนเป็นปล้อง ๆ โชว์ลำแขนและหัวไหล่อวบเนียน ชุดนั้นมีสีเทอควอยซ์สลับดำที่ยาวกรอมเท้าดูมีราคาและร้องเทาส้นสูงที่สูงเหมือนดาราหนัก X แนว S&M ผมของนางยาวถึงหลัง (ผมที่ไม่ได้ผ่านการใช้แพนทีนของญาญ่า มันจึงชี้ฟูและดูไม่เป็นทรงอย่างมาก) ร่างของนางสูงราว 170-175  (รวมส้นสูงแล้ว) บนใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่เหมือนเหมาตามเข่งจากพาหุรัตและมันดูหนาเสียจนให้ความรู้สึกเหมือนมองดูกะเทยหัวโปกที่เพิ่งสะกดคำว่า "เครื่องสำอาง" เป็น นอกจากนั้น เพื่อความเก๋ นางสามแว่นกันแดดกรอบสีแดงอันใหญ่เท่าฝาหม้อข้าววัดบนใบหน้ารูปทรงและขนาดเดียวกัน?

                     แต่พูดก็พูดเถอะ ผมพูดไปอาจจะดูเหมือนพูดด้วยเฮชสปีชน์ แต่โดยรวมแล้วนางดูเป็นคนสวย...กะเทยสวยคนหนึ่งแหละ รูปร่างสะโอสะองค์ ผิวพรรณขาวสะอาดดูก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างดี แต่สิ่งที่ผมรู้สึกเริ่มเกลียดคือ นางแม่ชอบเดี๋ยวเดินไปโน่น เดินมานี่ เดี๋ยวซื้อน้ำ เดี๋ยวกินขนม ลำพังแค่เดินผมก็เฉย ๆ นะพี่ แต่เดินไปแล้วก็พูด ๆ ๆ ๆ แล้วพูดเสียงดังมากกก ตอนแรก ๆ เห็นก็คิดว่า "เออ ก็ตลกดีโน๊ะ" ก็คิดแค่นั้นแล้วผมก็เดินหนีไปทางอื่นเพราะพวกนั้นคุยเสียงดังจริง ๆ (คือที่คัดเลือกมันเป็นสนามวอลเลย์บอลกลางแจ้งขนาดพอดีคำที่มีเต็นท์มากาง ทำให้เวลาใครมาพูดเสียงดัง ๆ มันจะได้ยินกันทั่วไปหมด)

                     จนถึงคิวผมถูกขานชื่อ ผมก็เดินไปให้เขาเอาเทปกระดาษสีไข่ ๆ มาแปะที่ข้อมือแล้วเขียนเลข (ปุจจฉา : ไอ้เทปที่ว่ามันเรียกว่าอะไรกันแน่ เทปกระดาษ? เทปกาว? เทปหนังไก่? เจอร้อยคนเรียกร้อยแบบ งงไปหมด) แล้วเข้าไปนั่งในเต็นท์ที่จัดเตรียมไว้ ตอนนั้นเองนางแม่ก็เริ่มเดินเข้า ๆ ออก ๆ ตรงที่ตรงร่างกายบ้าง ตรงโต๊ะประธานการตรวจเลือกบ้าง (ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาให้เดินเข้า ๆ ออก ๆ แบบนั้นได้ด้วยนะ เพราะแค่มีคนจะไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก พี่ทหารยังตะโกนถามเลยว่าจะไปไหน!!!)...ซึ่ง ไม่มีใครรู้ว่านางเดินทำไม? เป็นอะไร? หรือต้องการอะไร? พอพี่ทหารถาม นางก็จะพูดว่า "น้องหนูมันบอกว่าเรียกชื่อแล้ว หนูก็เลยมา"....ตอนนั้นผมนึกในใจ "ด๋าวก่อนนนนนนนน คือมันหน้าที่ของใครวะที่จะต้องมานั่งฟังชื่อของตัวเอง?" พอถามกันไปถามกันมาก็สรุปได้ว่าตำบลของนางเป็นตำบลสุดท้าย (ที่เกณฑ์มีทั้งหมดสามตำบล ของผมที่สอง) คืออีกไม่นานก็ถึงตำบลนางแล้ว แต่นางก็เริ่มบ่น ๆ ๆ อะไรก็ไม่รู้ แล้วก็เถียงอะไรกับทหารสักอย่างจนคำสุดท้ายของนางก่อนจะเดินไปก็คือ "ก็หนูมาไกลอ่ะคะ ตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่ เดี๋ยวนี่ก็ต้องไปทำงาน (หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ) ต่อ มันก็มีเบลอ ๆ บ้างอ่ะคะ"....ช่ายๆๆๆๆ ตอนนี้มีคนที่รอเกณฑ์ทหารกันอยู่ร่วมสามร้อย ทุกคนมีรั้วบ้านติดกับที่เกณฑ์กันหมดเลยนะ เนี่ย ทุกคนเขาตื่นกันตอนเจ็ดโมงห้าสิบ อาบน้ำ แปลงฟัน กินข้าวเช้ากันทุกคนเลย...จ่ะ แม่ยอดขมองอิ่ม

                     แล้วหลังจากนั้นนางก็ลากเก้าอี้มานั่งในเต็นท์ พี่ทหารบอก "นั่งข้างนอกก็ได้นะ" นางก็บอก "ข้างนอกมันร้อนอะคะ นั่งนี่แล้วกัน" แล้วก็นั่งแผละลงไป...ทุกคนมองหน้ากัน แล้วก็ได้แต่หัวเราะ......พอถึงชื่อนาง พี่ทหารเขาก็เอาเทปมาพัน (ถึงที่!!! โดยที่นางแม่ไม่ต้องออกแรงพยายามอะไรด้วยซ้ำ ซึ่งคนอื่น ถ้าไม่ได้พันตั้งแต่เรียกรวมตามตำบลต้องเดินไปให้พี่ทหารพันให้ที่โต๊ะ) นางถาม "อะไร พันทำไม" พี่ทหารเขาก็บอกว่าต้องพันทุกคนเอาไว้เขียนเลข หรือจะให้เขียนที่แขนเลย? นางเลยยอมพันแต่โดยดี พอดีกันกับที่เริ่มมีเพื่อนสาวมานั่งข้าง ๆ แล้วนางก็เริ่มเมาท์กัน...ด้วยความดังเท่ากับเครื่องบินเอฟสิบเจ็ดตอนทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ผมค่อนข้างแน่ใจว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นและทุกอำเภอในเชียงใหม่ได้ยินทุกคำที่นางแม่พูด แล้วนางสามารถพูดได้เป็นชั่วโมง ๆ โดยที่ไม่หยุดได้ ตอนแรกคนรอบ ๆ ก็หัวเราะยิ้มกันไป เห็นว่าเป็นเรื่องตลก แต่พอนานเข้า นานเข้า เป็นชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง แล้วไหนจะเสียงจากลำโพงขานชื่ออีก บวกกับความร้อนของแดดยามสายที่แผดเผาลงมาหลังคาเต็นท์ที่เป็นแค่ผ้ายางบาง ๆ ผสมรวมเข้ากับความเครียดที่ต้องรอตัดสินชะตากรรมของตัวเองในอีกสองปีข้างหน้าหรือน้อยกว่านั้นด้วยกระดาษใบเล็ก ๆ สีแดงกับดำ เสียงหัวเราะก็เริ่มหายไปกลายเป็นความหงุดหงิดและความลำคาน ชอดเด็ดกีฬาดังของช่วงนี้คือ ตอนนางแม่ถูกเรียกไปนั่งตรงโต๊ะตรวจร่างกายเพื่อรอตรวจร่างกาย นางลากเก้าอี้ไปนั่งหน้าพัดลม (พัดลมตัวใหญ่ ๆ เหมือนในร้านหมูกระทะน่ะ) แล้วสยายผมประหนึ่งว่าเป็นนางเองเอ็มวีคาราโอเกาะสมัยเก่า ๆ ที่นั่งอยู่บนโขดหินด้วยชุดทูพีชและสยายผมรับลมทะเล...แต่เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าพัดลมเขาให้ใช่ร่วมกันทุกคน ไม่ใช่หล่อนคนเดียว? ยิ่งเวลานางแม่พูดว่า "โอ๊ยร้อน" "หน้าเยิ้มหมดแล้ว" "นี่อีกนานไหมเนี่ย" ก็ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดเข้าไปอีก

                     ...ไม่มีใครอยากมาอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครอยากมาที่นี่ในเวลาเช้าแบบนี้ ในตอนที่อากาศร้อนเท่านี้ แต่ทุกคนก็มาด้วยเหตุผลเดียวกับนาง นั่นก็คือการหลุดพ้นจากพันธะทางทหารไม่ทางไดก็ทางหนึ่ง แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ นางแม่กับคนอีกไม่กี่คนได้รับการยกเว้น แต่คนอื่นไม่ได้...

                     เสียงคนข้าง ๆ ผมก็เริ่มพูดคำว่า "เสียงดัง" "ทำให้มันหยุดพูดสิ" และ "กระทืบ"

                     ตัวผมเองตอนนั้นก็คิดนะว่า "ยิ้ม ตัวเองจะนั่งตรงไหนก็ได้ แถมมีเก้าอี้ไห้นั่งอย่างดี ดันบ่น ๆ ๆ แต่พวกผมนี่นั่งกับพื้น ร้อนก็ร้อน ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ" ยิ่งมีคนเริ่มพูดว่า "ไอ้เห้เอ้ย Eกะเทยโคตะระน่าลำคานเลยวะ" ผมนี่ปรี๊ดเลย ผมก็กะเทยนะ ถึงจะไม่แต่งหญิงหรือทำตัวฉูดฉาดแบบนั้นแต่ผมก็เป็น (ผมชอบผู้ชาย ผมนอนกับผู้ชายและผม(ร่วม)รักกับผู้ชาย ถ้ามันพอจะอธิบายอะไรได้) แล้วไอ้การเหมารวมแบบนั้นคืออะไร อารมณ์เหมือนมีฝรั่งตาน้ำข้าวพูดว่า "ค๊นท๋ายยิ้มโคตะระซกมกเลย ยูโนว์?" คือเสียหายถึงชาติพันธุ์กะเทยและเก้งกวางทั่วราชอาณาจักร วินาที่นั้นผมเริ่มรู้สึกอับอายในความเป็นกะเทยของตัวเองขึ้นมา (ซึ่งไม่ได้รู้สึกมานานหลายปีแล้ว) แน่นอน ทุกคนรู้ว่าไม่ใช่กะเทยทุกคนเป็นแบบนั้นแต่ในวินาทีนั้นเราก็ถูก “เหมา ๆ” ไปแล้วว่าไร้มารยาทและทำตัวเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ใครจะรับผิดชอบ?

                     ตัวผมเองไม่เคยมีปัญหาอะไรกับกะเทยแต่งหญิงเลยนะ เขาจะเป็นอะไร ทำอะไร แบบไหนก็มันเรื่องของเขา (และเอาเข้าจริง ๆ target market ของเราสองกลุ่มก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว อีฟยูโนวท์ว๊อทไอเม็นต์ najaa) เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเหยียบบนผืนแผ่นดินนี้เท่ากับคนอื่น ๆ ในประเทศไทยและในโลก แต่เมื่อเราต้องมาอยู่ร่วมกันในสังคมคนหมู่มาก การเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วใช้เพศสภาพอันอ่อนแอ (?) ของตัวเองมาเป็นเครื่องมือเพื่อเอาเปรียบคนอื่นมันถูกต้องเหรอ? หลายปีมานี่ผมได้ยินหลายคนพูดถึงเรื่อง "ความเท่าเทียมของเพศที่สาม" "ความเสมอภาคในการมีคู่สมรส" และ "การแต่งงานของเพศเดียวกัน" แต่มันก็ยังมีกะเทยอีกกลุ่มที่ใช้คำว่า "กะเทย" เป็นข้ออ้างแห่งความด้อยค่าในสังคม ความน่าสงสารโดนรังแกต่าง ๆ นา ๆ เพื่อใช้ในการยกตนขึ้นเหนือชั้นกว่าคนอื่น ๆ...เป็นอภิสิทธิ์ชนที่ต้องได้รับการดูแลอย่างดี (บางครั้งดียิ่งกว่าผู้หญิงแท้ ๆ ด้วยซ้ำ)

                      ผมไม่ได้จะบอกว่าให้กะเทยมาเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติเหมือนเช่นก่อน ๆ แล้วยกเลิกข้อยกเว้นเสีย เปล่าเลย ผมแค่จะบอกว่า การที่คนบางคนแกล้งทำเป็นมองข้ามความหยาบคาย กักขฬะ ไม่รู้จักเตรียมความพร้อม ไร้ยางอาย ไม่มีมารยาท ของคนบางคนอาจจะทำให้คนอื่น ๆ มองว่าเป็นข้อยกเว้นที่ไร้ความยุติธรรม ถ้าตอนนั้นมีนายทหารสักคนลุกขึ้นยืนและบอกกับนางแม่อย่างจริงจังว่าอะไรทำได้และทำไม่ได้ ผมจะแฮปปี้มากและคงไม่มีกระทู้นี้เกิดขึ้น...แต่สิ่งที่พี่ทหารทำคือ...ยิ้มอย่างละมัยไทยแลนด์แดนสมายลี่และพูดด้วยเสียงน่ารัก ๆ ว่า “อย่าเสียงดังน๊ะ” “เบา ๆ หน่อย” “มานั่งตรงนี้สิ บังพัดลมคนอื่นเข๊า”...แค่นั้นเอง

                          สุดท้ายจริง ๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เมื่อใบ สด .43 ของนางได้รับการประทับตราและลงลายมือชื่อจากเจ้าหน้าที่เรียบร้อยก็ถึงเวลามอบกระดาษแผ่นนั้นคืนแก่เจ้าของ ชื่อของนางแม่ถูกเรียกและนางก็เดินเฉิดฉายจากด้านหลังสุดของสนามวอลเลย์บอลเพื่อมารับมอบจากประธานกรรมตรวจคัดเลือก (หรืออะไรเทือกนั้น ผมจำไม่ได้หรอก) ระหว่างทาง นางหยิบโทรศัพท์ราคาแพงออกมาจากกระเป๋าแบรนด์เนม (ซึ่งดูก็รู้ว่าเซินเจิ้น)...นางไม่ได้จะรับสาย...นางไม่ได้จะโทรเรียกรถพยาบาลให้มาปั๊มหัวใจใคร...แต่นางกำลังโทรออกหาใครสักคน...ระหว่างรับใบสด.43 จากนายทหารที่ยื่นกระดาษที่เป็นใบเบิกทางทั้งชีวิตของนางค้างไว้ในอากาศในท่าส่งมอบที่สุภาพ...และมีคนรอรับต่อจากนางอีกหลายสิบคน...เมื่อนายทหารท่านนั้นบอกกับนางว่า “อย่าเพิ่งโทรได้ไหม รับใบนี่ไปก่อน มีคนรออยู่” นางแม่ฉะงักตัวด้วยความสั่นสะเทือนราว 10.7 ริกเตอร์ และบอกว่า “ได้ ๆ”...  

                      จากทุกอย่างที่นางแม่ทำ จากความต่ำตมเต่ายิ้มที่นางแสดงออกมา จากความเครียดที่นางเพิ่มพูนให้กับคนอีกเป็นร้อยคน...สิ่งที่นางได้รับคือความสุภาพอย่างที่สุดของเจ้าหน้าที่ทุกคน ความใจเย็นจากนายทหารทุกยศทุกชั้น และความโกรธเกรียดจากคนอีกสามร้อยกว่าคนที่แน่นอนนางอาจจะไม่ได้เจอคนพวกนั้นอีกเลยตลอดชีวิต...แต่ผมคนหนึ่งแหละที่จะจดจำนางไปตลอดชีวิต นางแม่...กระเทยเมายาคุมที่มาเกณฑ์ทหารอย่างไร้ความเป็นกะเทยที่มีอารยธรรมที่สุด!!!




                      ปล. ตอนที่ผมเกณฑ์ทหารมีกะเทยคนอื่นอีกหลายคนที่มารับการเกณฑ์และทุกคน ย้ำว่าทุกคน!! ทำตัวได้ดี เหมาะสม ดูเป็นกระเทยสูงส่งยิ่งกว่านมน้องมันแกว มีน้องกะเทยหัวโปกคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ ผม นางใส่กางเกงยีนส์ขายาวขาด ๆ กับเสื้อรัดรูปและแต่งหน้าได้ดูสวยมาก...(เอาจริง ๆ น้องต้องเทคคอร์สแต่งหน้ากับพี่ม้าอรนภาเป็นการเร่งด่วนนะคะลูกกกก โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรถามพี่ม้าว่า ควรทำอย่างไรเราถึงจะกรีดอายไลน์เนอร์ให้ออกมาไม่ดูเหมือนเราตาเบี้ยว) คือนางก็ไม่ได้ออกมาก แต่พี่ทหารก็ยังเรียกนางไปคุยและนางก็ได้รับการยกเว้นด้วยเช่นกัน ต้องขอชื่นชมพี่ทหารที่มีสายตาเฉียบคมจนสามารถแยกแยะกะเทยหัวโปกรองทรงออกจากชายแท้ลายทั้งตัวได้อย่างชำนาญ!!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่