[CR] Wiko RIDGE ที่สุดของความคุ้ม และที่สุดของความท้าทายในการเป็นเจ้าของ

กระทู้รีวิว
สวัสดีเพื่อนๆและญาติมิตรสนิทมิตรสหายใน Pantip ที่หลงรักในการเสพกระทู้ทุกคนนะครับ กระทู้นี้จะเป็นการรีวิวมือถือแบบ Insane Customer Review ครับ กล่าวคือ ลูกค้ารีวิวเอง จุดไหนดี ก็บอก จุดไหนไม่ดีก็บอก แต่จะไม่บอกแบบสะใจจนเจ้าของหน้าชาไปตามๆกัน ฉะนั้น คุณภาพของภาพในการถ่ายสินค้าค่อนข้างดรอปจากมืออาชีพอยู่ครับ (จะได้ไม่ต้องมาตั้งข้อสังเกตว่าเป็น Sponsored Review รึเปล่า) แน่นอน ย้ำครับว่าเป็น Customer Review

โดยการรีวิวครั้งนี้จะมีที่มาที่ไป (คือมี Story ว่างั้นเถอะ) ฉะนั้น ไม่ต้องรออะไรแล้ว เข้าเรื่องกันเลยครับ

ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2558 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันนั้นเป็นหนึ่งในวันที่ชาว Geek มือถือให้ความสำคัญมาก ใช่แล้ว วันสุดท้ายของ Thailand Mobile Expo ไง ว่ากันว่า มือถือหรือเทคโนโลยีใหม่ๆคือสิ่งที่ดึงดูดใจชายพอๆกับการดูฟุตบอล หรือไม่ก็เกม ในขณะที่ผู้หญิง จะหลงรักแฟชั่น เครื่องสำอาง การแต่งตัวมากกว่า เมื่อผู้ชายหลงรักมือถือซะขนาดนั้น ทำให้งานนี้ ต้องคู่กับพริตตี้สาวสวยเกรดมอเตอร์โชว์มาเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างลูกค้ากับสินค้าเหมือนงานที่ผ่านมา ใครจะถ่ายพริตตี้ ก็ถ่ายไป (ผมแอบถ่ายด้วย งานนั้นพริตตี้หลายคนสวยมาก) แต่ว่า ในงาน Thailand Mobile Expo 2015 เดือนกุมภาพันธ์กลับมีมือถือรุ่นหนึ่งที่ผมต้องอ้าปากค้างในความคุ้มค่าและสเป็คที่ให้มาแบบคุ้มจัดเต็ม ทำให้ความสนใจของผม คงไม่ได้สนใจพริตตี้มากไปกว่า มือถือของแบรนด์สี Bleen อย่าง Wiko โดยเฉพาะรุ่นเปิดตัวใหม่ล่าสุดอย่าง Ridge และ Ridge FAB 4G

ถ้ามองผิวเผิน อาจจะยังไม่ดึงดูดใจผมมากนัก เพราะงานดีไซน์ของเครื่อง Ridge และ Ridge FAB 4G ดูแล้วยังไม่จี๊ดพอ อารมณ์เหมือนเราเห็นสาวหน้าหมวยแบบธรรมดา ไม่แต่งหน้าอะไร ที่เรามองผ่านๆยังไม่น่าสนใจ แต่ถ้าเธอยิ้มใส่เราเมื่อไร เราจะฟินกับรอยยิ้มของเธอ และ Ridge ก็มีจุดที่เหมือนกับสาวหน้าหมวยยิ้มให้เราคือ Spec ของเครื่องและการทดลองใช้งานแบบปกติ คือเลื่อนๆไปๆมา เข้าโปรแกรมต่างๆในเครื่อง แต่ไม่ได้ลองอะไรมากนักเพราะไม่มี WiFi ให้ลองเล่น แต่สัมผัสแรกของ Wiko Ridge นั้น ทำให้ผมตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่วนเวียนมาตลอด 1 ปีได้ทันที

ฝันร้ายที่ผมกล่าวไปคือ มือถือเครื่องเก่า การตอบสนองเรื่อง Touch Screen ตอบสนองได้ช้าเกินกว่าจะให้อภัย เวลาเล่น Cookie Run ก็เล่นได้เห่ย ไม่ได้อารมณ์ แต่มือถือเครื่องเก่าที่ผมเคยใช้ มีกล้องหน้าและกล้องหลังที่เทพใช้ได้ และความละเอียดหน้าจอเข้าขั้น Full HD ในความกว้างของจอ 5 นิ้ว ทำให้ผมต้องยอมฝันร้ายเพื่อยอมใช้กล้องหน้าและกล้องหลังสุดติ่งกระดิ่งก็อตซิลล่า

ในขณะที่ผมกำลังหลงรักไปกับการทัชสกรีนจอ Ridge อยู่ๆ ความฟินของผมต้องจบลง เมื่อพนักงานขายเดินมาบอกว่า “สอบถามได้นะคะ”

ตรงนี้ผมรู้ว่า มันคือหน้าที่ของพนักงานที่ต้องเข้าหาลูกค้าที่เข้าในอขตของบูธ แต่อีกใจนึง ผมไม่ค่อยถูกกับพนักงานซักเท่าไร แม้ว่าพนักงานรู้ข้อมูลในการขายเยอะ แต่ผมเป็น User ที่ต้องดูคุณสมบัติของมือถือ Android แต่ละเครื่องว่าผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมใช้ Android มา 3 ปีแล้ว รู้มุก Android ดีว่าจะมาไม้ไหน ก็เหมือนคนใช้ iOS ที่รู้มุกของ iOS ว่าจะมาไม้ไหน

โดยคุณสมบัติของมือถือที่ผมเลือกไว้ใช้งานในปัจจุบัน มีดังนี้ครับ

1. ต้องเป็น Android 4.4 ขึ้นไป



จะ Android 4.4.2 หรือ Android 4.4.4 ก็ได้ แต่ขอให้เป็น Kitkat 4.4 เท่านั้น ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต่ำกว่านี้คือมองผ่านได้เลย สิ่งที่ผมชอบ Android 4.4 มากๆคือ เป็น Android ที่ปรับปรุงหลายๆอย่างมากกว่าเดิม มากกว่า Android 4.2.2 ที่ผมเคยใช้อีก เช่น เล่นแอพที่แสดงผลเต็มจอ (คือซ่อน Bar ข้างบนด้วย) เราอยากดู Notification Bar ถ้าเป็นรุ่นเก่าๆ เราเลื่อนดูไม่ได้ แต่ Android 4.4 ทำได้แล้วโดยเลื่อนจากขอบจอบนลงล่าง 2 ครั้ง และไม่ใช่แค่ Notification Bar เท่านั้น Soft Key สามารถซ่อนได้ด้วย เป็นอะไรที่ฟินมากๆ เวลาเรียก Soft Key ก็รูดจากขอบจอด้านล่างขึ้นข้างบน และที่ผมชอบที่สุดคือ Emoji แสดงเป็นสี จากเวอร์ชั่นเก่าๆ  Emoji จะเป็นสีขาวดำ และไม่แสดง Emoji บางตัวด้วย

2. พื้นที่จัดเก็บแอพจาก ROM ต้องรวม Partition กับพื้นที่จัดเก็บไฟล์สื่อต่างๆด้วย



ความจริงที่โหดร้ายในอดีตที่ผมพบเจอมาในมือถือ Android เวอร์ชั่นเก่าๆหลายๆรุ่น ที่บางคนเห็นแล้วหนีไปใช้ iPhone ความจริงที่ผมต้องน้ำตาตกคือมือถือ Android เวอร์ชั่นเก่าๆ (จนถึง Android ในปัจจุบัน) มีพื้นที่จัดเก็บน้อยมาก ถ้าเทียบกับรอมที่ให้มา ในปัจจุบัน มือถือ Android ต้องมีรอมอย่างต่ำ 8 GB ใช้งานจริง 4 GB ขึ้นไป โดยใน 4GB ที่ว่าต้องรวมทั้งแอพและไฟล์มีเดียต่างๆ ในอดีตที่ผมเห็นมา มีรอม 8 GB ลงแอพใน Internal Storage ได้ 2GB ลงไฟล์สื่ออื่นๆ 2 GB (อีก 4GB คือตัว OS) ปัญหาคือ แอพสมัยนี้ไม่มีการลงใน External Storage หรือ Phone Storage ซะส่วนใหญ่ ทำให้เราลงแอพเยอะๆไม่ได้ แม้แต่อัพเดทแอพ ก็ติดปัญหาเรื่องพื้นที่จัดเก็บไม่พออีก อย่างมือถือตัวเก่า ROM ให้มาตั้ง 16GB แต่ติดที่แยก Partition ระหว่าง Internal Storage และ Phone Storage ซึ่งที่ลงแอพจริงๆมี 2GB ส่วน Phone Storage 10GB ขอบอกว่า 2GB ยุคนี้ไม่พอหรอก ต้องรวม Partition ไปเลย วิธีสังเกตุคือเข้าไปที่ Settings > Storage เข้าไปแล้วจะมี Phone Storage ต้องมีอย่างต่ำ 4GB ขึ้นไป และสามารถลงได้ทั้งแอพและไฟล์เพลงไฟล์ภาพได้ด้วย เพราะแอพเดี๋ยวนี้ (โดยเฉพาะแอพของ Google ที่อัพเดทกันตลอดเวลา) ไม่สามารถย้ายไปติดตั้งใน External Storage กันเยอะแล้ว

3. เปิด ART ได้ (ถ้าเปิดไม่ได้ ไม่เป็นไร)



ART คือ Runtime แบบใหม่ของ Android เป็น Runtime ที่ทำให้การเปิดแอพเร็วขึ้นและการใช้พลังงานลดลง เพราะโค้ดได้ถูกใส่เพิ่มเติมเอาไว้แล้ว (แต่ต้องการพื้นที่จัดเก็บเยอะกว่าเดิมประมาณ 20%) หากพื้นที่จัดเก็บไม่ถึง 4GB แนะนำว่า ให้กลับมาใช้แบบ Dalvik เหมือนเดิมดีกว่า

4. ทัชแล้วพุ่ง สะดุ้งเฮือก (ไม่พุ่งไม่เป็นไร แต่อย่าหน่วงแบบไม่ให้อภัย)

จุดนี้สำคัญพอสมควรครับ ถ้าแตะแล้ว ควรติดนิ้วทันที และแน่นอนว่า มือถือที่ใช้กระจกกันรอย Gorlila Glass แทบจะทุกรุ่นจะทัชแล้วพุ่ง ยิ่ง Gorlila Glass 3 ยิ่งเป็นรอยยากกว่าเดิม ทัชและพุ่งอีก แต่ควรหลีกเลื่ยงมือถือที่ใช้จอกันรอยของ Dragontrail เพราะจากประสบการณ์การใช้งานมา จอ Dragontrail เป็นอะไรที่ตอบสนองช้าเวอร์ จนอยากจะขว้างมือถือลงถังขยะไปเลยก็มี (เครื่องเก่าใช้ Dragontrail T_T)

5. แรมอย่างต่ำ 1 GB (และความละเอียดหน้าจอต้องอย่ามากกว่า HD) หรือแรมอย่างต่ำ 2 GB (และความละเอียดหน้าจอต้องอย่ามากกว่า FHD)

เดี๋ยวนี้ มือถือ RAM 1GB ขายกันเกลื่อนมากๆ และต้องดูหน้าจอด้วยว่า หน้าจอขนาดเท่าไร เพราะยิ่งหน้าจอละเอียดมาก การกิน RAM ก็ย่อมมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

กลับมาที่เนื้อเรื่องกันต่อครับ หลังจากที่ผมได้ยินคำพูด “สอบถามได้นะคะ” ของพนักงาน ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานเล่า Spec และการใช้งานตามที่พนักงานบริการต้องการเลย ผมพูดว่า “พี่ครับ สองตัวนี้ (Wiko Ridge และ Wiko Ridge FAB 4G) แตกต่างกันยังไงครับ”

“ตัวนี้ (RIDGE) รองรับ 3G ได้เท่านั้นค่ะ แต่ได้ CPU Octa Core 1.4 GHz ส่วนตัวนี้ (RIDGE FAB 4G) ได้ใช้ 4G และใช้ CPU Snapdragon Quad Core 1.2 GHz สถาปัตยกรรม 64 Bit ค่ะ”

“อ่อครับ” ผมพูด “พอดีผมดูอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับมือถือด้วยครับ บางทีสเป็คที่ให้มา แรงจริง แต่อาจจะตอบสนองการใช้งานไม่ได้อย่างที่หวัง เดี๋ยวผมขอดูอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับมือถือ RIDGE และ RIDGE FAB 4G นะครับ ดูแล้ว มือถือในงานนี้น่าสนใจเยอะเลย”

“ค่ะ เชิญตามสบายเลยนะคะ” พนักงาน Wiko พูดออกมาและยิ้มให้ผม อันที่จริง ผมจะดูขนาด Storage ของมือถือ Ridge และ Ridge FAB 4G ว่า รวม Partition เอาไว้มั้ย ดูแล้ว มือถือ Ridge และ Ridge FAB 4G ให้ ROM ถึง 16GB ถ้ารวม Partition ได้ เรารู้สึกเหมือนพระเจ้าอวยพรเราให้เจอกับมือถือที่ผมต้องการเลยทีเดียว ผมเข้าไปที่ Settings > Storage และสิ่งที่ผมเห็น ผมอยากจะขอบคุณพระเจ้ามากๆ

เพราะในที่สุด มือถือที่ผมหวังเอาไว้ สไตล์ Nexus ราคาไม่แพงมาก มันอยู่บนมือของผมแล้ว ทั้ง Wiko Ridge และ Wiko Ridge FAB 4G ตัว Storage รวม Partition เอาไว้แล้ว ไม่แยก Partition แอพกับ Partition เก็บไฟล์เพลงไฟล์รูป

และด้วยความทึ่งกับสิ่งที่ผมตามหามาโดยตลอด ทำให้รูปลักษณ์ของมือถือ Wiko Ridge และ Wiko Ridge FAB 4G พลอยสวยไปด้วย งานดีไซน์ถือว่าดีและแปลกแหวกแนวสุดๆ อีกทั้งน้ำหนักเบา และบางอีกด้วย เบากว่า iPhone6 อีกแน่ะ (แต่เบาสู้ iPhone5Sไม่ได้) นี่คือมือถือที่ผมตามหามาโดยตลอด ผมตามหามือถือที่ใกล้เคียงกับ Nexus 5 และ ณ ตอนนี้ก็เจอแล้ว Wiko Ridge และ Wiko Ridge FAB 4G

จากนั้น ผมเดินออกจากบูธ Wiko แต่ก่อนออก พริตตี้ของบูธ Wiko ชวนผมมาจูบมือถือ (หา จูบเหรอ) ถ้าจูบดี ได้ของใหญ่ๆ โอเค ผมจูบละนะ

แต่เชื่อเหอะ บูธพวกนี้ ได้ของไม่กี่อย่าง ไม่ปากกาก็สมุด Geek จริงๆ และผมก็ได้ปากกาจริงๆด้วย

หลังจากนั้น ผมก็เดินดูงาน Thailand Mobile Expo ทั่วงาน จนกระทั่ง

1 เดือนครึ่งต่อมา

ผมมีความรู้สึกอยากได้มือถือเครื่องหลัก 1 เครื่อง เครื่องที่ทัชสกรีนห่วยๆเอาไว้ใช้ทำงานไป โดยบริษัทที่ผมทำงาน ให้ผมอัพ IG ขายของด้วย และอีกอย่าง กะสร้างไลน์ใหม่เอาไว้คุยกับคนใกล้ๆตัว ไลน์ที่ติดต่อกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานก็เป็นไลน์ของมือถือเครื่องเก่า พอหมดเวลาทำงานในแต่ละวันก็ปิด WiFi ไม่ต้องเปิดอะไรทั้งสิ้น ทีนี้ ผมปิ๊ง Wiko Ridge ไม่หายครับ

ผมตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่า ยังไงก็ต้องได้ Wiko Ridge แน่นอน ในขณะเดียวกัน อีกใจหนึ่งก็อยากได้ iPhone6 เป็นเครื่องหลัก ด้วยวิธีลุ้นโชค เจอกิจกรรมลุ้น iPhone6 ที่ไหนผมก็ลุ้นๆไปกับเค้าที่นั่น เผื่อถ้าได้ iPhone6 มา ก็มีเฮ แต่จนแล้วจนเล่า ผมพูดกับตัวเองว่า

“Wiko Ridge ไงก็คุ้มกว่า ใส่ 2 SIM ได้ด้วย”

ผมเปิดดูเฟสบุ๊คของ Wiko แล้วค้นพบสิ่งนี้ที่ทำให้ผมต้องกระโดดโลดเต้นแบบอยู่ในไนท์คลับ (เดี๋ยวนี้ข่าวออนไลน์ชอบพาดหัวแนวๆนี้กัน เรารู้ 5555)

สิ่งนี้ที่ว่าคือ Wiko เตรียมปล่อยวางจำหน่ายรุ่น Ridge และ Ridge 4G กันแล้ว ที่ร้าน Jaymart และ TGFone (และร้านอื่นๆทั่วประเทศ)

แต่น่าเสียดายที่ระบบการวางจำหน่ายของ Wiko ไม่ได้แจ้งเป็นเวลาอย่างเป็นทางการ ถ้าอย่าง Apple หรือ Samsung จะบอกเลยว่าขายวันโน้นวันนี้ และวันที่ขายคนก็ต่อแถวยาวเหยียดไปซื้อกัน แต่ Wiko คงไม่ใช่แบรนด์ที่มาโฆษณาโหมกระหน่ำขนาดนั้น เพราะเงินลงไปกับค่าฮาร์ดแวร์มือถือเรียบร้อยแล้ว (และขายมือถือราคาถูกๆ แต่สเป็คถือว่าคุ้ม) โดยแผนการตลาดแบบนี้ ผมนึกถึง Xiaomi, ASUS เลยที่ใช้การตลาดแบบปากต่อปาก (ในเน็ต) ณ วันนี้คนก็พูดถึง 2 แบรนด์นี้อยู่ เพราะเน้นสเป็คจัดเต็ม แต่ขายในราคาสุดคุ้ม ปีที่แล้ว คือปีทองของ ASUS แต่ปีนี้ ต้องยกให้ Wiko จริงๆ

แน่นอนว่า ความต้องการของลูกค้านั้นเหลือล้นพอๆกับช่วงเวลาที่ขาย iPhone ใหม่ๆ ทำให้เกิดอาการ “สินค้าหมด” กันทั่วประเทศไทยกันเลยทีเดียว โดยจุดขายที่ผมว่า ดึงดูดใจลูกค้าคือ

Wiko Ridge ใช้ CPU Octa Core ในราคา 4,990
Wido Ridge FAB 4G ได้ใช้ 4G ในราคา 6,990


ส่วนผม ผมเลือกตัว Ridge ครับ เพราะขนาด 5 นิ้ว ผมว่าเพียงพอแล้ว ในวันที่เงินเดือนออก ผมเดินทางไปที่ Central Bangna ครับ แน่นอนว่า ช่วงเงินเดือนออก มนุษย์เงินเดือนหลายๆท่านแท่กันเข้าแถวกดตู้ ATM กันยกใหญ่ แต่ผมกดเรียบร้อยแล้วตรงตู้ ATM แถวๆที่ทำงาน และผมเดินขึ้นไปชั้น 5 ร้าน Jaymart ซึ่งร้านนี้ขายมือถือ Wiko เหมือนกัน แต่ติดตรงที่เค้าไม่เอาตัวโชว์ Ridge, Ridge FAB 4G มาตั้งโชว์ ทำให้ผมสอบถามพนักงานว่า “พี่ครับ มือถือ Wiko Ridge มารึยังครับ”

เดี๋ยวมาต่อครับ ยาวเวอร์
ชื่อสินค้า:   Wiko Ridge
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่