เรียนภาษาที่ Vancouver ประเทศ Canada (repost แก้ไขเพิ่มเติม)

!!ยาวหน่อยนะครับ ไม่อยากแยกเป็นหลาย comment
คุณเริ่มวางแผนทางเดินชีวิตสำหรับอนาคตตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่มัธยม,มหาวิทยาลัย หรือเมื่อตอนเรียนใกล้จะจบ
แต่ทุกคนคงมีความฝันมาตั้งแต่สมัยเด็กว่า อยากทำอาชีพนั้น อาชีพนี้ แต่พอเวลาผ่านไป ความคิดก็เริ่มเปลี่ยนไปตาม สังคมที่เจอ/ประสบการณ์/ฯ...ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น



ผม admission เข้านิติศาสตร์ได้สำเร็จ ตั้งเป้าหมายว่า ต้องเรียนจบ ต่อเนติฯ  แล้วอยากเป็นอัยการ/ผู้พิพากษา ให้ได้(ความฝันของเด็กพึ่งจบม.ปลาย)
ผมเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมมาก จนแทบจะทิ้งการเรียนเลยก็ว่าได้(ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง)ทำกิจกรรมแทบจะทุกอย่างของเอก คณะ มหาวิทยาลัย แต่ก็ยังจบป.ตรีมาได้ แต่เกรดก็ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่


เข้าเรื่องๆ เกริ่นยาวไปหน่อย
"ผมเริ่มวางแผนชีวิตตัวเองตอนกำลังเรียนชั้นปี 4" >>> ทางเดินสายเนติฯ คงไม่ใช่ทางของตัวเรา
ตอนนั้นก็เริ่มคิดๆละว่า เกรดเราก็แค่นี้(ประมาณ2.5) คนจบนิติศาสตร์ปีๆนึงก็เยอะ ถึงจะมี profile การทำกิจกรรมที่สวยหรู(น่าจะเป็นเช่นนั้น)ก็ใช่ว่าจะหางานดีๆทำได้


ผมก็เริ่มมองหาว่า จะชนะคู่แข่ง(คนจบใหม่)ได้ มันต้องมีอะไรที่แตกต่างหรือเหนือกว่าคนอื่นเพื่อให้เข้าตา HR ของบริษัท เลยนึกถึงเรื่อง "ภาษาอังกฤษ" ขึ้นมา แต่ก็อย่างว่า ผมเป็นคนที่ภาษาเฮงซวยมาตั้งแต่เด็ก โจทย์นี้มันช่างท้าทายเหลือเกิน...



พอคิดได้แล้วว่าต้อง upgrade ตัวเองด้วยภาษาอังกฤษ ก็เริ่มด้วยการคิดว่าต้องทำอย่างไร เริ่มแรกก็คิดว่าจะเรียนที่สถาบันภาษาสักแห่ง แต่พอมาคิดดูดีๆ อาทิตย์นึงสามารถเรียนได้สักกี่ชั่วโมง จะคุ้มไหม จะได้ผลไหม พอออกมานอกห้องเรียน ภาษาที่ใช้ก็=ภาษาไทยเหมือนเดิม

แล้วก็มีคนมาเสนอว่าทำไม ไม่ไปเรียนที่ต่างประเทศหล่ะ จะได้ใช้ภาษาเยอะๆ ตลอดเวลา ผมก็สนใจเพราะคิดว่ามันจะได้ผล ผมก็เริ่มหาข้อมูลว่าจะไปประเทศอะไร ตอนแรกมีตัวเลือก 3 ตัวเลือกคือ อเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย


แล้วสุดท้ายผมก็เลือกแคนาดา...เหตุผลหน่ะหรอ เพราะ การเดินทางสะดวก สามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ อากาศดี และเมืองค่อนข้างจะปลอดภัย(Vancouver ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก)


เมื่อเลือกแล้วว่าประเทศที่จะไปคือแคนาดา


ต่อมาก็ต้องมาหาข้อมูลว่า จะไปได้ยังไงหล่ะ แล้วค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

เมื่อไม่เคยไป ก็ต้องพึ่ง Agency ครับ

แล้วผมก็เลือก Agency หนึ่งที่มี office ที่ Vancouver เผื่อว่ามีปัญหาจะได้ขอความช่วยเหลือถูก เพราะโง่อังกฤษแบบว่าอย่างแรง


การทำ Visa ใช้เวลาประมาณ 2-3เดือน แล้วแต่คน(ช่วงที่ผมทำเป็นเดือนธันวา 56)
ค่าใช้จ่ายก็มี
-ค่าทำ visa จ่ายให้สถานฑูต
-ค่าที่จ่ายให้ agency
-ค่าเรียน
-ค่าตั๋วเครื่องบิน

สำหรับ agency นี้ มีการปฐมนิเทศให้สำหรับคนที่ชำระเงินเรียบร้อย เพื่อปูพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศ Canada การใช้ชีวิต การเดินทาง สกุลเงิน คร่าวๆให้
ซึ่งผมศึกษา ถึงขั้นท่องก็ว่าได้ เพราะถ้าเอ๋อขึ้นมา คงนึกไม่ออกว่าจะไปถามคนที่นั่นเป็นภาษาอังกฤษอย่างไร

แล้ววันเดินทางก็มาถึง(เมษายน 57)



การเดินทางไปประเทศ Canada ต้องต่อเครื่อง 1 รอบ ผมเดินทางด้วยสายการบิน EVA ต่อเครื่องที่ ประเทศใต้หวัน
เวลาเดินทางประมาณ 16 ชม ไม่รวมรอต่อเครื่อง(นั่งกันเบื่อเลยคับ)

และแล้วก็มาถึงบิน YVR ที่ Vancouver
ผมนี่ท่องอยู่ในใจว่าต้องเอาเอกสารอะไรยื่นให้ทาง ตม.ของแคนาดาตรวจบ้าง ต้องตอบคำถามว่าอะไรบ้าง(เค้าจะถามประมาณว่ามานานไหม เรียนที่ไหน อะไรงี้ มาครั้งแรกเค้าจะถามไม่เยอะมาก)

พอผ่านปุ้ป คนที่มาเรียนด้วยทำงานด้วย ต้องไปเอา work-permit ก่อน(ห้ามลืม)>>เข้าไปเอาก็ไม่มีขั้นตอนอะไรมาก แค่ยื่นเอกสาร นั่งรอ...จบ

กว่าจะถึงบ้านก็ปาไป 4ทุ่ม โฮสมารับที่สนามบิน ถึงบ้านปุ้ป นอนครับ


ตื่นมาปุ้ป เป็นวันที่ agency นัดมาเจอเพื่อพาไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ เปิดบัญชีธนาคาร ฯ (บาง agency ไม่มี เท่าที่ถามๆคนไทยที่นี่) โดยมี staff ที่เป็นคนไทยเป็นคนพาไปทำทุกๆอย่าง

แถวบ้านผมเองคับ มาถึง ซากุระบานพอดี


เหนื่อยมากครับวันแรก เพราะ jet lag(อ่อนเพลียจากการเดินทาง+เวลาไม่ตรงกับไทย ร่างกายปรับไม่ทัน) อาการก็แค่ง่วงบ่ายๆ ชอบตื่นเองตอนตี3ตี4ไรงี้ครับ เป็นประมาณ1อาทิตย์ถึงหาย

วันเรียนวันแรกก็มาถึง(วันจันทร์)(ผมมาถึงคืนวันศุกร์)
ออกจากบ้านแบบเกร็งๆ มึนๆ จะเจอเพื่อนแบบไหน อาจารย์แบบไหนนะ มีอะไรรอเราอยู่
พอถึงที่โรงเรียนปุ้ป เอกสาร นั่งรอ(ตอนนั้นฟังออกแค่นี้ว่าให้รอ)


วันแรกจะมีการสอบข้อเขียน+สัมภาษณ์เพื่อแบ่งห้องเรียนตามระดับภาษาเรา (งานเข้าตั้งแต่วันแรกเลย คิดละว่า ต่ำสุดแน่นอน)
ข้อเขียนบอกได้เลยว่าเดานี่ 90% ตอนสัมภาษณ์นี่แบบ อาจารย์ที่สอบถึงขนาดต้องพูดว่า พูดยาวๆหน่อย จัดห้องให้ไม่ถูก ไอ้เราก็นึกในใจ ก็กูพูดได้แค่นี้อ่ะ(ร้องไห้แพ้บ)

สุดท้ายก็ไม่ผิดคาดมาก ได้ไปอยู่ห้องรองต่ำสุดจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

พอเข้าไปในห้อง ก็แบบไม่รู้จะนั่งตรงไหน เพราะเหมือนคนที่อยู่ในห้อง(ประมาณ10คน)รู้จักกันมาอยู่แล้ว มีเราใหม่คนเดียวห้องนั้นวันนั้น มีคนเกาหลี ญี่ปุ่น ไม่มีคนไทย


***กฎเหล็กของสถาบันภาษาของที่นี่ทุกที่คือ ภายในโรงเรียนห้ามพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาอังกฤษ ถึงจะชาติเดียวกันก็เถอะ****

พอเริ่มเรียนๆไป ก็มีให้เรียนทั้ง grammar เล่นเกมส์ talk with partner ฯ เยอะแยะครับ แต่ก็ตามระดับห้องเรา ไม่ยากจนเกินไป(แต่สำหรับผมอาทิตย์แรกนี่โคตรยาก)

เพื่อนในห้องครับ (อันนี้เป็นรูปเพื่อนในห้องอีกระดับนึงที่ผมเลื่อนขึ้นมา)


*ลืมบอก ผมมาโปรแกรม 6 เดือน เรียน3ทำงาน3*

เรียนวันนึง9โมง-4โมงเย็น ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย สถาณการ์มันบังคับ ทำให้ภาษาอังกฤษมันค่อยๆซึมเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่ถึงกับเก่ง แต่ก็ดีขึ้นตามลำดับนึงที

ผมใช้เวลาในระดับนี้ถึง2เดือน กว่าจะได้เลื่อนไปอีกห้องที่สูงกว่า แล้วก็จบการเรียน3เดือน ได้เพื่อนก็เยอะแยะ แต่ไม่ค่อยสนิทมากเท่าไหร่  มีสนิทๆไม่กี่คนเพราะอะไรขอไปพูดถึงในลำดับถัดไป

นักเรียนที่นี่จะมีธรรมเนียมกันคือใครเรียนจบ หรือย้ายเมือง เค้าจะรวมกลุ่มเพื่อนๆ เขียนข้อความในธงแคนาดาแล้วเอามาให้ อันนี้ของผมเอง


บ้านผมไม่ได้รวยมากมายอะไร เพระาฉะนั้นผมจึงต้องรีบหางานทำให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้  ผมเริ่มหางานตั้งแต่วันที่3ที่มาถึง โดยการเดินเอา resume ไปยื่นครับ!

แรกๆ ไม่ค่อยกลับเข้า ท่องมาอย่างเดียวคำว่า Are you hiring now? เค้าตอบ yes ก็ให้ resume เค้าไปจบ

ผลออกมาคือ ยื่นไป 20 กว่าแห่งในเวลา2อาทิตย์ แต่ไม่มีใครตอบกลับผมเลยสักคน pocket money ผมก็กำลังจะหมด.....
***แรกๆทำอะไรลำบากครับ เพราะใช้เงินทุกอย่างต้องคำนวนเป็นบาท ซึ่งแบบว่า แพงมาก(ถ้ายังไม่มีค่าเงินที่นี่)***

ต่อมาผมก็เปลี่ยนวิธีการหางานโดยการเข้าเว็บ http://vancouver.craigslist.ca/ เพื่อหางาน

แล้วผมก็ได้ทำการส่ง resume โดย e-mail ตามที่เค้าประกาศ

และแล้ว....ก็มีคนตอบกลับมา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ร้านที่ตอบกลับมาคือร้าน Thai express ตอนนั้นคิดในใจ หึหึ ร้านไทยด้วย สวยละ สบาย แต่แอบสงสัยทำไมเค้าตอบ e-mail เป็นภาษาอังกฤษ

เค้าก็นัดวันไปสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย ก็ถึงวันที่นัดกัน

เจอปุ้ป สตั้นท์คับ เจ้าของเป็นคน Canadian (เกาหลีเกิดที่นี่) แต่เค้าพูดฟังง่ายคับ โชคดีไป  ใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 15 นาทีได้ แล้วเค้าก็รับผมเข้าทำงานในตำแหน่ง cook-helper...

***ผมใช้เวลาทั้งหมด3อาทิตย์ในการหางาน เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเหนื่อยครับ แต่ต้องทำเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้าน เลิกเรียน4โมง เริ่มงาน5โมง เลิก 3 ทุ่มครึ่ง ทำงานเสาร์-อาทิตย์ด้วย ได้หยุด2วัน***
แต่ผมถือว่าโชคดีนะ ที่ได้งานแล้วไม่ต้องหางานอื่นเพิ่ม เพราะเจ้านายจัดเต็มให้35 ชม/สัปดาห์

ทำงานนอกจากใช้จ่ายพอแล้ว ยังมีเงินเก็บด้วยครับ ยิ้ม

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนที่สนิทเท่าไหร่ที่โรงเรียนเพราะเลิกเรียนไม่ได้ไปเที่ยวกับ ใครเค้า ต้องมาทำงาน แรกๆเพื่อนก็ชวน หลังๆมันไม่ชวนละ มันคงเบื่อ 555555555555555 แต่ก็ไม่เป็นไรครับ
เพราะจำเป็นต้องทำงาน

เพื่อนสนิทๆที่ทำงานครับ เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง


ที่ทำงานมีคนไทยคนเดียวคือผม เพราะฉะนั้นภาษาอังกฤษ ต้องใช้แทบทั้งวัน ตั้งแต่เรียนกันทำงาน ไม่ได้ใช้แค่ตอนนอน - -

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แค่อยากเล่าประสบการณ์ และบอกเล่าว่าการไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีแค่ความกลัวเท่านั้นแหละที่จะขวางคุณ

ผมเลือกที่จะเสียเวลาทำงาน1ปี เรียนป.โทช้า1ปี แต่มาถึงตอนนี้ผมไม่ถึงขั้นเทพอะไร แต่ก็ดีขึ้นมาก ผมพูดได้เลยว่าคุ้ม ทั้งความรู้ ทั้งประสบการณ์

เจ้านายผมบอกว่า ภาษาอังกฤษไม่ต้องกลัวว่าจะพูดผิด ถ้าผิดก็แค่พูดอีกรอบ ถ้ากลัวแล้วไม่พูด คุณจะไม่มีวันพูดได้

ขอบคุณครับ

ตอนนี้ผ่านมา 8 เดือน ผมก็ยังอยู่ที่นี่อยู่ ผมยื่นขอ Visa ไป 6 เดือน แต่ดวงดีได้มาปีครึ่ง
ตอนนี้ผมทำอยู่ Thai express ที่ foodcourt waterfront centre ใครอยู่ แคนาดา แวะเวียนมาคุยกันได้ครับ ผมเป็น line cook อยู่(ได้เลื่อนขั้นตอนเดือนที่2ที่ทำงาน) เจ้านายไม่อยู่บางทีผมให้ฟรีได้นะ ฮ่าๆๆ ^^

รวมกระทู้เกี่ยวกับ Vancouver
การเดินทางใน Vancouver >> http://ppantip.com/topic/33084820
เมืองคนรักกาแฟ >> http://ppantip.com/topic/33086046
review อาหาร>> http://ppantip.com/topic/33102470
backpack ที่ San Francisco >> http://ppantip.com/topic/33092351
backpack เที่ยว LA (Los Angeles)> http://ppantip.com/topic/33478075
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่