การเดินทางอันน่าตื่นเต้นของเด็กน้อย(มั้ง)คนนึง ที่ไม่เคยเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวคนเดียว กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ทริปนี้เป็นการเดินทางที่ทั้ง โหด ทั้งทรหด ก็นะ แบคแพค มันส์ๆ นี้หน่า ไปธรรมดาเหมือนคนอื่นๆก็คงหมดสนุกเป็นแน่ ว่ามะ ส่วนตัว ผมชอบอะไรไม่เหมือนใคร ไม่ชอบตามใคร อยากลองอะไร อยากแวะตรงไหน จัดไปโลด...
“ผมเคยเกิดคำถามว่า ทำไมไอ้พวกฝรั่งมันไม่ทำงานทำการกันหรอว่ะ วันๆ ก็นั่งกินกาแฟ ชิลๆ วิ่งจ๊อคกิ้ง ออกกำลังการทั้งวัน ทำไมผมต้องมานั้นทำงานอันแสนยาวนานตลอดทั้งวันทั้งคืนยังงี้เนี่ย มันไม่แฟร์กับผมเลยสักนิด ผมไม่ชอบชีวิตแบบที่ผมเป็นเลยให้ตายเหอะโรบิน.......”
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ผมตัดสินใจทิ้งการงานอันแสนมั่นคง(มั้ง) กับเงินเดือนดีๆ ไว้เบื้องหลัง พร้อมกับโบกมือ บ๊ายบาย ประเทศไทย ด้วยการตัดสินใจว่า ชีวิตผมต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้
และผมก็ตัดสินใจ เดินทางไป ออสเตรเลียยยยย ดินแดนในฝัน ตั้งแต่วัยเด็ก ผมเคยคิด และฝันว่า วันนึงผมจะไปเยียบแผ่นดินที่นั้น และสัมผัสกับจิงโจ้น้อยผู้น่ารัก......จากนั้นก็จะบินไปดำน้ำที่ great barrier reef แล้วก็จะขับรถชมธรรมชาติข้างทางที่ great ocean road แหม แค่คิดหัวใจผมก็พองโตซะหละ (เอิ่ม ดูเว่อร์ไปนิดนึงอะฮะ 555) หืมมม
ลองเข้าไปแชร์ไอเดียกันได้นะครับ
https://www.facebook.com/Backpackaroundme
ผมเริ่มต้นด้วยการมองหาลู่ทาง โอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิตที่ขาดชีวิตชีวา ดูเหมือนกับว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาชีวิตผมเหมือนจะติดกับดักของชีวิตการงานมาเกินไป ถึงผมจะเต็มที่และสนุกกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การที่ผมใช้ชีวิตด้วยการทำงานไป 10 ชม ต่อวัน มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นเลย เงินก็เท่าเดิมอีกเหอะ.....เศร้า
ผมวางแผนหลบหนีที่จะกระโจนสู่ความโหยหานั้นทันที และแล้วโชคชะตาก็วิ่งชนผมอย่างจัง ผมเจอช่องทางหลบหนีหละ วู้ววว... (หน้าบานปลื้มปลิ่ม) ผมได้วีซ่ายาว 1 ปี และชีวิตแห่งความมันส์กำลังบังเกิดขึ้น กับโผมมที่ประเทศซิดนีย์ เอ้ย ประเทศออสเตรเลีย ผมจะได้ไปผจญภัยในต่างประเทศอีกครั้งแล้วเหรอนี้ ยิปปี้!!! นั้นแหละ จุด peak ของชีวิตเลย มันช่างเป็นประสบการณ์สุด cool ที่ผมตั้งใจเอาไว้ ก่อนบินมาผมตั้งใจว่า ผมจะ เที่ยว (ดูเป็นหัวใจหลักเลยแหะ ทั้งๆที่คนอื่นๆ เค้าอยากจะมาเก็บเงิน) ผมอยากจะมีเงินเก็บได้สักก้อนนึงไม่ต้องเยอะมากหรอก จากวิธีการเป็นกระเหรี่ยง ก็นะ ไม่มีเงินแล้วผมจะเดินทางท่องโลกนี้ได้ไง ว่ามะ
ทุกอย่างล้วนใช้เงินในการดำรงชีวิตนิหน่า ขอให้ได้ฝึกภาษาอีกสักหน่อยหละกัน ก่อนหน้านี้ก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดกับภาษาอังกฤษ ถึงแม่ว่าจะค่อนข้างหน้าหนาก็เหอะ มันชั่งตื่นเต้นตัลลอดเวลาที่ได้คุยจริงๆ ฟังรู้เรื่องมั้งไม่รู้เรื่องมั้ง เกือบจะเอาตัวไม่รอดประจำ คุยกันมันจะด่าตรูไหมเนี่ย อีกเรื่องผมอยากให้สุขภาพดีขึ้น ยอมรับตามตรงว่า ทำงานเนี่ย ไม่ได้ออกกำลังกายเบยยเหอะ แถมมักจะโทษฟ้า โทษฝน โทษลม โทษแดด แถมอากาศกรุงเทพก็เป็นใจให้หมกตัวอยู่แต่ในออฟฟิต แอร์เย็นๆ ยังกะขั้วโลก ผมเลยไม่ค่อยอยากออกไปเจอแสงตะวันสักเท่าไร คือขี้เกียจงะครับ (สารรูป เอ้ย สารภาพตรงๆ)
และสุดท้ายผมก็ยังอยากได้ connection อืมม จริงๆ แค่ผมออกเดินทาง เปิดใจที่จะอ้าปากคุยกับคนข้างทาง ก็ไม่น่าใช่เรื่องยากใช่ มะหละ แลดูจะอยากได้เยอะซะเหลือเกิน แต่ไหนๆ ก็มาเหยียบแผ่นดินนี้แล้วแล้วอย่าให้เสียชาติเกิด เอิกกก ผมแค่ถือมองว่า “ทำทุกอย่างให้เต็มที่ วันนึงหากผมมองกลับมา ผมจะได้ไม่รู้สึกเสียดาย+ได้ลองก็ยังดีกว่าไม่ได้ลงมือทำ+ประสบการณ์สำคัญกว่าทฤษฎี+ต้องสู้ต้องสู้ถึงจะชนะ (ยกมาคติชาวบ้านเค้ามาหมดทั้งตำราอะ 555)” คือผมมักเห็นเพื่อนผมหลายๆ คน บ่นกันตลอดๆ ว่า สายไปหละมั้ง ไม่ก็ เสียดายที่ไม่ได้ทำตั้งแต่วันนั้นมั้ง ไม่มีโอกาสมั้ง ซึ่งจริงๆ ซึ่งก็ได้ยินความคิดทำนองนี้มาเนิ่นนานแล้วหละฮะ ดูเหมือนจะมีแต่ความคิดด้านลบเนอะ ว่ามะ และอีกอย่างเพราะผมมองว่า เวลาในชีวิตผมมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนผมลืมไปเลยว่า จะหมดวัยมันส์แล้วนะฮ้าบบ ฮ่าๆ ว่าแล้วก็จัดไปปป ฟิ้ววว กริ้วกร้าว เก็บกระเป๋า เก็บข้าวเก็บของ go! go!
ปล. กิ้วววว...... คำพูด อาจจะดูดิบเล็กน้อยถึงปานกลาง กวนทีนบ้างแต่พองาม แต่ถึงไงผมก็ยังเป็นคนดีของสังคมอยู่นะฮะ ฮ่าๆ
ร่ายมนต์มาซะตั้งนาน ยังไม่เข้าเรื่องซะที ฮ่าๆๆ ซอรี่!!!!
ผมเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตตามแบบที่ตั้งใจว่า
ผมเริ่มต้นการเดินทางนี้โดยคาดว่าจะขับรถออกจากตัวเมือง ซิดนีย์ครับ ผมเริ่มวางแผนล่วงหน้ามาเดือนกว่าๆ เพื่อเตรียมจองรถ มองหาสถานที่เที่ยว ข้อมูล อาหาร แต่ละเมืองที่น่าสนใจ โดย ผมพยามยาม ไปตาม visitor ตามที่ท่องเที่ยว เก็บข้อมูลของเมืองต่างๆ บวกกับ ว่าผมสนใจอยากจะแวะเมืองไหน และ ที่สำคัญคือผมอยากตื่นขึ้นมาแบบ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
ผมเลยคิดว่า งั้นเอาแบบ ค่ำไหนนอนนั้นหละกัน โดยการไม่จองโรงแรมครับ ที่สำคัญสุด ทุกอย่างต้องประหยัด โดยผมกะค่าใช่จ่ายคร่าวๆ ว่าทริปนี้ น่าจะประมาณ 600-700 เหรียญ หวังว่าจะไม่เกิน (คิดในใจมันจะทำได้มะว่ะ ตั้ง อาทิตย์นึง เมิงจะงกไปไหนว่ะ ว้ากกกฮ่าๆ แค่คิดก็มันส์หละ ผมจะเอาตัวรอดยังไง ทั้งๆที่ไม่เคยไปด้วยซ้ำ รู้แค่ว่า ซิดนีย์อยู่ทางเหนือของเมลเบิร์น แค่นั้น....) ดูชีวิต บัดซบ ทรหด และบึกบึน ฝุดๆ นี้ตรูมาเที่ยวหรือว่ามาออกค่ายกันแน่... พอคำนวณรายจ่ายทั้งหมด ทำให้ทริปนี้ รายจ่ายหลักๆอยู่ที่ค่ารถ กับค่าน้ำมันเป็นหลักหละงานนี้
เริ่มต้นชีวิตอันสวยงามด้วยการหาเอเจนเช่ารถเลยครับ ผมเลือกที่จะเช่ารถจากในเมืองซิดนีย์เพราะผมพักอยู่แถวนั้น แล้วก็มองว่าถ้าออกไปรับรถแถวสนามบิน ผมต้องเสียค่านั่งรถไฟไปอีกหลายบาท เลยเลือกในตัวเมืองนี้แหละว่ะ แพงนิดนึงแต่คำนวณแล้วก็ไม่ต่างกันกับไปรับรถที่สนามบิน นั่งหาข้อมูลอยู่นานมากประมาณ 2-3 อาทิตย์ เพราะในใจภาวนาตลอดว่าขอให้มีโปรโมชั่นเถอะน่า
แต่ช่วงระหว่างที่หาผมก็มีจองไปเรียบร้อยนะครับ แต่ว่าเช่ารถที่นี้สามารถขอยกเลิกได้ก่อนเดินทาง 3 วันโดยไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เอเจนที่ให้เช่ารถมีหลากหลายมาก แต่คำภาวนาไม่สัมฤทธิ์ผล ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมเช่ารถในซิดนีย์เพื่อเดินทางออกนอกเมือง รอบแรกแอบเสียความรู้สึกนิดหน่อยด้วย condition แอบแฟงของเอเจนเช่ารถ ทำให้ผมจ่ายแพงกว่าที่ควรจะเป็น รอบนี้เลยพยามหารถที่ดูราคาถูกแบบสมเหตุสมผม และต้องสามารถคืนที่เมลเบิร์นได้ โดยไม่ถูกชาร์จเพิ่ม (ปกติ หลายๆเจ้ามักจะชาร์จเพิ่มหากเป็นการเดินทางแบบ one way ครับ) บังเอิญเจ้านี้ราคาไม่เลวร้ายแหะ พอเช่าๆหลายๆวัน ก็น่าจะได้รับส่วนลดอีกนิดหน่อย เป็นโปรโมชั่นนะครับ ผมจัดการ จองรถเรียบร้อย รับรถในตัวเมืองซิดนีย์และคืนรถที่สนามบินเมลเบิร์น
ด้วยแพลนกระชั้นชิดมาก คือผมแทบจะไม่ได้หาข้อมูลไรมากเท่าไรเรื่องสถานที่เที่ยว ทำให้ผมเปลี่ยนแพลนตลอด แอบสงสารเอเจนท์เหมือนกัน ด้วยความเยอะของผม ผมมัวแต่คิดอยู่ว่า ผมควรจะคืนรถก่อนวันกลับดี แล้วเดินเที่ยวในเมืองเมลเบิร์น หรือว่า คืนทีเดียววันกลับจะได้ไม่ต้องเสียค่ารถไฟไปสนามบินดี ผมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โทรไปม้งเม้ง ฉ้งเฉ้ง กับ call center หลายรอบมาก ตอนแรกว่าจะคืนก่อนในเมืองเมลเบิร์น คุยไปคุยมา ถ้าคืนก่อนราคาก็ไม่เปลี่ยน แถมจะเพิ่มอีกตั้งหากเพราะใกล้วันรับรถหละ จนสุดท้าย ก็ตกลงว่า โอเช ไม่คืนก็ด้ายยยยฮะ ผมยอม ไม่อยากเสียตังค์เพิ่ม ค่อยว่ากันอีกทีวันนั้นหละกัน เค้า งก งะ เอิกกกก
สรุปเสร็จก็เก็บข้าวเก็บของ เสื้อผ้าอาภรณ์เตรียมตัว ก่อนจะเดินไปรับรถ ตื่นเต้นมากกกกก แบบไม่เคยตื่นเต้นแบบนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมเที่ยวคนเดียวตลอด ชิลอยู่คนเดียว มีความสุขคนเดียว แต่รอบนี้แป่งๆ บอกไม่เถือก? ผมก็เดินไปรับรถตามทีนัดไว้เรียบร้อย (ตัวเมืองซิดนีย์ไม่ได้ใหญ่มากครับ ส่วนใหญ่ผมจะเดิน หรือไม่ก็วิ่งเพื่อออกกำลังกายเป็นหลัก แถมอากาศดีเว่อร์) จริงๆ แอบเดินไป survey รอบนึงตอนที่จะขอเปลี่ยนวัน/สถานที่คืนรถวันก่อน มารอบนึงแล้วฮะ เลยรู้หละว่าร้านมันอยู่ตรงไหน พี่นี้เลย ค่อยๆ คืบไป พี่ไม่รีบ... รับรถเสร็จ ตามที่ดีลไว้ คือ 15.30 อึ้งหละซิทีนี้ ขับรถในตัวเมืองที่ออสเตรเลีย ผมนี้ไม่คุ้นเลยอ่ะ อึนๆ เพราะทุกอย่างต้องเปะ
ความเร็วกำหนด 40-60 กม/ ชม ต้องคอยดูข้างทาง เข็มขัดต้องคาดทุกคนถึงแม้จะนั่งเบาะหลัง (กรณีไปกันเต็มรถ ผมติดมาจนถึงทุกวันนี้ แบบ อัตโนมัติเบย เวลานั่งรถในไทย เพื่อนมันจะถามว่าเมิงเป็นไรมากป่าวว่ะ.....เออกูลืม?) เรื่องเปลี่ยนเลนรถยนต์เส้นจราจรบนถนน จะทำให้คุณเสียตังค์ได้เสมอ เพราะ ที่นี้มีกล้องถี่ยิบ แถมส่งตรงอย่างรวดเร็วถึงบ้านคุณด้วยนะดิคับ อาจจะต่างกะไทยตรงที่คนขับรถเค้าจะมีความรับผิดชอบต่อการใช้ถนนมาก ทางม้าลายก็จะต้องชะลอ ไม่ก็หยุดให้ข้ามก่อนอย่างจริงจัง ความปลอดภัยในชีวิตสูงฝุดๆ แต่ก็ไม่วายที่จะโดนบีบแตรไล่แบบ กทม นะครับ ผมจะไม่ค่อยชอบการขับในเมืองสักเท่าไร ระแวงมากกกก ฮ่าๆ
กว่าผมจะหลุดออกมาจากตัวเมืองได้ เกือบสองชม. ไม่ใช่รถติดอะไรหรอกนะครับ ผมหลงทางตั้งแต่จุดสตาร์ท...เยี่ยมจริงๆ ก็แยกมันเย๊อะ.. แถม one way ก็แยะ ที่จอดก็น้อย เสียตังค์อีกตั้งหาก ผมขับวนผ่านยู่ตรงที่พักผม เพื่อเอากระเป๋ากะข้าวของอยู่ประมาณห้ารอบ กว่าจะได้สติ เอาของขึ้นรถ แถมต้องรีบวิ่งเก็บของเพราะกลัวมี ranger (คนตรวจว่าจอดรถเกินเวลาไหม จ่ายตังค่าจอดหรือป่าว) จะมาเขียน ticker ให้ มันจะกลายเป็นว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากหมดตัวได้ (แต่เค้าจอดแค่ไม่กี่วินาทีเองนะ เสียดายค่าจอด แฮ่ๆ ผมเลยรีบวิ่งขึ้นวิ่งลง รีบแพคของเข้ารถก่อนหละกัน ยัดๆไว้ แล้วก็รีบขับออก วนไปวนมา กว่าจะได้ออกนอกเมืองก็เกือบจะหกโมงหละฮ่า บรึย.... มั่วแต่เพลิน ลืมไปว่าเค้าจำกัดความเร็วบวกกับว่าเป็นเวลาเลิกงานฮะ
โอ้ มาย ก๊อด...... พระเจ้าช่วยกล้วยไข่ รถติดมากกกก กว่าจะผ่านสนามบินกว่าจะออกเส้นหลัก ยิ่งรนเข้าไปใหญ่ เพราะผมไม่ค่อยชินกับการขับรถตอนกลางคืนที่ออสอะครับ ทางหลวงเค้าไม่มีไฟเหมือนบ้านพี่ไทยนะฮะ มีแต่เส้นกลางถนน มืดๆ พี่นี่กลัวจิงโจ้เป็นเอามาก...............บรึ้ย (ไม่ได้กลัวมันมาหลอก แต่กลัวมันเข้ามาหาถึงรถมาก ณ จุดนี้)
แท่นแท๊นนน......
และแล้วผมก็หลุดออกมาจากตัวเมืองซิดนียซะที ผม ขับรถลงมาเรื่อยๆ ทางใต้ตั้งใจว่าจะไปแวะดูเค้าเล่นเครื่องร่อน ตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก (จริงๆ ผมว่ามันหายากมากนะ ที่จะเห็นเค้าเล่นเครื่องร่อนในชีวิตนี้ แต่ถามว่าเล่นไหม....ไม่ดีกว่า ผมก็กลัวตายเหมือนกัน) ระหว่างทาง ก็ดูแมกไม้ ชิลๆ อากาศเย็นๆ เห็นนกบ้าง กระรอกบ้าง แต่ขอไม่เห็นจิงโจ้ข้างทางเป็นดีที่สุด กลัวพี่แกจะกระโดดมาจุ๊บ รถอันเป็นที่รักของผม (อันนี้เป็นสิ่งที่ผมลุ้นสุดตลอดทริปเลย บอกตง เพราะถ้ามันดันชนผมขึ้นมา ผมจะต้องจ่ายค่าซ่อมเพิ่มแน่นอน ประกันไม่น่าจะครอบคลุมได้ครบ 555)
และในที่สุดผมก็ถึงจุดแรกตามที่แพลนคร้าบ กริ้วววว....
Bald hills, Standwell การขับผ่านแมกไม้นานาพันธุ์ในอุทยานแห่งชาติ royal national park เนินพะทุ่งนี้ เห็นวิว ภูเขาสวยๆ ลมดีๆ อืมเหมาะกับการนั่งดื่มเบียร์เย็นๆ มาก แต่ไหนหละเครื่องร่อน บรึ๋ย....วันนี้มันช่างหนาวยะเยือกเหอะ ลมแรงเหมือนฝนจะตกขนาดนี้ ใครเค้าจะมาเล่น แถมพี่นี้ก็เสล่อมาก มาเอาตอนหกโมงกว่าเกือบทุ่มนึงงี้??? ซวยเลยตรู อดดูไป อะเครหละ มองโลกในทางที่ดี ก็ถือว่าแวะผ่านมาเข้าห้องน้ำ นั่งดูวิวสวยๆ อากาศดีๆ ก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า....ตึ่งงง!! นั่งคิดในใจ จริงๆ ณ เวลานี้ผมควรจะไปได้ไกลกว่านี้หละนะ...
OMG!! อีกเป็นร้อยกิโลถึงจะเป็นตาม แพลน แล้วข้าวเย็นผมหละ ผมก็ยังไม่ได้กิน แถมแถวนั้นเป็นอุทยานแห่งชาติ เรื่องร้านอาหาร ปิดหมด
[CR] ขับรถเที่ยวอย่างมันส์ กับ 7 วัน จาก Sydney ถึง Melbourne
ทริปนี้เป็นการเดินทางที่ทั้ง โหด ทั้งทรหด ก็นะ แบคแพค มันส์ๆ นี้หน่า ไปธรรมดาเหมือนคนอื่นๆก็คงหมดสนุกเป็นแน่ ว่ามะ ส่วนตัว ผมชอบอะไรไม่เหมือนใคร ไม่ชอบตามใคร อยากลองอะไร อยากแวะตรงไหน จัดไปโลด...
“ผมเคยเกิดคำถามว่า ทำไมไอ้พวกฝรั่งมันไม่ทำงานทำการกันหรอว่ะ วันๆ ก็นั่งกินกาแฟ ชิลๆ วิ่งจ๊อคกิ้ง ออกกำลังการทั้งวัน ทำไมผมต้องมานั้นทำงานอันแสนยาวนานตลอดทั้งวันทั้งคืนยังงี้เนี่ย มันไม่แฟร์กับผมเลยสักนิด ผมไม่ชอบชีวิตแบบที่ผมเป็นเลยให้ตายเหอะโรบิน.......”
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ผมตัดสินใจทิ้งการงานอันแสนมั่นคง(มั้ง) กับเงินเดือนดีๆ ไว้เบื้องหลัง พร้อมกับโบกมือ บ๊ายบาย ประเทศไทย ด้วยการตัดสินใจว่า ชีวิตผมต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้
และผมก็ตัดสินใจ เดินทางไป ออสเตรเลียยยยย ดินแดนในฝัน ตั้งแต่วัยเด็ก ผมเคยคิด และฝันว่า วันนึงผมจะไปเยียบแผ่นดินที่นั้น และสัมผัสกับจิงโจ้น้อยผู้น่ารัก......จากนั้นก็จะบินไปดำน้ำที่ great barrier reef แล้วก็จะขับรถชมธรรมชาติข้างทางที่ great ocean road แหม แค่คิดหัวใจผมก็พองโตซะหละ (เอิ่ม ดูเว่อร์ไปนิดนึงอะฮะ 555) หืมมม
ลองเข้าไปแชร์ไอเดียกันได้นะครับ https://www.facebook.com/Backpackaroundme
ผมเริ่มต้นด้วยการมองหาลู่ทาง โอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิตที่ขาดชีวิตชีวา ดูเหมือนกับว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาชีวิตผมเหมือนจะติดกับดักของชีวิตการงานมาเกินไป ถึงผมจะเต็มที่และสนุกกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การที่ผมใช้ชีวิตด้วยการทำงานไป 10 ชม ต่อวัน มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นเลย เงินก็เท่าเดิมอีกเหอะ.....เศร้า
ผมวางแผนหลบหนีที่จะกระโจนสู่ความโหยหานั้นทันที และแล้วโชคชะตาก็วิ่งชนผมอย่างจัง ผมเจอช่องทางหลบหนีหละ วู้ววว... (หน้าบานปลื้มปลิ่ม) ผมได้วีซ่ายาว 1 ปี และชีวิตแห่งความมันส์กำลังบังเกิดขึ้น กับโผมมที่ประเทศซิดนีย์ เอ้ย ประเทศออสเตรเลีย ผมจะได้ไปผจญภัยในต่างประเทศอีกครั้งแล้วเหรอนี้ ยิปปี้!!! นั้นแหละ จุด peak ของชีวิตเลย มันช่างเป็นประสบการณ์สุด cool ที่ผมตั้งใจเอาไว้ ก่อนบินมาผมตั้งใจว่า ผมจะ เที่ยว (ดูเป็นหัวใจหลักเลยแหะ ทั้งๆที่คนอื่นๆ เค้าอยากจะมาเก็บเงิน) ผมอยากจะมีเงินเก็บได้สักก้อนนึงไม่ต้องเยอะมากหรอก จากวิธีการเป็นกระเหรี่ยง ก็นะ ไม่มีเงินแล้วผมจะเดินทางท่องโลกนี้ได้ไง ว่ามะ
ทุกอย่างล้วนใช้เงินในการดำรงชีวิตนิหน่า ขอให้ได้ฝึกภาษาอีกสักหน่อยหละกัน ก่อนหน้านี้ก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดกับภาษาอังกฤษ ถึงแม่ว่าจะค่อนข้างหน้าหนาก็เหอะ มันชั่งตื่นเต้นตัลลอดเวลาที่ได้คุยจริงๆ ฟังรู้เรื่องมั้งไม่รู้เรื่องมั้ง เกือบจะเอาตัวไม่รอดประจำ คุยกันมันจะด่าตรูไหมเนี่ย อีกเรื่องผมอยากให้สุขภาพดีขึ้น ยอมรับตามตรงว่า ทำงานเนี่ย ไม่ได้ออกกำลังกายเบยยเหอะ แถมมักจะโทษฟ้า โทษฝน โทษลม โทษแดด แถมอากาศกรุงเทพก็เป็นใจให้หมกตัวอยู่แต่ในออฟฟิต แอร์เย็นๆ ยังกะขั้วโลก ผมเลยไม่ค่อยอยากออกไปเจอแสงตะวันสักเท่าไร คือขี้เกียจงะครับ (สารรูป เอ้ย สารภาพตรงๆ)
และสุดท้ายผมก็ยังอยากได้ connection อืมม จริงๆ แค่ผมออกเดินทาง เปิดใจที่จะอ้าปากคุยกับคนข้างทาง ก็ไม่น่าใช่เรื่องยากใช่ มะหละ แลดูจะอยากได้เยอะซะเหลือเกิน แต่ไหนๆ ก็มาเหยียบแผ่นดินนี้แล้วแล้วอย่าให้เสียชาติเกิด เอิกกก ผมแค่ถือมองว่า “ทำทุกอย่างให้เต็มที่ วันนึงหากผมมองกลับมา ผมจะได้ไม่รู้สึกเสียดาย+ได้ลองก็ยังดีกว่าไม่ได้ลงมือทำ+ประสบการณ์สำคัญกว่าทฤษฎี+ต้องสู้ต้องสู้ถึงจะชนะ (ยกมาคติชาวบ้านเค้ามาหมดทั้งตำราอะ 555)” คือผมมักเห็นเพื่อนผมหลายๆ คน บ่นกันตลอดๆ ว่า สายไปหละมั้ง ไม่ก็ เสียดายที่ไม่ได้ทำตั้งแต่วันนั้นมั้ง ไม่มีโอกาสมั้ง ซึ่งจริงๆ ซึ่งก็ได้ยินความคิดทำนองนี้มาเนิ่นนานแล้วหละฮะ ดูเหมือนจะมีแต่ความคิดด้านลบเนอะ ว่ามะ และอีกอย่างเพราะผมมองว่า เวลาในชีวิตผมมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนผมลืมไปเลยว่า จะหมดวัยมันส์แล้วนะฮ้าบบ ฮ่าๆ ว่าแล้วก็จัดไปปป ฟิ้ววว กริ้วกร้าว เก็บกระเป๋า เก็บข้าวเก็บของ go! go!
ปล. กิ้วววว...... คำพูด อาจจะดูดิบเล็กน้อยถึงปานกลาง กวนทีนบ้างแต่พองาม แต่ถึงไงผมก็ยังเป็นคนดีของสังคมอยู่นะฮะ ฮ่าๆ
ร่ายมนต์มาซะตั้งนาน ยังไม่เข้าเรื่องซะที ฮ่าๆๆ ซอรี่!!!!
ผมเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตตามแบบที่ตั้งใจว่า
ผมเริ่มต้นการเดินทางนี้โดยคาดว่าจะขับรถออกจากตัวเมือง ซิดนีย์ครับ ผมเริ่มวางแผนล่วงหน้ามาเดือนกว่าๆ เพื่อเตรียมจองรถ มองหาสถานที่เที่ยว ข้อมูล อาหาร แต่ละเมืองที่น่าสนใจ โดย ผมพยามยาม ไปตาม visitor ตามที่ท่องเที่ยว เก็บข้อมูลของเมืองต่างๆ บวกกับ ว่าผมสนใจอยากจะแวะเมืองไหน และ ที่สำคัญคือผมอยากตื่นขึ้นมาแบบ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
ผมเลยคิดว่า งั้นเอาแบบ ค่ำไหนนอนนั้นหละกัน โดยการไม่จองโรงแรมครับ ที่สำคัญสุด ทุกอย่างต้องประหยัด โดยผมกะค่าใช่จ่ายคร่าวๆ ว่าทริปนี้ น่าจะประมาณ 600-700 เหรียญ หวังว่าจะไม่เกิน (คิดในใจมันจะทำได้มะว่ะ ตั้ง อาทิตย์นึง เมิงจะงกไปไหนว่ะ ว้ากกกฮ่าๆ แค่คิดก็มันส์หละ ผมจะเอาตัวรอดยังไง ทั้งๆที่ไม่เคยไปด้วยซ้ำ รู้แค่ว่า ซิดนีย์อยู่ทางเหนือของเมลเบิร์น แค่นั้น....) ดูชีวิต บัดซบ ทรหด และบึกบึน ฝุดๆ นี้ตรูมาเที่ยวหรือว่ามาออกค่ายกันแน่... พอคำนวณรายจ่ายทั้งหมด ทำให้ทริปนี้ รายจ่ายหลักๆอยู่ที่ค่ารถ กับค่าน้ำมันเป็นหลักหละงานนี้
เริ่มต้นชีวิตอันสวยงามด้วยการหาเอเจนเช่ารถเลยครับ ผมเลือกที่จะเช่ารถจากในเมืองซิดนีย์เพราะผมพักอยู่แถวนั้น แล้วก็มองว่าถ้าออกไปรับรถแถวสนามบิน ผมต้องเสียค่านั่งรถไฟไปอีกหลายบาท เลยเลือกในตัวเมืองนี้แหละว่ะ แพงนิดนึงแต่คำนวณแล้วก็ไม่ต่างกันกับไปรับรถที่สนามบิน นั่งหาข้อมูลอยู่นานมากประมาณ 2-3 อาทิตย์ เพราะในใจภาวนาตลอดว่าขอให้มีโปรโมชั่นเถอะน่า
แต่ช่วงระหว่างที่หาผมก็มีจองไปเรียบร้อยนะครับ แต่ว่าเช่ารถที่นี้สามารถขอยกเลิกได้ก่อนเดินทาง 3 วันโดยไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เอเจนที่ให้เช่ารถมีหลากหลายมาก แต่คำภาวนาไม่สัมฤทธิ์ผล ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมเช่ารถในซิดนีย์เพื่อเดินทางออกนอกเมือง รอบแรกแอบเสียความรู้สึกนิดหน่อยด้วย condition แอบแฟงของเอเจนเช่ารถ ทำให้ผมจ่ายแพงกว่าที่ควรจะเป็น รอบนี้เลยพยามหารถที่ดูราคาถูกแบบสมเหตุสมผม และต้องสามารถคืนที่เมลเบิร์นได้ โดยไม่ถูกชาร์จเพิ่ม (ปกติ หลายๆเจ้ามักจะชาร์จเพิ่มหากเป็นการเดินทางแบบ one way ครับ) บังเอิญเจ้านี้ราคาไม่เลวร้ายแหะ พอเช่าๆหลายๆวัน ก็น่าจะได้รับส่วนลดอีกนิดหน่อย เป็นโปรโมชั่นนะครับ ผมจัดการ จองรถเรียบร้อย รับรถในตัวเมืองซิดนีย์และคืนรถที่สนามบินเมลเบิร์น
ด้วยแพลนกระชั้นชิดมาก คือผมแทบจะไม่ได้หาข้อมูลไรมากเท่าไรเรื่องสถานที่เที่ยว ทำให้ผมเปลี่ยนแพลนตลอด แอบสงสารเอเจนท์เหมือนกัน ด้วยความเยอะของผม ผมมัวแต่คิดอยู่ว่า ผมควรจะคืนรถก่อนวันกลับดี แล้วเดินเที่ยวในเมืองเมลเบิร์น หรือว่า คืนทีเดียววันกลับจะได้ไม่ต้องเสียค่ารถไฟไปสนามบินดี ผมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โทรไปม้งเม้ง ฉ้งเฉ้ง กับ call center หลายรอบมาก ตอนแรกว่าจะคืนก่อนในเมืองเมลเบิร์น คุยไปคุยมา ถ้าคืนก่อนราคาก็ไม่เปลี่ยน แถมจะเพิ่มอีกตั้งหากเพราะใกล้วันรับรถหละ จนสุดท้าย ก็ตกลงว่า โอเช ไม่คืนก็ด้ายยยยฮะ ผมยอม ไม่อยากเสียตังค์เพิ่ม ค่อยว่ากันอีกทีวันนั้นหละกัน เค้า งก งะ เอิกกกก
สรุปเสร็จก็เก็บข้าวเก็บของ เสื้อผ้าอาภรณ์เตรียมตัว ก่อนจะเดินไปรับรถ ตื่นเต้นมากกกกก แบบไม่เคยตื่นเต้นแบบนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมเที่ยวคนเดียวตลอด ชิลอยู่คนเดียว มีความสุขคนเดียว แต่รอบนี้แป่งๆ บอกไม่เถือก? ผมก็เดินไปรับรถตามทีนัดไว้เรียบร้อย (ตัวเมืองซิดนีย์ไม่ได้ใหญ่มากครับ ส่วนใหญ่ผมจะเดิน หรือไม่ก็วิ่งเพื่อออกกำลังกายเป็นหลัก แถมอากาศดีเว่อร์) จริงๆ แอบเดินไป survey รอบนึงตอนที่จะขอเปลี่ยนวัน/สถานที่คืนรถวันก่อน มารอบนึงแล้วฮะ เลยรู้หละว่าร้านมันอยู่ตรงไหน พี่นี้เลย ค่อยๆ คืบไป พี่ไม่รีบ... รับรถเสร็จ ตามที่ดีลไว้ คือ 15.30 อึ้งหละซิทีนี้ ขับรถในตัวเมืองที่ออสเตรเลีย ผมนี้ไม่คุ้นเลยอ่ะ อึนๆ เพราะทุกอย่างต้องเปะ
ความเร็วกำหนด 40-60 กม/ ชม ต้องคอยดูข้างทาง เข็มขัดต้องคาดทุกคนถึงแม้จะนั่งเบาะหลัง (กรณีไปกันเต็มรถ ผมติดมาจนถึงทุกวันนี้ แบบ อัตโนมัติเบย เวลานั่งรถในไทย เพื่อนมันจะถามว่าเมิงเป็นไรมากป่าวว่ะ.....เออกูลืม?) เรื่องเปลี่ยนเลนรถยนต์เส้นจราจรบนถนน จะทำให้คุณเสียตังค์ได้เสมอ เพราะ ที่นี้มีกล้องถี่ยิบ แถมส่งตรงอย่างรวดเร็วถึงบ้านคุณด้วยนะดิคับ อาจจะต่างกะไทยตรงที่คนขับรถเค้าจะมีความรับผิดชอบต่อการใช้ถนนมาก ทางม้าลายก็จะต้องชะลอ ไม่ก็หยุดให้ข้ามก่อนอย่างจริงจัง ความปลอดภัยในชีวิตสูงฝุดๆ แต่ก็ไม่วายที่จะโดนบีบแตรไล่แบบ กทม นะครับ ผมจะไม่ค่อยชอบการขับในเมืองสักเท่าไร ระแวงมากกกก ฮ่าๆ
กว่าผมจะหลุดออกมาจากตัวเมืองได้ เกือบสองชม. ไม่ใช่รถติดอะไรหรอกนะครับ ผมหลงทางตั้งแต่จุดสตาร์ท...เยี่ยมจริงๆ ก็แยกมันเย๊อะ.. แถม one way ก็แยะ ที่จอดก็น้อย เสียตังค์อีกตั้งหาก ผมขับวนผ่านยู่ตรงที่พักผม เพื่อเอากระเป๋ากะข้าวของอยู่ประมาณห้ารอบ กว่าจะได้สติ เอาของขึ้นรถ แถมต้องรีบวิ่งเก็บของเพราะกลัวมี ranger (คนตรวจว่าจอดรถเกินเวลาไหม จ่ายตังค่าจอดหรือป่าว) จะมาเขียน ticker ให้ มันจะกลายเป็นว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากหมดตัวได้ (แต่เค้าจอดแค่ไม่กี่วินาทีเองนะ เสียดายค่าจอด แฮ่ๆ ผมเลยรีบวิ่งขึ้นวิ่งลง รีบแพคของเข้ารถก่อนหละกัน ยัดๆไว้ แล้วก็รีบขับออก วนไปวนมา กว่าจะได้ออกนอกเมืองก็เกือบจะหกโมงหละฮ่า บรึย.... มั่วแต่เพลิน ลืมไปว่าเค้าจำกัดความเร็วบวกกับว่าเป็นเวลาเลิกงานฮะ
โอ้ มาย ก๊อด...... พระเจ้าช่วยกล้วยไข่ รถติดมากกกก กว่าจะผ่านสนามบินกว่าจะออกเส้นหลัก ยิ่งรนเข้าไปใหญ่ เพราะผมไม่ค่อยชินกับการขับรถตอนกลางคืนที่ออสอะครับ ทางหลวงเค้าไม่มีไฟเหมือนบ้านพี่ไทยนะฮะ มีแต่เส้นกลางถนน มืดๆ พี่นี่กลัวจิงโจ้เป็นเอามาก...............บรึ้ย (ไม่ได้กลัวมันมาหลอก แต่กลัวมันเข้ามาหาถึงรถมาก ณ จุดนี้)
แท่นแท๊นนน......
และแล้วผมก็หลุดออกมาจากตัวเมืองซิดนียซะที ผม ขับรถลงมาเรื่อยๆ ทางใต้ตั้งใจว่าจะไปแวะดูเค้าเล่นเครื่องร่อน ตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก (จริงๆ ผมว่ามันหายากมากนะ ที่จะเห็นเค้าเล่นเครื่องร่อนในชีวิตนี้ แต่ถามว่าเล่นไหม....ไม่ดีกว่า ผมก็กลัวตายเหมือนกัน) ระหว่างทาง ก็ดูแมกไม้ ชิลๆ อากาศเย็นๆ เห็นนกบ้าง กระรอกบ้าง แต่ขอไม่เห็นจิงโจ้ข้างทางเป็นดีที่สุด กลัวพี่แกจะกระโดดมาจุ๊บ รถอันเป็นที่รักของผม (อันนี้เป็นสิ่งที่ผมลุ้นสุดตลอดทริปเลย บอกตง เพราะถ้ามันดันชนผมขึ้นมา ผมจะต้องจ่ายค่าซ่อมเพิ่มแน่นอน ประกันไม่น่าจะครอบคลุมได้ครบ 555)
และในที่สุดผมก็ถึงจุดแรกตามที่แพลนคร้าบ กริ้วววว....
Bald hills, Standwell การขับผ่านแมกไม้นานาพันธุ์ในอุทยานแห่งชาติ royal national park เนินพะทุ่งนี้ เห็นวิว ภูเขาสวยๆ ลมดีๆ อืมเหมาะกับการนั่งดื่มเบียร์เย็นๆ มาก แต่ไหนหละเครื่องร่อน บรึ๋ย....วันนี้มันช่างหนาวยะเยือกเหอะ ลมแรงเหมือนฝนจะตกขนาดนี้ ใครเค้าจะมาเล่น แถมพี่นี้ก็เสล่อมาก มาเอาตอนหกโมงกว่าเกือบทุ่มนึงงี้??? ซวยเลยตรู อดดูไป อะเครหละ มองโลกในทางที่ดี ก็ถือว่าแวะผ่านมาเข้าห้องน้ำ นั่งดูวิวสวยๆ อากาศดีๆ ก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า....ตึ่งงง!! นั่งคิดในใจ จริงๆ ณ เวลานี้ผมควรจะไปได้ไกลกว่านี้หละนะ... OMG!! อีกเป็นร้อยกิโลถึงจะเป็นตาม แพลน แล้วข้าวเย็นผมหละ ผมก็ยังไม่ได้กิน แถมแถวนั้นเป็นอุทยานแห่งชาติ เรื่องร้านอาหาร ปิดหมด