น้ำหอมอยู่บนตัวแต่ละคนอาจให้กลิ่น ความคงทน และการกระจายกลิ่นที่ต่างกันออกไปครับ
การเลือกน้ำหอมมาเป็นกลิ่นประจำตัว มันก็คล้ายกับการเลือกคู่เหมือนกันนะ คือเลือกจากกลิ่นที่เราชอบ และกลิ่นที่ชอบเรา
ประเด็นหลังอาจฟังดูแปลกๆ แต่เป็นเรื่องจริงนะ บางกลิ่นเข้ากับผิวบางคนได้ดี๊ดี อย่างหนุ่มบิ๊กไบค์คนนั้น คงเจอน้ำหอมกลิ่นที่เข้ากับผิว เหงื่ออกซกก็ยังส่งกลิ่นหอม
แต่กลิ่นเดียวกันไปอยู่กับผิวอีกคนอาจไม่หอมเท่าบนผิวคนแรกก็ได้ สำนวนฝั่งคงต้องใช้คำว่า "เคมี" ไม่เข้ากัน
ดังนั้นควรลองน้ำหอมกับผิวของเราก่อนครับ อย่าเลือกจากได้กลิ่นคนอื่นแล้วว่าหอม เพราะกลิ่นนั้นอาจไม่เข้ากับผิวเราก็ได้

ถ้าจะให้แนะนำ Cool Water กับ Versace pour Homme ที่คคห.ข้างบนว่ามาก็หอมดีครับ จริงๆทั้งสองกลิ่นมีกลิ่นเปิดคล้ายกัน
โดยจะเปิดด้วยกลิ่นโทนสดชื่น แต่ Cool Water จะเปลี่ยนเป็นหวานและแน่นขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ Vercase จะยังคงโทนสดชื่นโดยตลอด

แต่ส่วนตัวแล้วเชียร์ตระกูล Terre d' Hermes ของ Hermes มากกว่า เพราะเป็นน้ำหอมกลิ่นที่เข้ากับเหงื่อและความร้อนทั้งในอากาศและในร่างกายเราได้ดีมาก
ยิ่งออกกำลังกาย ยิ่งได้รับความร้อนจากผิว Terre จะยิ่งกระจายกลิ่นดี แถมกลิ่นไม่เพี้ยน ผสมเหงื่อแล้วไม่เหม็นเปรี้ยว
น้ำหอมตัวนี้ถ้าใส่อยู่ห้องแอร์ แรกๆกลิ่นจะตีขึ้นดี แต่สักพักจะเงียบลงจนเหมือนจางไปหมดแล้ว ต้องดมใกล้ผิวจึงได้กลิ่นจางๆ แต่พอขยับตัวกลิ่นก็กระจายขึ้นมาเป็นวูบๆ

Terre d' Hermes ตอนนี้มี 3 แบบ คือ pure perfume, edt, eau tres fraiche
Pure Perfume กับ EDT เหมือนกันตรงเปิดด้วยโทนสดชื่น ส้มผสมมะนาว แต่ Perfume กลิ่นส้มจะเด่นกว่า ส่วน EDT กลิ่นมะนาวจะเด่นกว่าส้ม
ข้อแตกต่างอีกอย่างของ 2 รุ่นนี้คือ EDT จะมีกลิ่นพริกไทยเพิ่มมิติ ขณะที่ Perfume จะคงโทนนุ่มๆหรูหราไปตลอด
ส่วนน้องใหม่ที่เพิ่งออกมาล่าสุด Eau Tres Fraiche (ออกตัวก่อนว่าผมยังไม่เคยใช้เต็มๆ) กลิ่นจะสดชื่นขึ้น ใสขึ้น
2 กลิ่นดั้งเดิมก็ว่าเหมาะกับอากาศบ้านเราแล้ว ตัวใหม่นี่ยิ่งเหมาะกับอากาศร้อนระอุข้างนอกแน่นอน

ข้อดีของตระกูล Terre อีกอย่างนอกจากเหมาะกับอากาศร้อน เหงื่อ และกิจกรรมเอาท์ดอร์ คือ ด้วยความออกทางหรูหรา จะใส่ไปงานเลี้ยง ประชุม ออกเดต(ตอนกลางวัน)ได้ด้วย
เรียกว่าเป็นน้ำหอมสารพัดประโยชน์ ใส่ได้แทบทุกโอกาศอีกกลิ่นนึงครับ แต่อย่าลืมที่บอกไปแต่ตอนต้น คือควรลองกับผิวตัวเองก่อนว่ามันเข้ากันมากน้อยขนาดไหน