Furious 7 (2015)
กำกับโดย James Wan (Saw, The Conjuring)
6.5/10
ในแง่หนึ่ง การพัฒนาของหนังแฟรนไชส์นี้นับว่าน่าทึ่งมาก ที่มันมาถึงจุดหนึ่งแล้วเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆให้ความน่าสนใจยังคงอยู่ จากโลกใต้ดินของการแข่งรถ สู่หนังจารกรรม ที่ท้าทายกฏบนโลกแห่งความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองต่อแฟรนไชส์นี้ก็คือ ชอบภาคหนึ่งที่ใส่ความจริงใจในประเด็นครอบครัวคู่กับการแข่งและสืบสวนของพระเอก ไม่ชอบความเอะอะและไม่สนุกของภาคสองมากๆจนเลิกดูภาคต่อมา จนพอภาคห้าใกล้ฉายแล้วกระแสเริ่มดี พร้อมได้ยินว่าภาคสามมาทีหลังในไทม์ไลน์ ผมถึงมาเริ่มที่ภาคสี่ต่อ แล้วเซอไพรส์มากทีเดียว ที่ค้นพบว่าจุดมุ่งหมายของหนังตระกูลนี้เริ่มเปลี่ยน เนื้อเรื่องเริ่มสร้างต่อจากตัวละครและตำนานของตัวเอง มีการใส่อารมณ์มืดๆแห่งความสูญเสียและเสียใจที่ไม่คิดว่าจะได้พบ และความสัมพันธ์ของตัวละครส่งต่อมาจากภาคก่อนได้ชวนติดตามมากขึ้น
และภาคห้านั้น ผมว่าเป็นส่วนผสมระหว่างอารมณ์จริงจังของภาคก่อน และความหลุดโลกของภาคต่อๆมาได้ลงตัวเหลือเกิน เป็นหนังแอ็คชั่นที่สร้างความเว่อและตำนานในโลกของมันเอง และเดินตามโลจิคในโลกนั้นได้อย่างไม่โกง ซึ่งทำให้มันเป็นความเว่อที่สนุกมาก ส่วนภาคหกเริ่มให้น้ำหนักกับเนื้อเรื่องมากขึ้นจนเกิดช่วงยืดระหว่างฉากแอ็คชั่นบ้าง แต่เพิ่มระดับความหลุดโลกให้ตื่นตามากขึ้นไปอีก
จนมาภาคนี้ ที่ทิ้งโลกแห่งมนุษย์ไปโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกินว่ามันบังเอิญมาตอนที่คนคุมเก่าอย่าง Justin Lin ออกไปเตรียมทำ Star Trek พอดี เพราะที่ผ่านๆมาเหมือนความหลุดโลกในหนังถ่ายทำออกมาให้ไต่ระดับอย่างมีขั้นตอนและชั้นเชิง จนคนดูรับได้เวลามันไปถึงขีดสุด ในขณะที่โทนภาคนี้สตาร์ตออกมามันก็ขีดสุดเลย จนอารมณ์ร่วมแอบตามมาช้าและอิงจากของเก่าซะส่วนใหญ๋
James Wan นั้นก็สมกับเป็นผู้กำกับเนี้ยบจาก The Conjuring เพราะฉากแอ็คชั่นระยะประชิดมีความซอกซอนและมุมกล้องแปลกตา (เช่นหมุนตามคนเวลาต่อยกันแล้วล้ม หรือ ฉากตึกสามตึก) รวมถึงเวลาซิ่งในถนนภูเขาแคบๆก็ให้ความรู้สึกใกล้ชิดได้ชวนลุ้นดี (ฉากนั้นกับฉากทะลุตึกเป็นเพียงสองฉากที่สามารถคงระดับความวุ่นวายบันเทิงในแอ็คชั่นจาก Fast Five ได้อยู่หมัดมาก) แต่พอเข้าที่เปิดกว้างมากอย่างตอนสู้ท้ายเรื่องผ่านเมืองทั้งเมือง James Wan กลับไม่สามารถคุมได้อยู่นัก จึงเกิดความชาชินมากขึ้นเมื่อมันระเบิดหรือชนซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยขาดความหลากหลายให้ตื่นตาได้ตลอด ช่วงท้ายทำให้ผมนึกไปถึงฉากสู้ตอนจบของ Man of Steel เหมือนกัน ที่แอ็คชั่นมันเกรดเอมาก แต่ลากยาวไปเรื่อยๆและเรื่อยๆโดยไม่ใส่ความก้าวหน้าของเนื้อเรื่องหรือความหลากหลายมากพอให้คงความสนใจไว้ได้ตลอด
อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะที่หนังออกนอกโลกไปไกลเกินลูกหูลูกตา อารมณ์มนุษย์กลับยังมีอยู่เต็มเปี่ยม หลังผ่านมาแล้ว 5-6 ภาค นักแสดงต่างก็เล่นกับอีกฝ่ายได้เข้าขากันดี จนคำย้ำศักดิ์สิทธิ์ว่าด้วย “ครอบครัว” มีความจริงใจและชวนอินตาม ส่งถึงคนดูได้มากพอเหมือนเหล่าตัวละครรู้สึก ความเป็นครอบครัวทั้งในจอและนอกจอมันรู้สึกชัดตลอดทั้งเรื่อง จนอิมแพ็คของฉากท้ายๆในหนังรุนแรงพอควร เอาเข้าจริง การใส่ดนตรีกับแสงเสิงอะไรเต็มที่มันชวนน้ำเน่าไม่เบา แต่มันก็จริงใจเหลือเกินจนคนที่ดูมาตั้งแต่ภาคแรกนั้นยากที่จะต้านทานได้
มันคือจดหมายรักของทีมงานเพื่อบอกลา Paul Walker (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Vin Diesel) ก่อนดูนั้น ผมแอบกลัวนิดนึงว่าสำหรับแฟรนไชส์ที่ไม่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องความ subtle จะบอกลานักแสดงได้อย่างเคารพพอหรือไม่ หรือจะสร้างปมเนื้อเรื่องที่อาจรุนแรงมาคลี่คลายการจากไปของนักแสดง แต่หนังทำออกมาได้อย่าง sensitive ดีและชวนซาบซึ้งมากในภาพรวม ทำให้นึกไปถึงอีกฉากนึงในหนังที่ดูเผินๆไม่น่ามาเทียบได้อย่าง Before Sunrise
ตอนต้นเรื่องของ Before Sunrise ผกก.ได้แสดงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คนสองคน ด้วยภาพสองรางรถไฟมาเชื่อมบรรจบกัน ณ จุดเริ่มเครดิตเรื่อง ในขณะที่ Furious 7 (ที่ความมองออกชัดว่าไม่ใช่นักแสดงจริงมายืนต่อหน้ากลับเพิ่มความรู้สึกเซอเรียลชวนจุก ให้เหมือนกับมาส่งเพื่อนคนหนึ่งไปต่อ) แสดงภาพปลายทางความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่สามารถไปต่อได้แล้ว (โดยที่ Vin Diesel ในฐานะหัวหน้า เหมือนมาเป็นตัวแทนครอบครัว Fast & Furious ทั้งในฐานะตัวละคร และในฐานะทีมงาน) แต่จำเป็นต้องลาจากเป็นถนนสองสายที่แยกออกกัน พร้อมกับข้อความก่อนเครดิตจบที่ย่อความพิเศษของแฟรนไชส์นี้ ในความเป็นครอบครัวแน่นแฟ้น ท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งการทำลายล้างและเสียงรถยนต์เร่งเครื่อง ได้ดี:
..For Paul..
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่
www.facebook.com/themoviemood ครับ
[CR] [Movie Review] Furious 7 (2015) ...หลุดโลกไปไกล(เกิน) แต่ยังคงไว้ซึ่งครอบครัว
กำกับโดย James Wan (Saw, The Conjuring)
6.5/10
ในแง่หนึ่ง การพัฒนาของหนังแฟรนไชส์นี้นับว่าน่าทึ่งมาก ที่มันมาถึงจุดหนึ่งแล้วเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆให้ความน่าสนใจยังคงอยู่ จากโลกใต้ดินของการแข่งรถ สู่หนังจารกรรม ที่ท้าทายกฏบนโลกแห่งความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองต่อแฟรนไชส์นี้ก็คือ ชอบภาคหนึ่งที่ใส่ความจริงใจในประเด็นครอบครัวคู่กับการแข่งและสืบสวนของพระเอก ไม่ชอบความเอะอะและไม่สนุกของภาคสองมากๆจนเลิกดูภาคต่อมา จนพอภาคห้าใกล้ฉายแล้วกระแสเริ่มดี พร้อมได้ยินว่าภาคสามมาทีหลังในไทม์ไลน์ ผมถึงมาเริ่มที่ภาคสี่ต่อ แล้วเซอไพรส์มากทีเดียว ที่ค้นพบว่าจุดมุ่งหมายของหนังตระกูลนี้เริ่มเปลี่ยน เนื้อเรื่องเริ่มสร้างต่อจากตัวละครและตำนานของตัวเอง มีการใส่อารมณ์มืดๆแห่งความสูญเสียและเสียใจที่ไม่คิดว่าจะได้พบ และความสัมพันธ์ของตัวละครส่งต่อมาจากภาคก่อนได้ชวนติดตามมากขึ้น
และภาคห้านั้น ผมว่าเป็นส่วนผสมระหว่างอารมณ์จริงจังของภาคก่อน และความหลุดโลกของภาคต่อๆมาได้ลงตัวเหลือเกิน เป็นหนังแอ็คชั่นที่สร้างความเว่อและตำนานในโลกของมันเอง และเดินตามโลจิคในโลกนั้นได้อย่างไม่โกง ซึ่งทำให้มันเป็นความเว่อที่สนุกมาก ส่วนภาคหกเริ่มให้น้ำหนักกับเนื้อเรื่องมากขึ้นจนเกิดช่วงยืดระหว่างฉากแอ็คชั่นบ้าง แต่เพิ่มระดับความหลุดโลกให้ตื่นตามากขึ้นไปอีก
จนมาภาคนี้ ที่ทิ้งโลกแห่งมนุษย์ไปโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกินว่ามันบังเอิญมาตอนที่คนคุมเก่าอย่าง Justin Lin ออกไปเตรียมทำ Star Trek พอดี เพราะที่ผ่านๆมาเหมือนความหลุดโลกในหนังถ่ายทำออกมาให้ไต่ระดับอย่างมีขั้นตอนและชั้นเชิง จนคนดูรับได้เวลามันไปถึงขีดสุด ในขณะที่โทนภาคนี้สตาร์ตออกมามันก็ขีดสุดเลย จนอารมณ์ร่วมแอบตามมาช้าและอิงจากของเก่าซะส่วนใหญ๋
James Wan นั้นก็สมกับเป็นผู้กำกับเนี้ยบจาก The Conjuring เพราะฉากแอ็คชั่นระยะประชิดมีความซอกซอนและมุมกล้องแปลกตา (เช่นหมุนตามคนเวลาต่อยกันแล้วล้ม หรือ ฉากตึกสามตึก) รวมถึงเวลาซิ่งในถนนภูเขาแคบๆก็ให้ความรู้สึกใกล้ชิดได้ชวนลุ้นดี (ฉากนั้นกับฉากทะลุตึกเป็นเพียงสองฉากที่สามารถคงระดับความวุ่นวายบันเทิงในแอ็คชั่นจาก Fast Five ได้อยู่หมัดมาก) แต่พอเข้าที่เปิดกว้างมากอย่างตอนสู้ท้ายเรื่องผ่านเมืองทั้งเมือง James Wan กลับไม่สามารถคุมได้อยู่นัก จึงเกิดความชาชินมากขึ้นเมื่อมันระเบิดหรือชนซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยขาดความหลากหลายให้ตื่นตาได้ตลอด ช่วงท้ายทำให้ผมนึกไปถึงฉากสู้ตอนจบของ Man of Steel เหมือนกัน ที่แอ็คชั่นมันเกรดเอมาก แต่ลากยาวไปเรื่อยๆและเรื่อยๆโดยไม่ใส่ความก้าวหน้าของเนื้อเรื่องหรือความหลากหลายมากพอให้คงความสนใจไว้ได้ตลอด
อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะที่หนังออกนอกโลกไปไกลเกินลูกหูลูกตา อารมณ์มนุษย์กลับยังมีอยู่เต็มเปี่ยม หลังผ่านมาแล้ว 5-6 ภาค นักแสดงต่างก็เล่นกับอีกฝ่ายได้เข้าขากันดี จนคำย้ำศักดิ์สิทธิ์ว่าด้วย “ครอบครัว” มีความจริงใจและชวนอินตาม ส่งถึงคนดูได้มากพอเหมือนเหล่าตัวละครรู้สึก ความเป็นครอบครัวทั้งในจอและนอกจอมันรู้สึกชัดตลอดทั้งเรื่อง จนอิมแพ็คของฉากท้ายๆในหนังรุนแรงพอควร เอาเข้าจริง การใส่ดนตรีกับแสงเสิงอะไรเต็มที่มันชวนน้ำเน่าไม่เบา แต่มันก็จริงใจเหลือเกินจนคนที่ดูมาตั้งแต่ภาคแรกนั้นยากที่จะต้านทานได้
มันคือจดหมายรักของทีมงานเพื่อบอกลา Paul Walker (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Vin Diesel) ก่อนดูนั้น ผมแอบกลัวนิดนึงว่าสำหรับแฟรนไชส์ที่ไม่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องความ subtle จะบอกลานักแสดงได้อย่างเคารพพอหรือไม่ หรือจะสร้างปมเนื้อเรื่องที่อาจรุนแรงมาคลี่คลายการจากไปของนักแสดง แต่หนังทำออกมาได้อย่าง sensitive ดีและชวนซาบซึ้งมากในภาพรวม ทำให้นึกไปถึงอีกฉากนึงในหนังที่ดูเผินๆไม่น่ามาเทียบได้อย่าง Before Sunrise
ตอนต้นเรื่องของ Before Sunrise ผกก.ได้แสดงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คนสองคน ด้วยภาพสองรางรถไฟมาเชื่อมบรรจบกัน ณ จุดเริ่มเครดิตเรื่อง ในขณะที่ Furious 7 (ที่ความมองออกชัดว่าไม่ใช่นักแสดงจริงมายืนต่อหน้ากลับเพิ่มความรู้สึกเซอเรียลชวนจุก ให้เหมือนกับมาส่งเพื่อนคนหนึ่งไปต่อ) แสดงภาพปลายทางความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่สามารถไปต่อได้แล้ว (โดยที่ Vin Diesel ในฐานะหัวหน้า เหมือนมาเป็นตัวแทนครอบครัว Fast & Furious ทั้งในฐานะตัวละคร และในฐานะทีมงาน) แต่จำเป็นต้องลาจากเป็นถนนสองสายที่แยกออกกัน พร้อมกับข้อความก่อนเครดิตจบที่ย่อความพิเศษของแฟรนไชส์นี้ ในความเป็นครอบครัวแน่นแฟ้น ท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งการทำลายล้างและเสียงรถยนต์เร่งเครื่อง ได้ดี:
..For Paul..
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่ www.facebook.com/themoviemood ครับ