วันนี้ ได้อ่านบทความนึง ที่เพื่อนส่งมา บอกได้เลยว่าซึ้ง และคิดถึงพ่อ แม่มาก ลแงอ่านดูนะคะ
เขาแค้นใจแม่ของเขามาก
เขาคิดว่าแม่เป็นคนแจ้งตำรวจให้มาจับเขา ทำให้เขาต้องติดคุกติดตะราง
เขาอยู่ที่นี่มา4ปีแล้ว
"นี่ก็4 ปีแล้วสินะ ..."
ในตอนนั้น เขาดื่มเหล้าจนเมามาย และทะเลาะวิวาทกับโต๊ะข้างๆจนถึงขั้นลงมือลงไม้
เขาโมโหจนเลือดเข้าตา คว้าขวบเบียร์บนโต๊ะฟาดไปที่ศีรษะของคู่กรณี
เมื่อเห็นคู่กรณีนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทำให้เขาสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง
เขาเขย่าเรียกร่างของคู่กรณีหลายครั้งแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาจึงวิ่งหนีออกมา
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาบอกแม่ว่า เขาฆ่าคนตาย
แม่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว ชามหลุดจากมือกระทบลงที่พื้นดัง “เพล้ง”
หน้าซีดๆของแม่กลับกลายเป็นขาวเผือด
แม่ก้มตัวลงไปเก็บเศษชามที่แตกอยู่กับพื้น หยิบอย่างไร เศษชามก็ไม่ติดมือขึ้นมา
แม่นิ่งไปครู่ใหญ่ จึงเอ่ยบอกเขาว่า
“ไปมอบตัวเถอะลูก”
“ไม่ ผมไม่ยอมมอบตัวเด็ดขาด!”
เขาบอกแม่ว่า คู่กรณีตายแล้ว หากเขามอบตัว เขาก็ถูกยิงเป้าอยู่ดี
“ แม่ ผมไม่อยากตาย ผมยังอยากมีชีวิตอยู่! ”
พูดเสร็จ เขาก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น ตะโกนบอกแม่ว่า
“ไม่นะแม่ ผมไม่ยอมมอบตัวเด็ดขาด!”
เขาบอกแม่ว่า เขากลับมาเก็บเมื้อผ้าและขอเงินแม่เพื่อติดตัวสักเล็กน้อย
เขาจะหนีไปอยู่ที่อื่น ที่ๆไม่มีใครรู้จักเขา
แม่ของเขาส่ายหน้าไปมา ยังคงตักเตือนเขาให้ไปมอบตัว
“ผมฆ่าคนตายนะแม่ โทษของผมก็คือตายสถานเดียว แม่ไม่รู้เหรอ?”
เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
แม่ของเขาไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบมองลูกชาย
“ลูกเอ๋ย แม่จะทำกับข้าวให้เจ้ากิน กินข้าวให้อิ่มก่อนแล้วค่อยไปนะลูก!”
นางพูดแล้วก็เช็ดน้ำตาของตัวเอง
เพราะเกรงว่าใครจะมาพบเข้า แม่ของเขาจึงบอกให้เขาลงไปหลบในหลุมหลบภัยใต้ดิน
จากนั้นก็เอาไม่กระดานแผ่นใหญ่ปิดไว้ และก็ทับด้วยกินก้อนใหญ่อีก2-3ก้อน
จากนั้น แม่ของเขาก็เดินออกจากห้องไปด้วยความวางใจ
ส่วนเขา ก็รู้สึกปลอดภัยเมื่อหลบอยู่ในหลุมนี้ และก็ผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
และแล้วแม่ของเขาก็เรียกเขาตื่นขึ้นมากินข้าว เวลานั้นฟ้ามืดแล้ว
แม่ทำบะหมี่ไข่ดาวให้เขากิน เขาคีบหมี่เข้าปากและซดน้ำซุปอย่างเอร็ดอร่อย
แม่นั่งมองลูกชาย น้ำตาไหลออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาเองก็น้ำตาคลอเบ้า รู้สึกเสียใจที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่ คบค้าสมาคมกับนักเลงหัวไม้
และวันนี้ ก็ทำความผิดอย่างมหัน ถึงขั้นฆ่าคนตาย
“แม่ แม่ไม่ต้องห่วงผม เมื่อเรื่องราวสงบลง ผมจะกลับมาเยี่ยมแม่นะ”
แม่ของเขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ลุกไปเดิมหมี่ให้เขา เพื่อให้เขากินอิ่ม
เมื่อบะหมี่2ชามลงสู่ท้อง เขาก็บอกกับแม่ว่า
“พอแล้วแม่ ผมอิ่มแล้ว”
พูดจบไปหมาดๆ ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่หลายนายพากันวิ่งมาเพื่อจะจับกุมเขา
เขาตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบลุกขึ้นแล้วก็หมุนตัวจะวิ่งออกทางหน้าต่าง
แม่ของเขารีบกอดขาลูกชายไว้แน่น
“มอบตัวเถอะลูก ๆ”
เขาเพิ่งรู้ว่า แม่เป็นคนไปแจ้งตำรวจให้มาจับเขา ตอนที่เขาเผลอหลับไปนั่นเอง
แม่โทรไปบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ขอทำกับข้าวให้เขากินก่อนถูกจับอีกสักหนึ่งมื้อ
ให้เขาได้กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยจับตัวเขาไปขังคุก
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะจับเขาออกไปจากบ้าน เขาจ้องมองแม่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“แม่ยังเป็นแม่ผมอยู่หรือเปล่า? ทำไมแม่ทำกับผมอย่างนี้?
ต่อไปก็ไม่ต้องคิดว่ามีผมเป็นลูก คุณก็ไม่ใช่แม่ผมอีกต่อไป ”
เขารู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ ขาดกันตั้งแต่แม่โทรไปแจ้งตำรวจแล้ว
เมื่อถูกคุมขัง เขาจึงทราบว่าคู่กรณีของเขาไม่ได้ตาย แต่พิการไปเสียแล้ว เขาถูกพิพากษาให้ติดคุก5ปี
ในคุก นักโทษแต่ละคนต่างมีญาติพากันมาเยี่ยม
แม่ของเขาก็มา แต่ทว่า เขาไม่เคยออกไปพบแม่เลยสักครั้งเดียว
เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า เขาเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่ตายไปนานแล้ว เขาอยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว
เจ้าหน้าที่ตักเตือนเขาว่า
“ออกไปพบแม่เถอะ แม่เธอก็แก่ชรามากแล้วนะ แม่เธอร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นเลือดอยู่แล้ว!”
เขาส่ายหัวไปมา ยังคงยืนยันคำเดิม
“เขาไม่ใช่แม่ของผม แม่ของผมตายไปนานแล้ว!”
เจ้าหนี้ที่โมโหมาก จึงตวาดออกไปว่า
“เธอไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของแม่เลยนะ!”
“แล้วเค้าสมควรเป็นแม่ของผมไหม?”
เขาตวาดใส่เจ้าหน้าที่ด้วยเสียงอันดังและดุดันกว่า
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่บอกว่ามีธุระที่จะไหว้วานให้เขาช่วย
พอเขาเดินเข้าห้องเจ้าหน้าที่ไป ก็เจอกับหญิงชราผมขาวใบหน้าอิดโรยเหี่ยวย่นคนหนึ่ง นั่นคือแม่ของเขาเอง
เขารีบหันตัวเดินกลับออกจากห้องเจ้าหน้าที่
“ลูกแม่ แม่ทำทุกอย่าก็เพื่อหวังดีต่อลูกนะ แม่กลัวว่าโทษของเจ้าจะหนักไปกว่านี้
อีกอย่างหนึ่ง หากลูกหนีไปอยู่ที่อื่น แม่จะได้เห็นหน้าลูกอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้!”
เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ความคับแค้นใจในวันที่แม่โทรแจ้งตำรวจให้มาจับเขายังอัดแน่นอยู่ในหัวใจไม่เคยลบหาย
“ลูกแม่ จากนี้ไปจงดูแลตัวเองให้ดี ทำตัวให้เจ้าหน้าที่รักนะลูกนะ แม่จะไม่มารบกวนเจ้าอีก!”
เขายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ไปเลย! ไปสิ! ไปให้พ้น!ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกเลย ไป๊!”
พูดเสร็จ เขาก็วิ่งออกไปจากห้องเจ้าหน้าที่
จากนั้นเป็นต้นมา แม่ของเขาก็ไม่เคยย่างกรายมาหาเขาที่เรือนจำอีกเลย
มีเพียงจดหมายที่ถูกส่งถึงเขาเป็นประจำ 1เดือน3ฉบับ
“ลูกรัก
อากาศเริ่มหนาวแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะ
ลูกรัก อย่าดื่มน้ำเย็นนะ ร่างกายของลูกบอบบาง น้ำเย็นไม่ดีต่อกระเพาะลำไส้ ”
ท้ายฉบับ แม่จะเขียนย้ำเหมือนๆกันทุกครั้งว่า
“ลูกรัก ลูกต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดี แม่จะรอวันลูกกลับบ้านนะลูก ”
ทุกครั้งที่เขาได้อ่านจดหมาย เขามักจะแอบไปร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
แต่ทว่า ทิฐิที่ยังมีอยู่เต็มอก ทำให้เขาไม่ยอมตอบจดหมายของแม่เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
4ปีแล้ว จดหมายประมาณ150ฉบับ ถูกเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เพื่อนนักโทษคนใดมาเห็น ต่างก็พากันชื่นชม
“แม่ของนายนี่สอนลูกได้เก่งจริงๆ นายมีแม่ประเสริฐอย่างนี้ นับเป็นวาสนาจริงๆ”
จดหมายที่แม่ส่งมาให้เขา ทำให้จิตใจของเขาอ่อนโยนลง
มันทำให้กำแพงน้ำแข็งได้เริ่มทลายลงไปทีละน้อยและสลายไปจนหมดสิ้น
บัดนี้ เขาเข้าใจความจนใจและความเจ็บปวดของแม่แล้ว
แม่คนหนึ่ง โทรแจ้งตำรวจมาจับลูกชายของตนด้วยตัวเอง
ทุกค่ำคืน แม่จะเจ็บปวดทรมานสักเพียงใด แม่ผ่านผ่านรู้สึกนี้มาได้อย่างไร?
ภาพที่แม่ยืนร้องไห้พูดกับเขา เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนโทษทัณฑ์ที่ไม่มีวันจบสิ้น
เขาร่ำไห้ เสียใจที่ทำไม่ดีไว้กับมามากมายเหลือเกิน
เขาพยายามปรับปรุงตัว เพื่อให้ได้รับการพิจารณาลดโทษ
หากวันใดที่เขาได้กลับบ้าน เขาจะคุกเข่ากราบเท้าแม่ กอดแม่และบอกกับแม่ว่า
“แม่ครับ ลูกขอโทษ!”
ปีที่สี่ผ่านไปได้ไม่กี่เดือน เขาก็ได้รับการพิจารณาลดโทษ ให้เป็นอิสระได้
เขาเดินออกจากเรือนจำด้วยกระเป๋าสัมภาระเพียงนิดหน่อย
เมื่อย่ำเท้าออกจากเรือนจำ เขายืนนิ่งสูดอากาศข้างนอกเรือนจำอย่างเต็มปอด
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขอบคุณแม่ สิ่งที่แม่เลือกทำในวันนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขาและแม่แล้ว
เขายอมรับกรตัดสินใจของแม่ในวันนั้นแล้ว
เมื่อเขาเดินทางกลับถึงหน้าบ้าน
เขายืนนิ่ง หนาววาบไปถึงขั้วหัวใจ!
ในบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน มีหลุมฝังศพหนึ่งที่มีหญ้าแห้งปกคลุมอยู่ น่าจะถูกฝังมาหลายปีแล้ว
ป้ายชื่อบนหลุมศพนั้นที่ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะมันเป็นชื่อของแม่เขา
เขาจ้องมองดูที่หลุมศพนั้นนานสองนาน
จู่ๆ เขาก็ทรุดคุกเข่าลงไปที่หลุมศพนั้น ตีอกชกตัวอย่างไม่ปราณี
“แม่........ ผมขอโทษ แม่......ผมผิดไปแล้ว ฮื่อๆๆ”
เสียงร้องไห้ของเขา ทำให้น้าสาวที่อยู่บ้านข้างๆเดินออกมาดู
น้าเห็นหลานก็เดินเข้ามากอดไว้ และพากันร้องไห้
น้าของเขาเล่าว่า แม่ของเขาป่วยเป็นวัณโรค
ตอนที่เขาติดคุกใหม่ๆ อาการกำเริบหนักและรุนแรงมาก
เมื่อไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นวัณโรคระยะสุดท้าย
แม่ของเขาจึงอยากไปเยี่ยมเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งนั้น แม่ของเขากลับมาพร้อมกับน้ำตานองหน้า
หลังจากนั้น ก็เริ่มเขียนจดหมายส่งให้เขา รวมทั้งหมด180ฉบับ
ก่อนที่แม่ของเขาจะสิ้นใจ ได้มอบจดหมายที่เหลือนั้นให้กับน้าสาวเป็นคนจัดการส่งให้เขาแทน
น้าสาวเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อนำจดหมายที่ยังไม่ได้ส่งให้เขา
เขารับเอาจดหมายของแม่ไว้ด้วยมือสั่นเทา
เขาคุกเข่าอ่านจดหมายของแม่แต่ละฉบับเหมือนดังว่าแม่กำลังยืนพูดคุยกับเขาอยู่ตรงหน้า
เขาอ่านทุกตัวอักษรไม่ให้ตกหล่น จนมาถึงฉบับสุดท้าย
“ลูกแม่
วันที่เจ้ากลับมา แม่ก็คงจะจากโลกนี้ไปอยู่กับพ่อของเจ้าแล้ว
ตอนนั้น แม่ไม่กล้าบอกความจริงกับลูก เกรงว่าลูกจะเป็นกังวล
วันที่แม่ไปเยี่ยมลูกในวันนั้น แม่หวังเหลือเกินว่าลูกจะหันหลังกลับมาเรียกแม่อีกสักครั้ง แต่แม่ก็ไม่สมหวัง!
ไม่ต้องเสียใจที่แม่จากไป ลูกออกมาได้ก็ดีแล้ว นี่เป็นวาสนาของแม่โดยแท้
แม่ขอให้น้าของลูกฝังแม่ไว้ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็เพราะแม่ไม่อาจมีชีวิตอยู่จนเห็นลูกกลับมาด้วยตนเอง
เมื่อแม่ตายไปแล้ว แม่ก็อยากเห็นลูกกลับมาเป็นคนแรก
จำไว้นะลูก เมื่อลูกกลับมาแล้ว อย่าลืมไปที่หลุมฝังศพของแม่
เรียกแม่สักคำให้แม่ได้ชื่นใจ แม่อยู่ในหลุมนั้นรอฟังคำเรียกนี้จากปากของลูกอยู่.......”
เขาลุกขึ้นยืน มองไปที่หลุมฝังศพของแม่ที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้งเฉา ประหนึ่งผมของแม่ที่ขาวโพลนนั้น
เขาคุกเข่าลงไปที่หน้าหลุมศพนั้นอีกครั้ง
“แม่ ลูกกลับมาแล้ว ต่อไป ลูกจะเป็นคนดี แม่ได้ยินไหมครับ..ฮือๆ....”
อ่านจบแล้ว เรานึกถึงตัวเองเลยค่ะ ที่บ่อยครั้ง ทะเลาะกับแม่ ไม่เข้าใจกัน แต่ยังไงซะ แม่ก้คือแม่ รักและเปนห่วงเสมอถึงแม้ว่าเราจะทำผิด รักแม่เสมอ 😂😂😂 คิดถึงแม่นะคะ
เรื่องราวที่ได้อ่านวันนี้ ทำให้รู้สึก...คิดถึงแม่
เขาแค้นใจแม่ของเขามาก
เขาคิดว่าแม่เป็นคนแจ้งตำรวจให้มาจับเขา ทำให้เขาต้องติดคุกติดตะราง
เขาอยู่ที่นี่มา4ปีแล้ว
"นี่ก็4 ปีแล้วสินะ ..."
ในตอนนั้น เขาดื่มเหล้าจนเมามาย และทะเลาะวิวาทกับโต๊ะข้างๆจนถึงขั้นลงมือลงไม้
เขาโมโหจนเลือดเข้าตา คว้าขวบเบียร์บนโต๊ะฟาดไปที่ศีรษะของคู่กรณี
เมื่อเห็นคู่กรณีนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทำให้เขาสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง
เขาเขย่าเรียกร่างของคู่กรณีหลายครั้งแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาจึงวิ่งหนีออกมา
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาบอกแม่ว่า เขาฆ่าคนตาย
แม่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว ชามหลุดจากมือกระทบลงที่พื้นดัง “เพล้ง”
หน้าซีดๆของแม่กลับกลายเป็นขาวเผือด
แม่ก้มตัวลงไปเก็บเศษชามที่แตกอยู่กับพื้น หยิบอย่างไร เศษชามก็ไม่ติดมือขึ้นมา
แม่นิ่งไปครู่ใหญ่ จึงเอ่ยบอกเขาว่า
“ไปมอบตัวเถอะลูก”
“ไม่ ผมไม่ยอมมอบตัวเด็ดขาด!”
เขาบอกแม่ว่า คู่กรณีตายแล้ว หากเขามอบตัว เขาก็ถูกยิงเป้าอยู่ดี
“ แม่ ผมไม่อยากตาย ผมยังอยากมีชีวิตอยู่! ”
พูดเสร็จ เขาก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น ตะโกนบอกแม่ว่า
“ไม่นะแม่ ผมไม่ยอมมอบตัวเด็ดขาด!”
เขาบอกแม่ว่า เขากลับมาเก็บเมื้อผ้าและขอเงินแม่เพื่อติดตัวสักเล็กน้อย
เขาจะหนีไปอยู่ที่อื่น ที่ๆไม่มีใครรู้จักเขา
แม่ของเขาส่ายหน้าไปมา ยังคงตักเตือนเขาให้ไปมอบตัว
“ผมฆ่าคนตายนะแม่ โทษของผมก็คือตายสถานเดียว แม่ไม่รู้เหรอ?”
เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
แม่ของเขาไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบมองลูกชาย
“ลูกเอ๋ย แม่จะทำกับข้าวให้เจ้ากิน กินข้าวให้อิ่มก่อนแล้วค่อยไปนะลูก!”
นางพูดแล้วก็เช็ดน้ำตาของตัวเอง
เพราะเกรงว่าใครจะมาพบเข้า แม่ของเขาจึงบอกให้เขาลงไปหลบในหลุมหลบภัยใต้ดิน
จากนั้นก็เอาไม่กระดานแผ่นใหญ่ปิดไว้ และก็ทับด้วยกินก้อนใหญ่อีก2-3ก้อน
จากนั้น แม่ของเขาก็เดินออกจากห้องไปด้วยความวางใจ
ส่วนเขา ก็รู้สึกปลอดภัยเมื่อหลบอยู่ในหลุมนี้ และก็ผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
และแล้วแม่ของเขาก็เรียกเขาตื่นขึ้นมากินข้าว เวลานั้นฟ้ามืดแล้ว
แม่ทำบะหมี่ไข่ดาวให้เขากิน เขาคีบหมี่เข้าปากและซดน้ำซุปอย่างเอร็ดอร่อย
แม่นั่งมองลูกชาย น้ำตาไหลออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาเองก็น้ำตาคลอเบ้า รู้สึกเสียใจที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่ คบค้าสมาคมกับนักเลงหัวไม้
และวันนี้ ก็ทำความผิดอย่างมหัน ถึงขั้นฆ่าคนตาย
“แม่ แม่ไม่ต้องห่วงผม เมื่อเรื่องราวสงบลง ผมจะกลับมาเยี่ยมแม่นะ”
แม่ของเขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ลุกไปเดิมหมี่ให้เขา เพื่อให้เขากินอิ่ม
เมื่อบะหมี่2ชามลงสู่ท้อง เขาก็บอกกับแม่ว่า
“พอแล้วแม่ ผมอิ่มแล้ว”
พูดจบไปหมาดๆ ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่หลายนายพากันวิ่งมาเพื่อจะจับกุมเขา
เขาตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบลุกขึ้นแล้วก็หมุนตัวจะวิ่งออกทางหน้าต่าง
แม่ของเขารีบกอดขาลูกชายไว้แน่น
“มอบตัวเถอะลูก ๆ”
เขาเพิ่งรู้ว่า แม่เป็นคนไปแจ้งตำรวจให้มาจับเขา ตอนที่เขาเผลอหลับไปนั่นเอง
แม่โทรไปบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ขอทำกับข้าวให้เขากินก่อนถูกจับอีกสักหนึ่งมื้อ
ให้เขาได้กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยจับตัวเขาไปขังคุก
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะจับเขาออกไปจากบ้าน เขาจ้องมองแม่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“แม่ยังเป็นแม่ผมอยู่หรือเปล่า? ทำไมแม่ทำกับผมอย่างนี้?
ต่อไปก็ไม่ต้องคิดว่ามีผมเป็นลูก คุณก็ไม่ใช่แม่ผมอีกต่อไป ”
เขารู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ ขาดกันตั้งแต่แม่โทรไปแจ้งตำรวจแล้ว
เมื่อถูกคุมขัง เขาจึงทราบว่าคู่กรณีของเขาไม่ได้ตาย แต่พิการไปเสียแล้ว เขาถูกพิพากษาให้ติดคุก5ปี
ในคุก นักโทษแต่ละคนต่างมีญาติพากันมาเยี่ยม
แม่ของเขาก็มา แต่ทว่า เขาไม่เคยออกไปพบแม่เลยสักครั้งเดียว
เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า เขาเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่ตายไปนานแล้ว เขาอยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว
เจ้าหน้าที่ตักเตือนเขาว่า
“ออกไปพบแม่เถอะ แม่เธอก็แก่ชรามากแล้วนะ แม่เธอร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นเลือดอยู่แล้ว!”
เขาส่ายหัวไปมา ยังคงยืนยันคำเดิม
“เขาไม่ใช่แม่ของผม แม่ของผมตายไปนานแล้ว!”
เจ้าหนี้ที่โมโหมาก จึงตวาดออกไปว่า
“เธอไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของแม่เลยนะ!”
“แล้วเค้าสมควรเป็นแม่ของผมไหม?”
เขาตวาดใส่เจ้าหน้าที่ด้วยเสียงอันดังและดุดันกว่า
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่บอกว่ามีธุระที่จะไหว้วานให้เขาช่วย
พอเขาเดินเข้าห้องเจ้าหน้าที่ไป ก็เจอกับหญิงชราผมขาวใบหน้าอิดโรยเหี่ยวย่นคนหนึ่ง นั่นคือแม่ของเขาเอง
เขารีบหันตัวเดินกลับออกจากห้องเจ้าหน้าที่
“ลูกแม่ แม่ทำทุกอย่าก็เพื่อหวังดีต่อลูกนะ แม่กลัวว่าโทษของเจ้าจะหนักไปกว่านี้
อีกอย่างหนึ่ง หากลูกหนีไปอยู่ที่อื่น แม่จะได้เห็นหน้าลูกอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้!”
เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ความคับแค้นใจในวันที่แม่โทรแจ้งตำรวจให้มาจับเขายังอัดแน่นอยู่ในหัวใจไม่เคยลบหาย
“ลูกแม่ จากนี้ไปจงดูแลตัวเองให้ดี ทำตัวให้เจ้าหน้าที่รักนะลูกนะ แม่จะไม่มารบกวนเจ้าอีก!”
เขายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ไปเลย! ไปสิ! ไปให้พ้น!ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกเลย ไป๊!”
พูดเสร็จ เขาก็วิ่งออกไปจากห้องเจ้าหน้าที่
จากนั้นเป็นต้นมา แม่ของเขาก็ไม่เคยย่างกรายมาหาเขาที่เรือนจำอีกเลย
มีเพียงจดหมายที่ถูกส่งถึงเขาเป็นประจำ 1เดือน3ฉบับ
“ลูกรัก
อากาศเริ่มหนาวแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะ
ลูกรัก อย่าดื่มน้ำเย็นนะ ร่างกายของลูกบอบบาง น้ำเย็นไม่ดีต่อกระเพาะลำไส้ ”
ท้ายฉบับ แม่จะเขียนย้ำเหมือนๆกันทุกครั้งว่า
“ลูกรัก ลูกต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดี แม่จะรอวันลูกกลับบ้านนะลูก ”
ทุกครั้งที่เขาได้อ่านจดหมาย เขามักจะแอบไปร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
แต่ทว่า ทิฐิที่ยังมีอยู่เต็มอก ทำให้เขาไม่ยอมตอบจดหมายของแม่เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
4ปีแล้ว จดหมายประมาณ150ฉบับ ถูกเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เพื่อนนักโทษคนใดมาเห็น ต่างก็พากันชื่นชม
“แม่ของนายนี่สอนลูกได้เก่งจริงๆ นายมีแม่ประเสริฐอย่างนี้ นับเป็นวาสนาจริงๆ”
จดหมายที่แม่ส่งมาให้เขา ทำให้จิตใจของเขาอ่อนโยนลง
มันทำให้กำแพงน้ำแข็งได้เริ่มทลายลงไปทีละน้อยและสลายไปจนหมดสิ้น
บัดนี้ เขาเข้าใจความจนใจและความเจ็บปวดของแม่แล้ว
แม่คนหนึ่ง โทรแจ้งตำรวจมาจับลูกชายของตนด้วยตัวเอง
ทุกค่ำคืน แม่จะเจ็บปวดทรมานสักเพียงใด แม่ผ่านผ่านรู้สึกนี้มาได้อย่างไร?
ภาพที่แม่ยืนร้องไห้พูดกับเขา เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนโทษทัณฑ์ที่ไม่มีวันจบสิ้น
เขาร่ำไห้ เสียใจที่ทำไม่ดีไว้กับมามากมายเหลือเกิน
เขาพยายามปรับปรุงตัว เพื่อให้ได้รับการพิจารณาลดโทษ
หากวันใดที่เขาได้กลับบ้าน เขาจะคุกเข่ากราบเท้าแม่ กอดแม่และบอกกับแม่ว่า
“แม่ครับ ลูกขอโทษ!”
ปีที่สี่ผ่านไปได้ไม่กี่เดือน เขาก็ได้รับการพิจารณาลดโทษ ให้เป็นอิสระได้
เขาเดินออกจากเรือนจำด้วยกระเป๋าสัมภาระเพียงนิดหน่อย
เมื่อย่ำเท้าออกจากเรือนจำ เขายืนนิ่งสูดอากาศข้างนอกเรือนจำอย่างเต็มปอด
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขอบคุณแม่ สิ่งที่แม่เลือกทำในวันนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขาและแม่แล้ว
เขายอมรับกรตัดสินใจของแม่ในวันนั้นแล้ว
เมื่อเขาเดินทางกลับถึงหน้าบ้าน
เขายืนนิ่ง หนาววาบไปถึงขั้วหัวใจ!
ในบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน มีหลุมฝังศพหนึ่งที่มีหญ้าแห้งปกคลุมอยู่ น่าจะถูกฝังมาหลายปีแล้ว
ป้ายชื่อบนหลุมศพนั้นที่ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะมันเป็นชื่อของแม่เขา
เขาจ้องมองดูที่หลุมศพนั้นนานสองนาน
จู่ๆ เขาก็ทรุดคุกเข่าลงไปที่หลุมศพนั้น ตีอกชกตัวอย่างไม่ปราณี
“แม่........ ผมขอโทษ แม่......ผมผิดไปแล้ว ฮื่อๆๆ”
เสียงร้องไห้ของเขา ทำให้น้าสาวที่อยู่บ้านข้างๆเดินออกมาดู
น้าเห็นหลานก็เดินเข้ามากอดไว้ และพากันร้องไห้
น้าของเขาเล่าว่า แม่ของเขาป่วยเป็นวัณโรค
ตอนที่เขาติดคุกใหม่ๆ อาการกำเริบหนักและรุนแรงมาก
เมื่อไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นวัณโรคระยะสุดท้าย
แม่ของเขาจึงอยากไปเยี่ยมเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งนั้น แม่ของเขากลับมาพร้อมกับน้ำตานองหน้า
หลังจากนั้น ก็เริ่มเขียนจดหมายส่งให้เขา รวมทั้งหมด180ฉบับ
ก่อนที่แม่ของเขาจะสิ้นใจ ได้มอบจดหมายที่เหลือนั้นให้กับน้าสาวเป็นคนจัดการส่งให้เขาแทน
น้าสาวเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อนำจดหมายที่ยังไม่ได้ส่งให้เขา
เขารับเอาจดหมายของแม่ไว้ด้วยมือสั่นเทา
เขาคุกเข่าอ่านจดหมายของแม่แต่ละฉบับเหมือนดังว่าแม่กำลังยืนพูดคุยกับเขาอยู่ตรงหน้า
เขาอ่านทุกตัวอักษรไม่ให้ตกหล่น จนมาถึงฉบับสุดท้าย
“ลูกแม่
วันที่เจ้ากลับมา แม่ก็คงจะจากโลกนี้ไปอยู่กับพ่อของเจ้าแล้ว
ตอนนั้น แม่ไม่กล้าบอกความจริงกับลูก เกรงว่าลูกจะเป็นกังวล
วันที่แม่ไปเยี่ยมลูกในวันนั้น แม่หวังเหลือเกินว่าลูกจะหันหลังกลับมาเรียกแม่อีกสักครั้ง แต่แม่ก็ไม่สมหวัง!
ไม่ต้องเสียใจที่แม่จากไป ลูกออกมาได้ก็ดีแล้ว นี่เป็นวาสนาของแม่โดยแท้
แม่ขอให้น้าของลูกฝังแม่ไว้ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็เพราะแม่ไม่อาจมีชีวิตอยู่จนเห็นลูกกลับมาด้วยตนเอง
เมื่อแม่ตายไปแล้ว แม่ก็อยากเห็นลูกกลับมาเป็นคนแรก
จำไว้นะลูก เมื่อลูกกลับมาแล้ว อย่าลืมไปที่หลุมฝังศพของแม่
เรียกแม่สักคำให้แม่ได้ชื่นใจ แม่อยู่ในหลุมนั้นรอฟังคำเรียกนี้จากปากของลูกอยู่.......”
เขาลุกขึ้นยืน มองไปที่หลุมฝังศพของแม่ที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้งเฉา ประหนึ่งผมของแม่ที่ขาวโพลนนั้น
เขาคุกเข่าลงไปที่หน้าหลุมศพนั้นอีกครั้ง
“แม่ ลูกกลับมาแล้ว ต่อไป ลูกจะเป็นคนดี แม่ได้ยินไหมครับ..ฮือๆ....”
อ่านจบแล้ว เรานึกถึงตัวเองเลยค่ะ ที่บ่อยครั้ง ทะเลาะกับแม่ ไม่เข้าใจกัน แต่ยังไงซะ แม่ก้คือแม่ รักและเปนห่วงเสมอถึงแม้ว่าเราจะทำผิด รักแม่เสมอ 😂😂😂 คิดถึงแม่นะคะ