วันนี้ขอแชร์ประสบการณ์การขอวีซ่าคู่หมั้น (K1) สำหรับสหรัฐอเมริกานะคะ เผื่อข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆ คน เพราะว่าสำหรับตัวเอง จำได้ว่าก่อนจะเริ่มกระบวนการ ได้อ่านข้อมูลต่างๆ แล้วรู้สึกว่ามันยุ่งยากจัง ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน อย่างไรดี
เริ่มจากการวางแผนค่ะ ก็ดูตามเวบไซต์ต่างๆ ว่าปกติการขอวีซ่า K1 ใช้ระยะเวลามากน้อยแค่ไหน ดูทั้งรีวิวของไทยและของประเทศต่างๆ ก็ได้ข้อสรุปว่า กระบวนการนับแต่ยื่นเรื่องไปจนถึงได้วีซ่าจะกินเวลาประมาณ 7-9 เดือน... ดังนั้น เนื่องจากกำหนดจะเดินทางไปที่สหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2558 เพื่อจัดงานแต่งงานในวันที่ 19 กันยายน 2558 จึงได้เริ่มกระบวนการตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2557 เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการจะเสร็จทันเวลา
แต่เอาเข้าจริง กระบวนการทั้งหมดเสร็จเร็วมากกว่าที่คาดไว้เยอะค่ะ ขอสรุปเวลาดำเนินการต่างๆ ให้เห็นภาพรวมกันก่อนนะคะ
ส่วนแรก: การดำเนินการในส่วนของคู่หมั้นที่เป็นชาวอเมริกัน (Petitioner)
First submission: OCT 27, 14
Case acceptance: OCT 31, 14
NOA1 Case Approval: Nov 14, 14 (ช่วงนี้เขาว่าใช้ประมาณ 3-5 เดือนในการรอการตอบรับ แต่ในเคสของเราแค่ครึ่งเดือนค่ะ)
ส่วนที่สอง: การดำเนินการในส่วนของเราเองที่ดำเนินการในประเทศไทย (ฺBeneficiary)
Receipt Package 3 from US Embassy : DEC 12, 14 (ช่วงนี้คือถ้าพร้อมก็ส่งเอกสารได้เลย แต่ในเคสของเราคือเวลามันเร็วเกินไป เลยถ่วงเวลาออกไปก่อน เพราะถ้าได้วีซ่ามาเร็วเกิน จะหมดอายุก่อนเดินทาง เพราะวีซ่ามีอายุแค่ 6 เดือนนับจากวันที่ออก)
Package 3 Submission: MAR 16, 15
Package 3 Receipt: MAR 18, 15
Notice of Interview Appointment: MAR 18, 15 (ช่วงนี้เขาบอกอีกแล้วว่าประมาณ 2 เดือนจะได้นัด แต่อีกเช่นกันเราได้รับนัด 2 วันนับจากวันที่ส่ง Package 3 ไป)
Medical Examination: Mar 20, 15
Date of Interview: MAR 30, 15
Visa Receipt: APR 1, 15
สรุปคือ ถ้าไม่นับการถ่วงเวลาในช่วงรวบรวมเอกสารแล้ว เวลาที่ใช้รวมเอกสาร Package 3 จริง จะประมาณแค่ 3 สัปดาห์ (รอใบรับรองจากตำรวจอย่างเดียว เพราะเอกสารอื่นๆ ขอแล้วได้เลย แถมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องแปลเอกสารแล้วด้วย) ดังนั้น รวม processing time ทั้งหมดแค่ประมาณ 2.5 เดือนเองค่ะ
คราวนี้มาดูกันว่า... ทำอย่างไรถึงผ่านขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ได้แบบไม่ยากเย็นนัก และค่อนข้างเร็วมากดีกว่าค่ะ
1. ขั้นตอนการส่งเอกสารในส่วนของแฟนชาวอเมริกา (Petitioner)
ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่าเคสของเรา รู้จักกัน คบกันแบบเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน คือเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ได้เดินทางไปที่เมือง Portland รัฐ Oregon เพื่อเรียนปริญญาโท และได้เจอกันแฟนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนค่ะ เราก็เรียนหนังสือมาด้วยกัน สนิทกันมาเรื่อยๆ พอถึงธันวาคม 2554 เราก็เรียนจบเดินทางกลับไทย จากนั้นตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน ก็จะบินไปบินมาเยี่ยมกันตลอด ส่วนใหญ่เราจะไปที่นั่นในช่วงคริสมาสต์ และแฟนจะมานี่ในช่วงสงกรานต์ และจะหาโอกาสเจอกันครึ่งทางที่ญี่ปุ่นบ้าง หรือแฟนบินมาอีกครั้งบ้างในช่วงเดือนกันยา สรุปคือเจอกันประมาณปีละ 3 ครั้งมาทุกปีค่ะ ส่วนการคบกันก็คือเราสนิทกับครอบครัวแฟนตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ ส่วนแฟนเวลามาเยี่ยมเราทางนี้ก็ไปเที่ยวกับที่บ้านเราตลอด
ดังนั้น การส่งเอกสารต่างๆ จึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราเน้นกันเองว่าจะใช้เอกสารที่เป็นทางการ + ตรวจสอบได้ทั้งหมด ซึ่งเอกสารยืนยันความสัมพันธ์ที่เราใช้ยื่นไปก็คือ 1) แผ่นพับรายชื่อคนรับปริญญารุ่นเดียวกันที่มหาวิทยาลัยทำแจกในวันรับปริญญา โดยในนั้นมีชื่อเราสองคน 2) Copy หน้าพาสปอร์ตที่ Stamp การเดินทางเข้าออกประเทศของทั้งสองฝ่าย 3) สำเนาตั๋วเครื่องบิน + หางตั๋ว + tag กระเป๋าที่ยังไม่ได้ทิ้ง 4) ภาพถ่ายไม่กี่ใบที่เราสองคนถ่ายกับครอบครัวของทั้งสองฝ่าย (พอดีตอนที่เรารับปริญญามีคุณพ่อและคุณน้องชายบินไป เลยได้ถ่ายภาพรวมซึ่งมีเราสองคนและครอบครัวของทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วย) ... เอกสารหลักๆ มีอยู่เท่านี้เลยจริงๆ ค่ะ และผลก็คือเราได้รับ Approve เร็วมาก ใช้เวลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นค่า (แฟนเราเชื่อว่ามันเร็วเพราะเขาจ่าหน้าซองส่งตรงถึงสำนักงาน USCIS แทนที่จะส่งไปที่ PO. Box ค่ะ... อันนี้ไม่รู้จริงไหม แต่ลองดูก็ได้ค่ะ)
2. รวบรวมเอกสาร Package 3 ส่งสถานทูต US ณ กทม
หลังจาก Case ได้รับ Approve ไม่ถึงเดือนจะมีหนังสือจากสถานทูต US ส่งมาที่บ้านเราเพื่อให้ส่งเอกสาร Package 3 ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่เรามีอยู่แล้ว จะมีแค่ไม่กี่ตัวที่จะต้องไปดำเนินการขอ ได้แก่
- ใบรับรองโสด: ใบนี้จะต้องไปขอที่อำเภอตามภูมิลำเนาของเราค่ะ (ต้องมีพยาน 2 คน - ถ้าเป็นสามีภรรยากันไม่ได้ เพราะนับเป็นคนเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้พ่อเป็นพยาน จะใช้แม่เป็นพยานด้วยไม่ได้) อันนี้ก็ไปขอปุ๊บได้ปั๊บค่ะ แต่ระยะเวลารอขึ้นอยู่กับอำเภอ บอกไม่ได้ค่าาาา
- ใบรับรองจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ: อันนี้จะต้องใช้เวลาหน่อยค่ะ ไปขอจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จอดรถที่เซ็นทรัลเวิร์ดได้ ไม่เสียเงินด้วยแหล่ะ ส่วนถ้าต่างจังหวัดมีขอทางจดหมายได้ด้วยนะคะ) ปกติเวลาดำเนินการ 3 สัปดาห์ โดยวันที่ไปขอไปทำเรื่องใช้เวลาน้อยมาก 15 นาทีประมาณนั้นเอง จากนั้น 3 อาทิตย์ เขาจะส่งเอกสารให้ทางจดหมายว่าเรามีความประพฤติเรียบร้อย บลาๆๆ เป็นเอกสารภาษาอังกฤษนะคะ (ในส่วนนี้มีนิดนึงว่า ทางเอกสารที่สถานทูตส่งมาจะไม่บอกว่าต้องมีใบรับรองโสดไปยื่นด้วย แต่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเขาจะขอค่ะ ก็ให้เตรียมไปเผื่อด้วยนะคะ)
- ให้แฟนที่อยู่อเมริกาส่งใบ I-134 Affidavit of Support + ใบรับรองการจ่ายภาษีสำหรับปีล่าสุด มาให้เราเพื่อใช้แนบในเอกสารค่ะ (เวลาส่งจดหมายจากอเมริกามาไทยก็ประมาณ 2 สัปดาห์)
หลักๆ ที่ต้องขอมีเท่านี้ค่ะ ยกเว้นว่าคนที่มีเปลี่ยนชื่อ มีสมรสมาก่อน มีหย่ามาก่อน มีบุตร ฯลฯ เอกสารก็จะมีกระบวนการขอที่ยาวนานมากขึ้น ที่สำคัญเอกสารทุกอย่างที่เป็นไทยไม่จำเป็นต้องแปลทั้งนั้นค่ะ ส่งไปแบบภาษาไทยได้เลย
นอกจากนั้น เราก็ต้องกรอกใบขอวีซ่า DS-160 ออนไลน์ อัพโหลดรูป และทำการจ่ายค่าธรรมเนียม $265 (การจ่ายจะต้องสมัครเข้าไปที่เวบไซต์ ustraveldocs.com/th แล้วปริ้นท์ใบเอกสารชำระเงินออกมา นำไปจ่ายที่แบงค์กรุงศรีฯ สาขาใดก็ได้ จากนั้น 1-2 วันทำการระบบจะอัพเดทว่าเราชำระแล้ว ก็จะต้องปริ้นท์ใบ Confirmation ออกมาแนบใน Package 3 ค่ะ)
ดังนั้น จริงๆ แล้วเวลารวบรวมเอกสารจะประมาณ 3-4 สัปดาห์เท่านั้นในเคสปกติทั่วไปนะคะ เมื่อได้เอกสารพร้อมแล้วก็ให้ส่งเอกสารทั้งหมดไปที่สถานทูต US ค่ะ โดยเอกสารต่างๆ ตัวจริง (สำหรับที่ส่งไปเป็นสำเนา) หรือสำเนา (สำหรับที่ส่งไปเป็นตัวจริง) ให้เก็บไว้ด้วยนะคะเพราะในขั้นตอนสัมภาษณ์เขาอาจจะมีการเรียกดูค่ะ สำหรับเรา ก็ส่ง EMS ไปเช้าวันจันทร์ที่ 16 มี.ค. 58 พอถึงวันพุธที่ 18 มี.ค. 58 สายๆ สถานทูตโทรมาขอให้ส่งใบ Confirmation ของ DS-160 ไปเพิ่มทางอีเมล์ เราก็ส่งไปทันที จากนั้นแค่ ชม. เดียวเราก็ได้อีเมล์จากสถานทูตนัดสัมภาษณ์วันที่ 30 มี.ค. 58 เลยค่ะ
3. ขั้นตอนการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีน
ก่อนอื่นโทรนัดตรวจสุขภาพที่บำรุงราษฎร์ก่อนเลยค่ะ สำหรับใน กทม. สถานทูตกำหนดให้ต้องตรวจที่บำรุงราษฎร์ (27XXบาท) หรือ BNH (28XX บาท) การตรวจสุขภาพที่บำรุงราษฎร์ในช่วงนี้คือตรวจแค่จันทร์ - ศุกร์ และควรนัดหมายล่วงหน้า 1 วัน ซึ่งเราก็โทรไปนัดหมายได้วันที่ 20 มี.ค. 58 กับคุณหมอวัชระพงศ์ค่ะ ในส่วนวัคซีน เนื่องจากเราไม่อยากจะเสียเงินเยอะที่บำรุงราษฎร์และสำหรับเราเนื่องจากคุณแม่ย้ายบ้านบ่อย เอกสารยืนยันการฉีดวัคซีนสมัยเด็กๆ เลยหายไป วันที่ 19 มี.ค. เลยเข้าไปที่สถานเสาวภา ไปสอบถามรายละเอียดต่างๆ และฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ Tdap Booster และ Polio พร้อมตรวจเลือดหาภูมิตับอักเสบเอ บี และอีสุกอีใส (ค่าเสียหาย 2700 บาทค่ะ)
จริงๆ แล้วเรื่องนี้สถานทูตไม่ถึงกับบังคับแค่บอกว่ามีวัคซีนใดที่ควรมี โดยให้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ที่ตรวจ แต่เราเห็นว่าเรื่องวัคซีน ฉีดไปคนที่ได้ประโยชน์ก็ตัวเราเองก็เลยจัดไปค่ะ
ถึงวันตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเริ่มตรวจ 7 โมงค่ะ ก็ไปถึงประมาณเจ็ดโมง ถ่ายรูปทำบัตรที่ชั้น 10 ประมาณ 3 นาที เสร็จแล้วก็ไปต่อที่ชั้น 15 ยื่นเอกสารนั่งรอประมาณ 15 นาที เขาก็เรียกไปวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และไม่นานก็ให้พบคุณหมอ คุณหมอก็ซักประวัติ ตรวจร่างกายเล็กน้อย ซักถามเรื่องประวัติการฉีดวัคซีน และสั่งให้ฉีดวัคซีน MMR (คางทูม บาดทะยัก คอตีบ) 1 เข็ม ราคา 650 บาท จากนั้นพยาบาลก็พาเราไปห้องตรวจเลือด (ซึ่งเขาตรวจซิฟิลิส หรือหนองในอย่างเดียวค่ะ) ไปเอ็กซเรย์ปอด แล้วก็ไปฉีดวัคซีนตามหมอสั่ง เป็นอันเสร็จสิ้น แล้วก็รอประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้รับเอกสารผลการตรวจคืน โดยเขาจะใส่เอกสารในซองสีน้ำตาลใหญ่ (ห้ามเปิดเด็ดขาด ต้องให้สถานทูตเปิด) และจะมีซองใส่ผลการตรวจสำหรับเราเก็บไว้อ้างอิงเองให้ดูค่ะ ในกรณีที่ร่างกายปกติ ใช้เวลาตรวจและรอเอกสารแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองค่ะ
4. ขั้นตอนการสัมภาษณ์ (เวลานัด 7.00 น. วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2558)
ก่อนวันสัมภาษณ์เราก็จัดเตรียมเอกสารใส่ไว้ในกระเป๋า จริงๆ ช่วงนี้งานยุ่งมากค่ะ เลยไม่มีเวลาจะมานั่งทำแฟ้มละเอียดๆ แบบที่ในเวบต่างๆ แนะนำ เราก็กวาดๆ เอกสารลงกระเป๋าไป ส่วนใหญ่ก็ยึดตามที่ทางแฟนส่งไว้ทางอเมริกา จริงๆ เราไม่ค่อยซีเรียสมากในขั้นตอนนี้ เพราะเราเองเป็นคนช่วยเตรียมเอกสารที่แฟนใช้ยื่นจากอเมริกาให้ ก็เลยมีเอกสารส่วนใหญ่อยู่แล้ว เอกสารที่เพิ่มมาจากที่แฟนยื่นจริงๆ ก็เป็นเรื่องหลักฐานเตรียมการแต่งงานค่ะ ได้แก่ Photo Book ภาพถ่าย Engagement Session (ประมาณ pre-wedding บ้านเรา) การ์ด Save the Date ที่ทำส่งเชิญคนต่างๆ ใบคอนเฟิร์มจ่ายมัดจำจองที่จัดงานเลี้ยง จอง Catering จองช่างภาพ ใบเสร็จซื้อชุดเจ้าสาว รูปตอนลองชุดเจ้าสาว กล่องใส่แหวนหมั้น รูปถ่ายล่าสุดตอนไปที่อเมริกามาเมื่อคริสมาสต์ 57 เราก็แพคทุกอย่างใส่กระเป๋าค่ะ
ถึงสถานทูต 7 โมงเป๊ะ ก็ได้ต่อคิวเดินเข้าเลยเพราะเป็นวีซ่า K เข้าไปปุ๊บ ก็ไปยื่นเอกสารที่ช่อง 1 เขาก็ขอเอกสารต่างๆ ตาม Package 4 และเอกสารแสดงความสัมพันธ์ซึ่งเราก็ส่งให้เขาไป จากนั้นก็นั่งรอ... และสักครึ่ง ชม. ช่อง 2 ก็เรียกสอบถามเพิ่ม ถามว่าตอนไปเรียนกลับมาปีไหน ก็ตอบไปค่ะ แล้วเขาก็ให้ไปนั่งรอสัมภาษณ์ที่ช่อง 5 มีคนนั่งรออยู่ประมาณ 4-5 คน สักประมาณครึ่ง ชม. ทางกงสุลอเมริกันก็เรียกไปสัมภาษณ์ โดยมีบทสัมภาษณ์สั้นมากจริงๆ ค่ะ ดังนี้
Consul: Have you read the information in this paper? (เขาให้เอกสารแผ่นสีเหลืองมาอ่านเรื่องการฟ้องร้องในกรณีมีการใช้กำลังในครอบครัว และการปรับสถานะต่าง) Do you have any question?
Me: Not really. I am just wondering how long it will take to get a work permit after the marriage.
Consul: I am so sorry this is subject to the homeland security. The consular cannot answer your question. I am really sorry.
Me: No problem.
Consul: So, do you remember when and how you met your fiance?
Me: June 2010. I went to Portland to do my Master's Degree and we were in the same cohort.
Consul: When did you start the romance relationship?
Me: Well, it actually happened naturally. But I would say June 2011.
Consul: When do you plan to arrive in the US and when your wedding will take place?
Me: I am flying to Portland in late August and the wedding will be on September 19th.
Consul: Ok. Wait a moment please.
(แล้วกงสุลก็พิมพ์ๆ ข้อมูลไปในคอมพ์สักพักก็บอก)
Consul: Alright. It will take 1 to 2 weeks to process your visa. Also, we have to cancel your tourist visa as you will get a fiance visa. It's all set.
Me: Thank you.
จบแล้วเราก็เดินกลับได้ค่ะ ไม่ต้องซื้อซองเพราะทางสถานทูตรวมค่าดำเนินการต่างๆ ไว้ในค่าวีซ่าแล้ว
เป็นอันจบกระบวนการค่ะ เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้เอง ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ ก็หวังว่าข้อมูลที่มาแชร์จะเป็นประโยชน์นะคะ ถ้าสงสัยก็สอบถามมาได้ ยินดีค่ะ
ประสบการณ์ละเอียดๆ กับการขอวีซ่าคู่หมั้นอเมริกา (K1)... ใครว่ายาก เราขอเถียง!
เริ่มจากการวางแผนค่ะ ก็ดูตามเวบไซต์ต่างๆ ว่าปกติการขอวีซ่า K1 ใช้ระยะเวลามากน้อยแค่ไหน ดูทั้งรีวิวของไทยและของประเทศต่างๆ ก็ได้ข้อสรุปว่า กระบวนการนับแต่ยื่นเรื่องไปจนถึงได้วีซ่าจะกินเวลาประมาณ 7-9 เดือน... ดังนั้น เนื่องจากกำหนดจะเดินทางไปที่สหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2558 เพื่อจัดงานแต่งงานในวันที่ 19 กันยายน 2558 จึงได้เริ่มกระบวนการตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2557 เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการจะเสร็จทันเวลา
แต่เอาเข้าจริง กระบวนการทั้งหมดเสร็จเร็วมากกว่าที่คาดไว้เยอะค่ะ ขอสรุปเวลาดำเนินการต่างๆ ให้เห็นภาพรวมกันก่อนนะคะ
ส่วนแรก: การดำเนินการในส่วนของคู่หมั้นที่เป็นชาวอเมริกัน (Petitioner)
First submission: OCT 27, 14
Case acceptance: OCT 31, 14
NOA1 Case Approval: Nov 14, 14 (ช่วงนี้เขาว่าใช้ประมาณ 3-5 เดือนในการรอการตอบรับ แต่ในเคสของเราแค่ครึ่งเดือนค่ะ)
ส่วนที่สอง: การดำเนินการในส่วนของเราเองที่ดำเนินการในประเทศไทย (ฺBeneficiary)
Receipt Package 3 from US Embassy : DEC 12, 14 (ช่วงนี้คือถ้าพร้อมก็ส่งเอกสารได้เลย แต่ในเคสของเราคือเวลามันเร็วเกินไป เลยถ่วงเวลาออกไปก่อน เพราะถ้าได้วีซ่ามาเร็วเกิน จะหมดอายุก่อนเดินทาง เพราะวีซ่ามีอายุแค่ 6 เดือนนับจากวันที่ออก)
Package 3 Submission: MAR 16, 15
Package 3 Receipt: MAR 18, 15
Notice of Interview Appointment: MAR 18, 15 (ช่วงนี้เขาบอกอีกแล้วว่าประมาณ 2 เดือนจะได้นัด แต่อีกเช่นกันเราได้รับนัด 2 วันนับจากวันที่ส่ง Package 3 ไป)
Medical Examination: Mar 20, 15
Date of Interview: MAR 30, 15
Visa Receipt: APR 1, 15
สรุปคือ ถ้าไม่นับการถ่วงเวลาในช่วงรวบรวมเอกสารแล้ว เวลาที่ใช้รวมเอกสาร Package 3 จริง จะประมาณแค่ 3 สัปดาห์ (รอใบรับรองจากตำรวจอย่างเดียว เพราะเอกสารอื่นๆ ขอแล้วได้เลย แถมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องแปลเอกสารแล้วด้วย) ดังนั้น รวม processing time ทั้งหมดแค่ประมาณ 2.5 เดือนเองค่ะ
คราวนี้มาดูกันว่า... ทำอย่างไรถึงผ่านขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ได้แบบไม่ยากเย็นนัก และค่อนข้างเร็วมากดีกว่าค่ะ
1. ขั้นตอนการส่งเอกสารในส่วนของแฟนชาวอเมริกา (Petitioner)
ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่าเคสของเรา รู้จักกัน คบกันแบบเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน คือเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ได้เดินทางไปที่เมือง Portland รัฐ Oregon เพื่อเรียนปริญญาโท และได้เจอกันแฟนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนค่ะ เราก็เรียนหนังสือมาด้วยกัน สนิทกันมาเรื่อยๆ พอถึงธันวาคม 2554 เราก็เรียนจบเดินทางกลับไทย จากนั้นตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน ก็จะบินไปบินมาเยี่ยมกันตลอด ส่วนใหญ่เราจะไปที่นั่นในช่วงคริสมาสต์ และแฟนจะมานี่ในช่วงสงกรานต์ และจะหาโอกาสเจอกันครึ่งทางที่ญี่ปุ่นบ้าง หรือแฟนบินมาอีกครั้งบ้างในช่วงเดือนกันยา สรุปคือเจอกันประมาณปีละ 3 ครั้งมาทุกปีค่ะ ส่วนการคบกันก็คือเราสนิทกับครอบครัวแฟนตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ ส่วนแฟนเวลามาเยี่ยมเราทางนี้ก็ไปเที่ยวกับที่บ้านเราตลอด
ดังนั้น การส่งเอกสารต่างๆ จึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราเน้นกันเองว่าจะใช้เอกสารที่เป็นทางการ + ตรวจสอบได้ทั้งหมด ซึ่งเอกสารยืนยันความสัมพันธ์ที่เราใช้ยื่นไปก็คือ 1) แผ่นพับรายชื่อคนรับปริญญารุ่นเดียวกันที่มหาวิทยาลัยทำแจกในวันรับปริญญา โดยในนั้นมีชื่อเราสองคน 2) Copy หน้าพาสปอร์ตที่ Stamp การเดินทางเข้าออกประเทศของทั้งสองฝ่าย 3) สำเนาตั๋วเครื่องบิน + หางตั๋ว + tag กระเป๋าที่ยังไม่ได้ทิ้ง 4) ภาพถ่ายไม่กี่ใบที่เราสองคนถ่ายกับครอบครัวของทั้งสองฝ่าย (พอดีตอนที่เรารับปริญญามีคุณพ่อและคุณน้องชายบินไป เลยได้ถ่ายภาพรวมซึ่งมีเราสองคนและครอบครัวของทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วย) ... เอกสารหลักๆ มีอยู่เท่านี้เลยจริงๆ ค่ะ และผลก็คือเราได้รับ Approve เร็วมาก ใช้เวลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นค่า (แฟนเราเชื่อว่ามันเร็วเพราะเขาจ่าหน้าซองส่งตรงถึงสำนักงาน USCIS แทนที่จะส่งไปที่ PO. Box ค่ะ... อันนี้ไม่รู้จริงไหม แต่ลองดูก็ได้ค่ะ)
2. รวบรวมเอกสาร Package 3 ส่งสถานทูต US ณ กทม
หลังจาก Case ได้รับ Approve ไม่ถึงเดือนจะมีหนังสือจากสถานทูต US ส่งมาที่บ้านเราเพื่อให้ส่งเอกสาร Package 3 ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่เรามีอยู่แล้ว จะมีแค่ไม่กี่ตัวที่จะต้องไปดำเนินการขอ ได้แก่
- ใบรับรองโสด: ใบนี้จะต้องไปขอที่อำเภอตามภูมิลำเนาของเราค่ะ (ต้องมีพยาน 2 คน - ถ้าเป็นสามีภรรยากันไม่ได้ เพราะนับเป็นคนเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้พ่อเป็นพยาน จะใช้แม่เป็นพยานด้วยไม่ได้) อันนี้ก็ไปขอปุ๊บได้ปั๊บค่ะ แต่ระยะเวลารอขึ้นอยู่กับอำเภอ บอกไม่ได้ค่าาาา
- ใบรับรองจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ: อันนี้จะต้องใช้เวลาหน่อยค่ะ ไปขอจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จอดรถที่เซ็นทรัลเวิร์ดได้ ไม่เสียเงินด้วยแหล่ะ ส่วนถ้าต่างจังหวัดมีขอทางจดหมายได้ด้วยนะคะ) ปกติเวลาดำเนินการ 3 สัปดาห์ โดยวันที่ไปขอไปทำเรื่องใช้เวลาน้อยมาก 15 นาทีประมาณนั้นเอง จากนั้น 3 อาทิตย์ เขาจะส่งเอกสารให้ทางจดหมายว่าเรามีความประพฤติเรียบร้อย บลาๆๆ เป็นเอกสารภาษาอังกฤษนะคะ (ในส่วนนี้มีนิดนึงว่า ทางเอกสารที่สถานทูตส่งมาจะไม่บอกว่าต้องมีใบรับรองโสดไปยื่นด้วย แต่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเขาจะขอค่ะ ก็ให้เตรียมไปเผื่อด้วยนะคะ)
- ให้แฟนที่อยู่อเมริกาส่งใบ I-134 Affidavit of Support + ใบรับรองการจ่ายภาษีสำหรับปีล่าสุด มาให้เราเพื่อใช้แนบในเอกสารค่ะ (เวลาส่งจดหมายจากอเมริกามาไทยก็ประมาณ 2 สัปดาห์)
หลักๆ ที่ต้องขอมีเท่านี้ค่ะ ยกเว้นว่าคนที่มีเปลี่ยนชื่อ มีสมรสมาก่อน มีหย่ามาก่อน มีบุตร ฯลฯ เอกสารก็จะมีกระบวนการขอที่ยาวนานมากขึ้น ที่สำคัญเอกสารทุกอย่างที่เป็นไทยไม่จำเป็นต้องแปลทั้งนั้นค่ะ ส่งไปแบบภาษาไทยได้เลย
นอกจากนั้น เราก็ต้องกรอกใบขอวีซ่า DS-160 ออนไลน์ อัพโหลดรูป และทำการจ่ายค่าธรรมเนียม $265 (การจ่ายจะต้องสมัครเข้าไปที่เวบไซต์ ustraveldocs.com/th แล้วปริ้นท์ใบเอกสารชำระเงินออกมา นำไปจ่ายที่แบงค์กรุงศรีฯ สาขาใดก็ได้ จากนั้น 1-2 วันทำการระบบจะอัพเดทว่าเราชำระแล้ว ก็จะต้องปริ้นท์ใบ Confirmation ออกมาแนบใน Package 3 ค่ะ)
ดังนั้น จริงๆ แล้วเวลารวบรวมเอกสารจะประมาณ 3-4 สัปดาห์เท่านั้นในเคสปกติทั่วไปนะคะ เมื่อได้เอกสารพร้อมแล้วก็ให้ส่งเอกสารทั้งหมดไปที่สถานทูต US ค่ะ โดยเอกสารต่างๆ ตัวจริง (สำหรับที่ส่งไปเป็นสำเนา) หรือสำเนา (สำหรับที่ส่งไปเป็นตัวจริง) ให้เก็บไว้ด้วยนะคะเพราะในขั้นตอนสัมภาษณ์เขาอาจจะมีการเรียกดูค่ะ สำหรับเรา ก็ส่ง EMS ไปเช้าวันจันทร์ที่ 16 มี.ค. 58 พอถึงวันพุธที่ 18 มี.ค. 58 สายๆ สถานทูตโทรมาขอให้ส่งใบ Confirmation ของ DS-160 ไปเพิ่มทางอีเมล์ เราก็ส่งไปทันที จากนั้นแค่ ชม. เดียวเราก็ได้อีเมล์จากสถานทูตนัดสัมภาษณ์วันที่ 30 มี.ค. 58 เลยค่ะ
3. ขั้นตอนการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีน
ก่อนอื่นโทรนัดตรวจสุขภาพที่บำรุงราษฎร์ก่อนเลยค่ะ สำหรับใน กทม. สถานทูตกำหนดให้ต้องตรวจที่บำรุงราษฎร์ (27XXบาท) หรือ BNH (28XX บาท) การตรวจสุขภาพที่บำรุงราษฎร์ในช่วงนี้คือตรวจแค่จันทร์ - ศุกร์ และควรนัดหมายล่วงหน้า 1 วัน ซึ่งเราก็โทรไปนัดหมายได้วันที่ 20 มี.ค. 58 กับคุณหมอวัชระพงศ์ค่ะ ในส่วนวัคซีน เนื่องจากเราไม่อยากจะเสียเงินเยอะที่บำรุงราษฎร์และสำหรับเราเนื่องจากคุณแม่ย้ายบ้านบ่อย เอกสารยืนยันการฉีดวัคซีนสมัยเด็กๆ เลยหายไป วันที่ 19 มี.ค. เลยเข้าไปที่สถานเสาวภา ไปสอบถามรายละเอียดต่างๆ และฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ Tdap Booster และ Polio พร้อมตรวจเลือดหาภูมิตับอักเสบเอ บี และอีสุกอีใส (ค่าเสียหาย 2700 บาทค่ะ)
จริงๆ แล้วเรื่องนี้สถานทูตไม่ถึงกับบังคับแค่บอกว่ามีวัคซีนใดที่ควรมี โดยให้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ที่ตรวจ แต่เราเห็นว่าเรื่องวัคซีน ฉีดไปคนที่ได้ประโยชน์ก็ตัวเราเองก็เลยจัดไปค่ะ
ถึงวันตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเริ่มตรวจ 7 โมงค่ะ ก็ไปถึงประมาณเจ็ดโมง ถ่ายรูปทำบัตรที่ชั้น 10 ประมาณ 3 นาที เสร็จแล้วก็ไปต่อที่ชั้น 15 ยื่นเอกสารนั่งรอประมาณ 15 นาที เขาก็เรียกไปวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และไม่นานก็ให้พบคุณหมอ คุณหมอก็ซักประวัติ ตรวจร่างกายเล็กน้อย ซักถามเรื่องประวัติการฉีดวัคซีน และสั่งให้ฉีดวัคซีน MMR (คางทูม บาดทะยัก คอตีบ) 1 เข็ม ราคา 650 บาท จากนั้นพยาบาลก็พาเราไปห้องตรวจเลือด (ซึ่งเขาตรวจซิฟิลิส หรือหนองในอย่างเดียวค่ะ) ไปเอ็กซเรย์ปอด แล้วก็ไปฉีดวัคซีนตามหมอสั่ง เป็นอันเสร็จสิ้น แล้วก็รอประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้รับเอกสารผลการตรวจคืน โดยเขาจะใส่เอกสารในซองสีน้ำตาลใหญ่ (ห้ามเปิดเด็ดขาด ต้องให้สถานทูตเปิด) และจะมีซองใส่ผลการตรวจสำหรับเราเก็บไว้อ้างอิงเองให้ดูค่ะ ในกรณีที่ร่างกายปกติ ใช้เวลาตรวจและรอเอกสารแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองค่ะ
4. ขั้นตอนการสัมภาษณ์ (เวลานัด 7.00 น. วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2558)
ก่อนวันสัมภาษณ์เราก็จัดเตรียมเอกสารใส่ไว้ในกระเป๋า จริงๆ ช่วงนี้งานยุ่งมากค่ะ เลยไม่มีเวลาจะมานั่งทำแฟ้มละเอียดๆ แบบที่ในเวบต่างๆ แนะนำ เราก็กวาดๆ เอกสารลงกระเป๋าไป ส่วนใหญ่ก็ยึดตามที่ทางแฟนส่งไว้ทางอเมริกา จริงๆ เราไม่ค่อยซีเรียสมากในขั้นตอนนี้ เพราะเราเองเป็นคนช่วยเตรียมเอกสารที่แฟนใช้ยื่นจากอเมริกาให้ ก็เลยมีเอกสารส่วนใหญ่อยู่แล้ว เอกสารที่เพิ่มมาจากที่แฟนยื่นจริงๆ ก็เป็นเรื่องหลักฐานเตรียมการแต่งงานค่ะ ได้แก่ Photo Book ภาพถ่าย Engagement Session (ประมาณ pre-wedding บ้านเรา) การ์ด Save the Date ที่ทำส่งเชิญคนต่างๆ ใบคอนเฟิร์มจ่ายมัดจำจองที่จัดงานเลี้ยง จอง Catering จองช่างภาพ ใบเสร็จซื้อชุดเจ้าสาว รูปตอนลองชุดเจ้าสาว กล่องใส่แหวนหมั้น รูปถ่ายล่าสุดตอนไปที่อเมริกามาเมื่อคริสมาสต์ 57 เราก็แพคทุกอย่างใส่กระเป๋าค่ะ
ถึงสถานทูต 7 โมงเป๊ะ ก็ได้ต่อคิวเดินเข้าเลยเพราะเป็นวีซ่า K เข้าไปปุ๊บ ก็ไปยื่นเอกสารที่ช่อง 1 เขาก็ขอเอกสารต่างๆ ตาม Package 4 และเอกสารแสดงความสัมพันธ์ซึ่งเราก็ส่งให้เขาไป จากนั้นก็นั่งรอ... และสักครึ่ง ชม. ช่อง 2 ก็เรียกสอบถามเพิ่ม ถามว่าตอนไปเรียนกลับมาปีไหน ก็ตอบไปค่ะ แล้วเขาก็ให้ไปนั่งรอสัมภาษณ์ที่ช่อง 5 มีคนนั่งรออยู่ประมาณ 4-5 คน สักประมาณครึ่ง ชม. ทางกงสุลอเมริกันก็เรียกไปสัมภาษณ์ โดยมีบทสัมภาษณ์สั้นมากจริงๆ ค่ะ ดังนี้
Consul: Have you read the information in this paper? (เขาให้เอกสารแผ่นสีเหลืองมาอ่านเรื่องการฟ้องร้องในกรณีมีการใช้กำลังในครอบครัว และการปรับสถานะต่าง) Do you have any question?
Me: Not really. I am just wondering how long it will take to get a work permit after the marriage.
Consul: I am so sorry this is subject to the homeland security. The consular cannot answer your question. I am really sorry.
Me: No problem.
Consul: So, do you remember when and how you met your fiance?
Me: June 2010. I went to Portland to do my Master's Degree and we were in the same cohort.
Consul: When did you start the romance relationship?
Me: Well, it actually happened naturally. But I would say June 2011.
Consul: When do you plan to arrive in the US and when your wedding will take place?
Me: I am flying to Portland in late August and the wedding will be on September 19th.
Consul: Ok. Wait a moment please.
(แล้วกงสุลก็พิมพ์ๆ ข้อมูลไปในคอมพ์สักพักก็บอก)
Consul: Alright. It will take 1 to 2 weeks to process your visa. Also, we have to cancel your tourist visa as you will get a fiance visa. It's all set.
Me: Thank you.
จบแล้วเราก็เดินกลับได้ค่ะ ไม่ต้องซื้อซองเพราะทางสถานทูตรวมค่าดำเนินการต่างๆ ไว้ในค่าวีซ่าแล้ว
เป็นอันจบกระบวนการค่ะ เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้เอง ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ ก็หวังว่าข้อมูลที่มาแชร์จะเป็นประโยชน์นะคะ ถ้าสงสัยก็สอบถามมาได้ ยินดีค่ะ