ชีวิตคนเรามักจะมีสิ่งพิเศษติดตัวมา เพียงแต่เราไม่สามารถดึงมันออกมาใช้ได้จนหมด เนื่องจากมันมีข้อจำกัดต่างๆ ทั้งสภาพร่างกายและ ความแข็งแรงทางจิตใจ เนื่องจากเรื่องราวความลับของร่างกายนั้น มันยากที่จะหยั่งถึงได้ โดยในที่นี้ เราจะมาพูดถึงกันเรื่องเหตุการณ์
“เดจาวู” ซึ่งถ้าให้พูดตามความจริงว่าเดจาวูนั้น มันก็คือการมองเห็นภาพ ซ้ำไปซ้ำมา โดยอาจเกิดขึ้นจริงก็ได้ หรือไม่จริงก็ได้ บางทีก็อาจจะเกิดมาจากจิตใต้สำนึก หรือการระลึกชาติในอดีต ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่มาจากความสามารถพิเศษของสมองเรา ซึ่งอาจจะอยู่ที่ขั้น 10-15 % เท่านั้น แต่อาจจะไม่ถึงขั้น 50% หรือ 100% เพราะถ้าบังคับได้ขนาดนั้น เราคงจะกลายเป็นคนเหนือมนุษย์ไปแล้ว โดยนักจิตวิทยาและแพทย์ผู้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ก็ได้ให้เวลาในการศึกษาทฤษฎีความเป็นไปได้ และได้สอบถามจากผู้ที่เป็นแบบนี้ และก็ได้คำตอบสรุปออกมา 4 ข้อว่า
1 ทฤษฎีอดีต
หรือก็สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต มันจะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีกในชาตินี้ ซึ่งมันจะรับรู้ได้จากคลื่นสมองของเรา ซึ่งเราสามารถบังคับได้ 10-15% แต่บางสิ่งก็อาจจะลืมเลือนได้ แล้วก็สามารถย้อนกลับมาเกิดอีก ได้เช่นกัน
2 ทฤษฎี พลังจิต
หรือก็คือ การบังคับสมองได้เกิน % ของมนุษย์ทั่วไปนั่นแหละ ซึ่ง เดจาวู นั้น ถือเป็นพลังจิตรูปแบบหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นทิพจักขุญาณ (ความรู้คล้ายตาทิพย์) ซึ่งได้มาจากการเจริญสมถะภาวนาในหมวดของกสิณ 3 กองคือ เตโชกสิณ (กสิณไฟ), โอทากสิณ (กสิณสีขาว) และ อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) จากทั้งหมด 10 กอง จนทำให้จิตและสมองเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นญาณได้ หรือถ้าในทางวิทยาศาสตร์จะเรียกว่า การสั่งการสมองได้มากขึ้นกว่ามนุษย์ปกตินั่นเอง ดูอย่าง นอสตราดามุส เป็นต้น ซึ่งเขาสามารถสั่งการสมองให้สามารถเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าเหตุการณ์ เดจาวู อย่างหนึ่ง
3 ทฤษฎี จักรวาลคู่ขนาน
โดยคนเราบางพวกเชื่อว่า โลกเรานั้นมีโลกคู่ขนานอีกโลกหนึ่ง หมายถึง จักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นั่นเอง ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมาว่า ถ้ามีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่ง แล้วถ้าลองมาคิดใหม่ว่า ถ้าวันนั้นเราติดสินใจเป็นอีกทางหนึ่งขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไร?
ทฤษฎีนี้ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การสร้างทฤษฎีการผันผวนของมิติเวลา ทุกๆเหตุการณ์ที่เรามีทางเลือก 2 ทาง ก็จะเกิดโลกคู่ขนานขึ้น 2 โลก และจาก 2 โลก ถ้าเราเจอเหตุการณ์อื่นที่ต้องตัดสินใจอีก 2 ทาง แต่ละโลก จะเกิดโลกคู่ขนานเพิ่มอีก 2 โลกเช่นกัน ทำจึงให้สามารถมองเห็นเดจาวูได้ ถ้าเราเลือกเดินทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง กล่าวก็คือ การที่เรารู้สึกหรือเห็นภาพที่คล้ายว่าเคยทำมาก่อน นั่นแหละ แสดงว่าคุณอีกโลกหนึ่งเคยทำจริง แต่ถ้าคุณในอีกโลกหนึ่งได้ทำไปก่อนแล้ว แสดงว่า คุณอาจจะยังไม่ได้ทำ ซึ่งคลื่นสมองมันจะส่งถึงกัน ทำให้เกิดเป็นภาพซ้อน
4 ทฤษฎี คิดไปเอง
มีหลักการวิทยาศาสตร์ ที่เราสามารถสร้างความคิดเป็นของตัวเองได้ และเชื่อว่ามันเป็นความจริง ดูตัวอย่างเช่นความฝัน ซึ่งก็สามารถทำให้เกิดเดจาวูขึ้นได้ โดยเกิดจากสมองแปลข้อมูลผิดพลาด ทำให้รู้ว่าคิดไปเอง ทั้งๆที่มันไม่มีจริง
ที่มา :: 6zac.com
TeeNee.com
http://variety.teenee.com/foodforbrain/67232.html
เดจาวู! ทฤษฎีภาพซ้อน หรือ ย้อนอดีต!
ชีวิตคนเรามักจะมีสิ่งพิเศษติดตัวมา เพียงแต่เราไม่สามารถดึงมันออกมาใช้ได้จนหมด เนื่องจากมันมีข้อจำกัดต่างๆ ทั้งสภาพร่างกายและ ความแข็งแรงทางจิตใจ เนื่องจากเรื่องราวความลับของร่างกายนั้น มันยากที่จะหยั่งถึงได้ โดยในที่นี้ เราจะมาพูดถึงกันเรื่องเหตุการณ์ “เดจาวู” ซึ่งถ้าให้พูดตามความจริงว่าเดจาวูนั้น มันก็คือการมองเห็นภาพ ซ้ำไปซ้ำมา โดยอาจเกิดขึ้นจริงก็ได้ หรือไม่จริงก็ได้ บางทีก็อาจจะเกิดมาจากจิตใต้สำนึก หรือการระลึกชาติในอดีต ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่มาจากความสามารถพิเศษของสมองเรา ซึ่งอาจจะอยู่ที่ขั้น 10-15 % เท่านั้น แต่อาจจะไม่ถึงขั้น 50% หรือ 100% เพราะถ้าบังคับได้ขนาดนั้น เราคงจะกลายเป็นคนเหนือมนุษย์ไปแล้ว โดยนักจิตวิทยาและแพทย์ผู้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ก็ได้ให้เวลาในการศึกษาทฤษฎีความเป็นไปได้ และได้สอบถามจากผู้ที่เป็นแบบนี้ และก็ได้คำตอบสรุปออกมา 4 ข้อว่า
1 ทฤษฎีอดีต
หรือก็สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต มันจะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีกในชาตินี้ ซึ่งมันจะรับรู้ได้จากคลื่นสมองของเรา ซึ่งเราสามารถบังคับได้ 10-15% แต่บางสิ่งก็อาจจะลืมเลือนได้ แล้วก็สามารถย้อนกลับมาเกิดอีก ได้เช่นกัน
2 ทฤษฎี พลังจิต
หรือก็คือ การบังคับสมองได้เกิน % ของมนุษย์ทั่วไปนั่นแหละ ซึ่ง เดจาวู นั้น ถือเป็นพลังจิตรูปแบบหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นทิพจักขุญาณ (ความรู้คล้ายตาทิพย์) ซึ่งได้มาจากการเจริญสมถะภาวนาในหมวดของกสิณ 3 กองคือ เตโชกสิณ (กสิณไฟ), โอทากสิณ (กสิณสีขาว) และ อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) จากทั้งหมด 10 กอง จนทำให้จิตและสมองเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นญาณได้ หรือถ้าในทางวิทยาศาสตร์จะเรียกว่า การสั่งการสมองได้มากขึ้นกว่ามนุษย์ปกตินั่นเอง ดูอย่าง นอสตราดามุส เป็นต้น ซึ่งเขาสามารถสั่งการสมองให้สามารถเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าเหตุการณ์ เดจาวู อย่างหนึ่ง
3 ทฤษฎี จักรวาลคู่ขนาน
โดยคนเราบางพวกเชื่อว่า โลกเรานั้นมีโลกคู่ขนานอีกโลกหนึ่ง หมายถึง จักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นั่นเอง ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมาว่า ถ้ามีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่ง แล้วถ้าลองมาคิดใหม่ว่า ถ้าวันนั้นเราติดสินใจเป็นอีกทางหนึ่งขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไร?
ทฤษฎีนี้ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การสร้างทฤษฎีการผันผวนของมิติเวลา ทุกๆเหตุการณ์ที่เรามีทางเลือก 2 ทาง ก็จะเกิดโลกคู่ขนานขึ้น 2 โลก และจาก 2 โลก ถ้าเราเจอเหตุการณ์อื่นที่ต้องตัดสินใจอีก 2 ทาง แต่ละโลก จะเกิดโลกคู่ขนานเพิ่มอีก 2 โลกเช่นกัน ทำจึงให้สามารถมองเห็นเดจาวูได้ ถ้าเราเลือกเดินทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง กล่าวก็คือ การที่เรารู้สึกหรือเห็นภาพที่คล้ายว่าเคยทำมาก่อน นั่นแหละ แสดงว่าคุณอีกโลกหนึ่งเคยทำจริง แต่ถ้าคุณในอีกโลกหนึ่งได้ทำไปก่อนแล้ว แสดงว่า คุณอาจจะยังไม่ได้ทำ ซึ่งคลื่นสมองมันจะส่งถึงกัน ทำให้เกิดเป็นภาพซ้อน
4 ทฤษฎี คิดไปเอง
มีหลักการวิทยาศาสตร์ ที่เราสามารถสร้างความคิดเป็นของตัวเองได้ และเชื่อว่ามันเป็นความจริง ดูตัวอย่างเช่นความฝัน ซึ่งก็สามารถทำให้เกิดเดจาวูขึ้นได้ โดยเกิดจากสมองแปลข้อมูลผิดพลาด ทำให้รู้ว่าคิดไปเอง ทั้งๆที่มันไม่มีจริง
ที่มา :: 6zac.com
TeeNee.com
http://variety.teenee.com/foodforbrain/67232.html