30 มีนาคม 2558 09:25
MCS กลุ่มทุนญี่ปุ่นจ่อเทก ตั้งราคาสูงลิ่ว-งบทำสถิติ
ทันหุ้น- วิเคราะห์ MCS ติดปีกทุนใหญ่ญี่ปุ่นเจรจาเทกโอเวอร์ ตั้งราคาขอซื้อ 12-12.50 บาทต่อหุ้น ชี้ทุนใหม่ได้รับอนุมัติเงินกู้จากสถาบันการเงินกว่า 5-6 พันล้านบาทเพื่อการลงทุนครั้งนี้ พร้อมลุยงานประมูลโครงการใหญ่ภาครัฐ ส่วนปี 2558 กำไรทุบสถิติ ออเดอร์ล้นดัน Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.3 แสนตัน ติดชาร์ตหุ้นแกร่ง ทุนหนา D/Eต่ำ
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ เปิดเผยกับ “หนังสือพิมพ์รายวันทันหุ้น”ว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวจากห้องค้าว่า กลุ่มทุนใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าซื้อหุ้น และ ซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS ซึ่งกลุ่มทุนญี่ปุ่นรายนี้ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ที่มีสาขากระจายในทวีปเอเซีย และสหรัฐอเมริกา รวมถึงปัจจุบันยังเป็นคู่ค้ารายสำคัญกับ MCS ด้วย
ทุนญี่ปุ่นจ้องMCS
ทั้งนี้หากย้อนกลับไปดู บริษัทรับเหมารายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นคู่ค้ากับ MCS มีดังต่อไปนี้ บริษัท คาจิมา คอร์ปเปอร์เรชั่น จำกัด (คู่ค้าอันดับ 1 คิดเป็น 70-80% ของรายได้รวมของ MCS ) , บริษัท โอบายาชิ คอร์ปเปอร์เรชั่น จำกัด และ บริษัทชิมิสุ จำกัด
นอกจากนี้กลุ่มทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามานั้นได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้จากสถาบันการเงินในญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับวงเงินล่าสุดที่ 5-6 พันล้านบาท โดยได้แจ้งรายละเอียดในการขอสินเชื่อครั้งนี้ว่า 1. เพื่อขยายกิจการด้วยการเทกโอเวอร์ หรือร่วมทุนกับบริษัทต่างประเทศเพื่อใช้เป็นกลไกลในงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และ 2. เพื่อร่วมทุนกับผู้รับเหมารายใหญ่ในไทยเพื่อเข้ารับโปรเจ็กต์ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ งานถนน สะพาน และ การบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น
“ กลุ่มทุนญี่ปุ่นรายนี้เคยมีโอกาส Joint Venture กับ บริษัทรับเหมาใหญ่ในไทย เพื่อรับงานก่อสร้างภายใต้โครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศมาแล้ว อาทิ งานบริหารจัดการน้ำ รถไฟฟ้า ถนน และ สะพาน เป็นต้น” แหล่งข่าว กล่าว
ไล่เก็บหุ้น-เสนอซื้อ12.50บ.
สำหรับวัตถุประสงค์ที่กลุ่มทุนญี่ปุ่น เลือก MCS เพราะเป็นพันธมิตรคู่ค้ากับมาเป็นเวลานาน และ เป็นผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรายใหญ่อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น ด้วยกำลังผลิต 70,000 ตันต่อปี และกำลังขึ้นเป็น 1 แสนตันต่อปี ( อันดับที่ 2 คือ KAWADA KOGYO และ YAMANE TEKKO KENSETSU ด้วยกำลังผลิต 60,000 ตันต่อปีต่อแห่ง) และ ที่สำคัญ MCS มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในไทยบนเนื้อที่ 289 ไร่ ซึ่งสามารถรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศและต่างประเทศพร้อมกันได้
โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่ากลุ่มทุนญี่ปุ่นจะเข้ามาเจรจากับ MCS ภายในเดือน เมษายน 2558 พร้อมทั้งเสนอซื้อหุ้น MCS ในระดับราคา 12-12.50 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ดีที่ผ่านมากลุ่มทุนญี่ปุ่นได้ทะยอยไล่เก็บหุ้น MCS บนกระดาษไปบางส่วนแล้ว ดังนั้นหากการเจรจาเป็นผลสำเร็จและนำไปสู่การร่วมทุนจริง
ดังนั้นฝ่ายวิจัยมองว่าจะเกิดการปรับโครงสร้างกลุ่มผู้ถือหุ้นของ MCS รวมไปถึงจะเห็นการ “จัดตั้งบริษัทร่วมทุน” ด้วย โดยประเด็นข่าวดังกล่าว ฝ่ายวิจัยขอทำการยืนยันจากกลุ่มผู้บริหาร MCS อีกครั้งหนึ่งก่อน แต่หากมองเฉพาะพื้นฐานของ MCS มีความแข็งแกร่งมาก มีกระแสเงินสดสูง 600-700 ล้านบาท อัตราหนี้สินต่อหุ้น (D/E) ต่ำ 0.28 เท่า มาร์จิ้นเฉลี่ย 30% และกำไรกำลังเทิร์นอะราวด์ แนะนำ “ซื้อสะสม”
โชว์งบทำสถิติ
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัย “เพิ่มน้ำหนัก” ลงทุน MCS มั่นใจปี 2558 พลิกฟื้นแรงและดีต่อเนื่องในระยะยาว ด้วยแรงสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่แนวโน้มดีขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่มผู้รับเหมาในญี่ปุ่นสั่งออเดอร์เข้ามาจำนวนมากจนส่งผลให้ยอด Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.3 แสนตัน
โดย Backlog ที่สามารถรองรับรายได้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดส่งมอบในปี 2558 ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นตัน อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกในระยะยาวจากปริมาณงานที่จะเข้ามาเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี 2560 เพื่อใช้สำหรับการก่อสร้างสนามกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น ฝ่ายวิจัยจึงเชื่อว่าผลประกอบการของ MCS จะกลับเข้าสู่ “วัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่” อีกครั้ง
อย่างไรก็ดีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมีเพียงการอ่อนค่าของเงินเยน (ตรงกันข้ามเงินบาทจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับเยน) เนื่องจากรายได้หลักมากกว่า 90% ของ MCS อยู่ในสกุลเงินเยน จึงได้รับผลกระทบเชิงลบเมื่อแปลงค่าเงินกลับมาเป็นรูปเงินบาท อย่างไรก็ตาม การขยับราคาขายสำหรับงานรอส่งมอบใหม่
รวมไปถึง MCS มีต้นทุนเหล็กในรูปสกุลเงินเยนอยู่ราว 60% ของต้นทุนรวม (Natural Hedging) จึงคาดว่าอัตราการทำกำไรโดยรวมของ MCS ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ปี 2558 คาดกำไรสุทธิจะสูงในรอบหลายปีที่ 413 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 2.7 พันล้านบาท และปี 2559 คาดกำไรสุทธิที่ 461 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 3.03 พันล้านบาท แนะนำ “ซื้อ”
http://www.thunhoon.com/colum/24073/24073.html
MCS กลุ่มทุนญี่ปุ่นจ่อเทก ตั้งราคาสูงลิ่ว-งบทำสถิติ
MCS กลุ่มทุนญี่ปุ่นจ่อเทก ตั้งราคาสูงลิ่ว-งบทำสถิติ
ทันหุ้น- วิเคราะห์ MCS ติดปีกทุนใหญ่ญี่ปุ่นเจรจาเทกโอเวอร์ ตั้งราคาขอซื้อ 12-12.50 บาทต่อหุ้น ชี้ทุนใหม่ได้รับอนุมัติเงินกู้จากสถาบันการเงินกว่า 5-6 พันล้านบาทเพื่อการลงทุนครั้งนี้ พร้อมลุยงานประมูลโครงการใหญ่ภาครัฐ ส่วนปี 2558 กำไรทุบสถิติ ออเดอร์ล้นดัน Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.3 แสนตัน ติดชาร์ตหุ้นแกร่ง ทุนหนา D/Eต่ำ
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ เปิดเผยกับ “หนังสือพิมพ์รายวันทันหุ้น”ว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวจากห้องค้าว่า กลุ่มทุนใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าซื้อหุ้น และ ซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS ซึ่งกลุ่มทุนญี่ปุ่นรายนี้ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ที่มีสาขากระจายในทวีปเอเซีย และสหรัฐอเมริกา รวมถึงปัจจุบันยังเป็นคู่ค้ารายสำคัญกับ MCS ด้วย
ทุนญี่ปุ่นจ้องMCS
ทั้งนี้หากย้อนกลับไปดู บริษัทรับเหมารายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นคู่ค้ากับ MCS มีดังต่อไปนี้ บริษัท คาจิมา คอร์ปเปอร์เรชั่น จำกัด (คู่ค้าอันดับ 1 คิดเป็น 70-80% ของรายได้รวมของ MCS ) , บริษัท โอบายาชิ คอร์ปเปอร์เรชั่น จำกัด และ บริษัทชิมิสุ จำกัด
นอกจากนี้กลุ่มทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามานั้นได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้จากสถาบันการเงินในญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับวงเงินล่าสุดที่ 5-6 พันล้านบาท โดยได้แจ้งรายละเอียดในการขอสินเชื่อครั้งนี้ว่า 1. เพื่อขยายกิจการด้วยการเทกโอเวอร์ หรือร่วมทุนกับบริษัทต่างประเทศเพื่อใช้เป็นกลไกลในงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และ 2. เพื่อร่วมทุนกับผู้รับเหมารายใหญ่ในไทยเพื่อเข้ารับโปรเจ็กต์ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ งานถนน สะพาน และ การบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น
“ กลุ่มทุนญี่ปุ่นรายนี้เคยมีโอกาส Joint Venture กับ บริษัทรับเหมาใหญ่ในไทย เพื่อรับงานก่อสร้างภายใต้โครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศมาแล้ว อาทิ งานบริหารจัดการน้ำ รถไฟฟ้า ถนน และ สะพาน เป็นต้น” แหล่งข่าว กล่าว
ไล่เก็บหุ้น-เสนอซื้อ12.50บ.
สำหรับวัตถุประสงค์ที่กลุ่มทุนญี่ปุ่น เลือก MCS เพราะเป็นพันธมิตรคู่ค้ากับมาเป็นเวลานาน และ เป็นผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรายใหญ่อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น ด้วยกำลังผลิต 70,000 ตันต่อปี และกำลังขึ้นเป็น 1 แสนตันต่อปี ( อันดับที่ 2 คือ KAWADA KOGYO และ YAMANE TEKKO KENSETSU ด้วยกำลังผลิต 60,000 ตันต่อปีต่อแห่ง) และ ที่สำคัญ MCS มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในไทยบนเนื้อที่ 289 ไร่ ซึ่งสามารถรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศและต่างประเทศพร้อมกันได้
โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่ากลุ่มทุนญี่ปุ่นจะเข้ามาเจรจากับ MCS ภายในเดือน เมษายน 2558 พร้อมทั้งเสนอซื้อหุ้น MCS ในระดับราคา 12-12.50 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ดีที่ผ่านมากลุ่มทุนญี่ปุ่นได้ทะยอยไล่เก็บหุ้น MCS บนกระดาษไปบางส่วนแล้ว ดังนั้นหากการเจรจาเป็นผลสำเร็จและนำไปสู่การร่วมทุนจริง
ดังนั้นฝ่ายวิจัยมองว่าจะเกิดการปรับโครงสร้างกลุ่มผู้ถือหุ้นของ MCS รวมไปถึงจะเห็นการ “จัดตั้งบริษัทร่วมทุน” ด้วย โดยประเด็นข่าวดังกล่าว ฝ่ายวิจัยขอทำการยืนยันจากกลุ่มผู้บริหาร MCS อีกครั้งหนึ่งก่อน แต่หากมองเฉพาะพื้นฐานของ MCS มีความแข็งแกร่งมาก มีกระแสเงินสดสูง 600-700 ล้านบาท อัตราหนี้สินต่อหุ้น (D/E) ต่ำ 0.28 เท่า มาร์จิ้นเฉลี่ย 30% และกำไรกำลังเทิร์นอะราวด์ แนะนำ “ซื้อสะสม”
โชว์งบทำสถิติ
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัย “เพิ่มน้ำหนัก” ลงทุน MCS มั่นใจปี 2558 พลิกฟื้นแรงและดีต่อเนื่องในระยะยาว ด้วยแรงสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่แนวโน้มดีขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่มผู้รับเหมาในญี่ปุ่นสั่งออเดอร์เข้ามาจำนวนมากจนส่งผลให้ยอด Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.3 แสนตัน
โดย Backlog ที่สามารถรองรับรายได้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดส่งมอบในปี 2558 ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นตัน อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกในระยะยาวจากปริมาณงานที่จะเข้ามาเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี 2560 เพื่อใช้สำหรับการก่อสร้างสนามกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น ฝ่ายวิจัยจึงเชื่อว่าผลประกอบการของ MCS จะกลับเข้าสู่ “วัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่” อีกครั้ง
อย่างไรก็ดีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมีเพียงการอ่อนค่าของเงินเยน (ตรงกันข้ามเงินบาทจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับเยน) เนื่องจากรายได้หลักมากกว่า 90% ของ MCS อยู่ในสกุลเงินเยน จึงได้รับผลกระทบเชิงลบเมื่อแปลงค่าเงินกลับมาเป็นรูปเงินบาท อย่างไรก็ตาม การขยับราคาขายสำหรับงานรอส่งมอบใหม่
รวมไปถึง MCS มีต้นทุนเหล็กในรูปสกุลเงินเยนอยู่ราว 60% ของต้นทุนรวม (Natural Hedging) จึงคาดว่าอัตราการทำกำไรโดยรวมของ MCS ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ปี 2558 คาดกำไรสุทธิจะสูงในรอบหลายปีที่ 413 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 2.7 พันล้านบาท และปี 2559 คาดกำไรสุทธิที่ 461 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 3.03 พันล้านบาท แนะนำ “ซื้อ”
http://www.thunhoon.com/colum/24073/24073.html