ช่วงต้นเดือนมีนาคม
ต้องไปดูงานกับคุณสามีที่โตเกียวประมาณสามสี่วัน เหลือเวลาว่างแค่สามวัน ศุกร์เสาร์อาทิตย์ เลยอยากไปพักผ่อนกันสองต่อสองเที่ยวเล่นก่อนกลับเมืองไทย
ไฟลต์วันจันทร์
ทีนี้ก็เคยไปโตเกียวกันมาหลายรอบแล้ว จนเบื่อสถานที่เที่ยวฮิตๆ แบบชาวต่างชาติ เบื่อชอปปิ่ง เบื่อหาที่กินไฮโซตามรอยชาวบ้าน
ไปครั้งนี้จึงขอลุยธรรมชาติ แช่น้ำพุร้อนชิลล์ๆ สลับกับไปเรียนสกีออกกำลังกาย
พักผ่อนแบบครอบครัวญี่ปุ่นจริงๆ ให้หนำใจ
โจทย์คือ
- เดินทางจากโตเกียว ไม่ควรใช้เวลาเกิน 2-3 ชั่วโมง เพราะไม่อยากเสียเวลาเดินทางมากเกินไป
- เดินทางด้วย JR Kanto Area Pass ได้ นั่งรถไฟชินกันเซ็นได้ (ตั๋ว JR ที่เดินทางแถบ Kanto ไปไหนก็ได้ ด้วยราคา 8,300 JPY (ใช้ได้ไม่เกิน 3 วัน)
- ที่พักในโตเกียวอยู่ย่านอุเอโนะ Ueno หาเส้นทางที่เดินทางได้สะดวกด้วย Shinkansen JR Ueno Station
- มีอนเซ็นแบบกลางแจ้งให้แช่ (Rotemburo) และต้องเป็นแบบบ่อรวม ชายหญิง (mixed-onsen) เพราะปีที่แล้วเคยไปฮันนีมูนที่ คิโนะซากิ เมืองอนเซ็น Kinosaki-onsen แต่ต่างคนต่างแช่ บางทีก็เบื่อๆ รอบนี้เลยหาที่ทีจะได้แช่ด้วยกัน คุยไปแช่ไปชมธรรมชาติด้วยกัน จะได้ไม่เหงา
- มีกิจกรรมสนุกๆ ให้เล่นมากกว่า การเอาแต่แช่อนเซ็น เช่น เล่นสกี (คุณแฟนรีเควสท์มาเลย)
ค้นคว้าวิจัยด้วยเวลาอันสั้น ก็เจอโซน Hakone แถวภูเขาฟูจิ / จังหวัด กุนมะ Gunma (เมือง Minakami-Takaragawa Onsen) อ่านไปอ่านมาก็ไปเมืองแปลกๆ เลือกจากรีวิว ถามเพื่อนๆ ที่เคยไปก็สรุปได้ที่ Takaragawa Onsen ที่ราคาที่พักไม่เหนื่อยมากนัก เลือกแบบ 3 วัน 2 คืน มีห้องสุขาในห้องนอน (บางแบบก็มีห้องอาบน้ำ แต่ไม่จำเป็น มานี่ได้อาบน้ำกลางแจ้งทั้งวันก็โอเคสำหรับเราแล้ว) แถมยังนั่งชินคันเซ็นมาได้ถึงป้าย JR Jomokogen ด้วย (ป้ายสุดท้ายที่ชินคันเซ็นแบบ JR Area Pass จะมาได้ถึง)
และได้รับคำยืนยันจากเพื่อนคนเยอรมันที่เพิ่งจะมาเที่ยวที่นี่กับแฟน เมื่อสองอาทิตย์ก่อน หลังไมค์คุยกับคุณเพื่อนเชียร์เต็มที่ว่ามาเถอะ ที่นี่แจ่มจริง
โปรแกรมที่วางไว้คือ
(พฤหัส) : จัดการเรื่องตั๋วรถไฟ ตั๋ว JR Kanto Area Pass ให้เรียบร้อย
ไป JR Ueno Station เพื่อซื้อ JR Kanto Area Pass ที่ "View Plaza" อยู่ในโซนที่ซื้อตั๋วพวก JR แสดงพาสปอร์ต
และ จ่ายเงิน 8,300 JPY แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการเริ่มใช้บัตรนี้ตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ อย่าลืมตรวจวันที่บนหน้าบัตรให้ดี
เมื่อได้แล้ว ก็ขอจองตั๋วรถไฟชินกันเซ็นต่อเลย JR Ueno-->JR Jomokogen จริงๆ ไม่ต้องจองก็ได้
แต่จะได้ชัวร์ว่าได้ที่นั่งแน่ๆ ไม่ต้องลุกลี้ลุกลนตามหาโบกี้ที่เป็นแบบ non-reserved ขึ้นรถไฟสวยๆ ด้วยตั๋ว reserved จะอุ่นใจกว่า
ถ้ามั่นใจแล้วว่าจะกลับชัวร์วันไหนรอบไหน ก็เคลียร์เรื่องตั๋วเดินทางกลับด้วยก็ดี จะได้ที่นั่งสบายๆ ไม่เบียดใคร ไม่ต้องจองระยะกระชั้นชิดมากไป (ชินคันเซ็นจะมีสองชั้น เวลานั่งชั้นล่างจะสบายๆ แต่พอได้นั่งชั้นบนทีไร ลงมาแล้วมึนๆ ทุกที)
ศุกร์ : (ตั้งแต่วันนี้เราใช้ตั๋ว JR ฟรี ทั้งวันต้องใช้ให้คุ้ม) เช้า แวบไปทำธุระข้างนอก เที่ยงก็กลับมาที่พัก จัดการฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่ที่พักเดิมทั้งหมด (Oak Hostel Zen) เพราะขากลับเราก็จะกลับมานอนที่เดิม การปักหลักเลือกนอนที่ใดที่หนึ่งช่วยให้ไม่ปวดหัวต้องเช็คอินเช็คเอาท์ เก็บกระเป๋า ย้ายของ บ่อยๆ
รถไฟชินกันเซ็นออกจากสถานี Ueno--> JR Jomokogen เที่ยง 12.46 นาที ไปถึงสถานีโจโมโคเก็น 13.54 น.
ข้างบนนั้นคือตามแผนที่วางไว้ แต่ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ช่วง 11.30 ขณะที่กำลังนั่งรถไฟสาย Yamanote Line กลับที่พักแถว Ueno จู่ๆ รถไฟก็ไม่ไปไหน มีเสียงประกาศยาวๆๆเป็นภาษาญี่ปุ่น และภาพคนในรถไฟบางคนเดินออกจากรถไฟ ได้ความว่า เกิดอุบัติเหตุขึ้น ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า จิ๊โขะ (Jiko) คาดเดาได้ว่ามีคนโดนรถไฟชน (ด้วยสาเหตุใดไม่ทราบ จะอุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตายก็ไม่รู้ได้) ประกาศว่ารถไฟจะขยับได้อีกทีก็ 12.00 น.
ตอนนั้นทำเอาหน้าซีดกันแล้วว่ามีแววจะตกรถไฟชินคันเซ็นไหมหนอ….เตรียมคำนวณเส้นทางใหม่ หรือจะกระโดดขึ้นรถไฟใต้ดิน เปลี่ยนแผนดี ปรึกษาคนญี่ปุ่นตรงนั้นเลยว่าตอน 12.46 ฉันจะต้องไปขึ้นชินคันเซ็นแล้วนะ มีใครประเมินสถานการณ์ให้ได้ไหม หลายคนก็ช่วยเหลือ มาช่วยนึกวิธีเดินทางให้เราว่า รอตรงนี้เหอะ เปลี่ยนสายก็ใช้เวลาไม่ต่างกัน -_-‘
โชคดีที่ … อีกแค่ไม่กี่นาทีรถไฟก็ขยับตัวได้ มุ่งสู่สถานีที่เราพัก JR Uguisudani เดินออกมาบนชานชาลา ก็โล่งใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาละ ก็พลันหันไปเห็น เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ หน่วยกู้ภัยหลายคน กำลังเดินเป็นแถวยาว ถือผ้าใบสีฟ้าผืนใหญ่ (คือเห็นในทีวีบ่อยๆ ก็รู้ว่านั่นคือร่างผู้เสียชีวิต) ยืนขนลุกไว้อาลัยกับแฟน หันไปมุงดูกับคนญี่ปุ่นเสร็จยังเห็นคราบเลือดเกาะหน้ารถไฟอยู่เลย กรี๊ด…
ก็รีบบึ่งวิ่งกลับไปที่โฮสเทล เพื่อเคลียร์เรื่องฝากกระเป๋าเช็คเอาท์ แผนเดิมต้องเดินทางจาก JR Uguisudani → JR Ueno เพราะจะได้ JR Pass ฟรี แต่ไม่กล้าเสี่ยงแล้ว เผื่อปุบปับปิดเส้นทางไม่ให้รถไฟวิ่ง จึงต้องย้ายลงไปเดินทาง (แบบเสียเงิน) เดินมาขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Iriya → Ueno 12.10 ก็สแตนด์บายพร้อมขึ้นชินกันเซ็น
เดินผ่านร้านขนมปังโคตรหอมที่ชื่อ Anderson ก็ซึ่อขนมปังตุนเป็นเสบียง นั่งจิบขนมปัง ซุป กาแฟ เพลิดเพลินกับความเอร็ดอร่อยกับกลิ่นอายของขนมและเพลงคลาสสิคที่บรรเลงไปทั่วร้าน ตาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือว่าอีกนานกว่าจะถึงเวลา 12.46
พอดูนาฬิกาได้ 12.30 ก็เก็บข้าวของ เดินเตรียมเข้าสถานีรถไฟ แต่ดันทำ JR Pass หายหาไม่เจอ (จริงๆเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ) ผ่านไปอีกห้านาที
พอยื่นตั๋วให้ด่านแรกของ JR เจ้าหน้าที่บอกไม่มีเวลาแล้ว ตอนนี้มัน 12.42 แล้วนะให้ไวเลย (เพิ่งรู้ตอนนั้นว่านาฬิกาข้อมือเดินช้าไปห้านาที) คุณเจ้าหน้าที่JRสาวหน้าใส ชี้แขนบอกสถานีชินกันเซ็นอยู่โน่นนนนเลยนะ ชานชาลา 21
เท่านั้นแหละ หัวใจวายไปถึงตาตุ่ม วิ่งตับแลบ จากจิบซุปกินขนมปังสวยๆ เปลี่ยนโหมดมา หิ้วกระเป๋าหน้าตั้ง พอวิ่งไปเกือบถึงชินกันเซ็นจอดเปิดประตูพอดี พอกระโดดขึ้นรถได้ไม่ถึงสิบห้าวินาที ประตูรถไฟก็ปิดและออกเดินทางต่อทันที….. เกือบตกรถไฟแล้วเรา (คือถ้าพลาดรอบนี้ ก็ไปต่อไม่เป็นเลย เพราะรถของโรงแรมจะมารับแค่วันละหนึ่งรอบ)
ไปถึงที่หมายตรงเวลา 13.54 น.
เดินออกมาที่หน้าสถานีรถไฟ ก็เจอกับรถตู้จอดเรียงรายรอรับชาวคณะชินกันเซ็น ทุกคนที่ลงรถไฟคันนี้หน้าตาอิ่มเอม เตรียมมุ่งหน้าสู่การแช่บ่อน้ำพุร้อน …นั่งหลับสัปหงกในรถต่ออีกเกือบชั่วโมง ลัดเลาะตามเขา จนได้เจอหิมะซะที ห่างจากโตเกียวไม่มาก แต่เหมือนได้หลุดมาอีกโลกเลย มาถึงที่พักที่ชื่อ
Takaragawa Onsen
http://www.takaragawa.com/english.html
ที่พักขนาดไม่เล็ก คนละเรื่องกับที่ไปคิโนซะกิ Kinosaki Onsen (ที่นั่น ปีที่แล้วไปพักที่ Kojinmari ออกแนวไพรเวทสุดๆ ขึ้นอันดับ1 ของ Trip Advisor แต่สำหรับคนญี่ปุ่นเราว่าไม่ได้ไปมาก มีแต่ต่างชาติมากกว่า) โรงแรมที่ทาคาระกะวะ เป็นแนว Mass ปริมาณห้องพักเยอะมากๆ คนก็มาพักเยอะ แต่ด้วยสไตล์การจัดโรงแรม ไม่ได้จัดทุกห้องมากินรวมกัน จึงยังมีความส่วนตัวอยู่เยอะ (ที่สำคัญพอเป็น mass ราคาก็ถูกกว่ามาก)
ราคาที่พักสามวันสองคืน รวมอาหารเช้า อาหารเย็นอยู่ที่ 51,000 JPY สำหรับเราสองคน (ประมาณ 13,900 บาท) ตกคืนละ 3,485 บาท (ต่อคน) กินอยู่อย่างพระราชา เพราะอาหารแบบคอร์สอิ่มๆ (โคตรๆ)
เปลี่ยนรองเท้ามานั่งรอใน Lobby โรงแรม front บริการแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ทยอยแจกกุญแจห้อง อธิบายเรื่องอาหารเช้า เลือกเวลาที่ต้องการทานอาหารเย็น (มีเป็นรอบ 18.00 18.15 18.30 18.45 19.00) เพราะที่นี่บริการอาหารเย็นแบบจัดเต็ม บุคลากรอาจไม่พอถ้าจู่ๆ จะทานเวลาเดียวกันหมด เลือกแล้วจัดการเวลาให้ตรงต่อเวลา ไปเร็วไปหรือไปช้าไปอาจทำให้บริการเขาปั่นป่วนได้
16.30 เข้าห้องพัก เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า
ตะลุยสวนน้ำร้อนอนเซ็น อุณหภูมินอกห้องประมาณ 5-6 องศา ก็ต้องทำใจเตรียมใจก่อนออกไป สวมรองเท้าบู๊ธยางที่โรงแรมเตรียมไว้ตะลุยแช่ทีละบ่อ ทีละบ่อ จนครบสามบ่อ (สำหรับผู้หญิง หากแช่บ่อรวม มีชุดคล้ายผ้าถุง ไว้ให้ แต่ถ้าแช่บ่อ ญ ล้วน ต้องถอดหมดค่ะ)
เป็นครั้งแรกตั้งแต่ไปๆมาๆ ประเทศนี้เกือบสิบปี เป็นครั้งแรกที่ได้แช่บ่อรวม กรี๊ด…. ผู้ชายแต่ละคนพกผ้าผืนเล็กๆ กันมาทั้งนั้น ตาลุงบางคนก็เดินโทงๆ ไม่ปิดกันเลย -_-‘ เฮือก คุณสามีบอกไม่แฟร์เลย เธอได้ดูกล้ามล่ำๆ ของผู้ชาย แต่ตัวเองไม่ได้ดูของสาวๆ บ้าง 555
เลือกเวลาทานข้าวไว้ที่ 18.30 แต่แช่น้ำกันตัวเปือย หิวมากก ขากลับเลยแวะที่ฟร้อนต์ถามเขาว่าถ้าขอเลื่อนมากินตอน 18.00 ได้ไหม…. เจ้าหน้าที่กางโพยมาดู ตอบ ไม่ได้ แต่ว่างตอน 18.15 นะเอาไหม โอเค อย่างน้อยก็เร็วขึ้นมาได้อีกนิดนึง
อาหารเย็นเสิร์ฟแบบจัดเต็มมาก full course อิ่มจนแทบจะคลาน กลับขึ้นห้อง สแตนด์บายพร้อมสำหรับ
รอบดึกสองทุ่มครึ่ง... ก็พากันลงบ่ออีกรอบ รอบดึกท่ามกลางหิมะโปรยปราย ... มันฟินมาก
นอนชาร์ตแบตเก็บแรงกันไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น ก่อนนอนแอบขอ Steamer ตัวทำไอน้ำ (แบบใส่น้ำ เสียบปลั๊ก) พ่นไอน้ำปุดๆ ให้ความชุ่มชื้นไปทั่วๆ ห้อง ช่วงฤดูหนาว อากาศจะแห้งมากๆ ชอบเจ็บคอ กลัวป่วยเลยขอยืมจากโรงแรมมาเปิดตอนนอนทิ้งไว้
...ตื่นมาหกโมงครึ่ง วิ่งฝ่าความหนาว ไปแช่อนเซ็นกันอีก รอบเช้าต้องทำเวลาเลยลงแค่บ่อเดียว แล้วกลับมาจบด้วยบ่อในร่ม (ชั้นล่างในบริเวณโรงแรม) อาบน้ำเสร็จ ประหยัดเวลาไม่ต้องกลับห้อง ก็ลากเกี๊ยะใส่ชุดยูกะตะ เข้าไปนั่งหม่ำอาหารเช้าเลย (ห้องรวม) ก่อนเดินเข้าไปในห้อง คุณป้าโอเน่ซัง ถามว่ามาจากห้องไหน ตอบไปว่าห้อง Hagi ค่าา (ควรจำชื่อห้องตัวเองให้ได้) เมื่อวานที่ฟร้อนต์ถามแล้วว่าจะรับ washoku (วะโชขุ แปลว่า อาหารญี่ปุ่น) หรือ yoshoku (โยโชขุ อาหารฝรั่ง) สั่งกันไปคนละชุดสลับวันกัน จะได้แอบขโมยกินกันได้.... อิ่มจนท้องปริแบบหนำใจ
8.00 สแตนด์บายที่ห้อง แต่งตัวพร้อมสำหรับไปเล่นสกี
คุณผู้หญิงก็เริ่มจาก
ลองจอนแขนยาว
เสื้อแขนยาวขอเต่า
เสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมแขนยาว
กางเกงลองจอน
เลกกิ้งขายาว หรือกางเกงผ้าหนาๆ (ไม่ควรใส่กางเกงยีนส์ไปเล่นสกี ...ลุกยาก เคลื่อนไหวขาลำบาก)
ถุงเท้าหนาๆ
ผ้าพันคอหนาๆ
ถุงมือผ้าหนาๆ (เอาไว้ใส่ข้างในถุงมือสกีก็อุ่นดี)
คุณผู้ชายก็คล้ายๆ กัน
อุปกรณ์ที่เหลือทั้งหมด เช่าที่ลานสกีโลด
รถออกเดินทางตอน 8.45 --> 9.00
ไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางเลย ดูไฮโซมาก โรงแรมจัดรถตู้เพื่อมาส่งเราแค่สองคน
แป๊บเดียวก็มาถึงลานสกีโฮไดหงิ (Hodaigi Ski)
http://hodaigi.jp/
ก่อนจะจากไปพี่คนขับรถบอกว่าตอนเย็น 16.30 จะมารับนะจ๊ะ
สองผัวเมีย บ้านนอกมากๆ ยืนเหวอ งงๆ อยู่หน้าลานสกีสักแป๊บ ภาพลานหิมะขาวๆ เต็มไปหมดไปสุดลูกหูลูกตา ชุดสกีหลากสกีโฉบไปโฉบมาให้เพลิดเพลินตานัก ใจเริ่มเต้นแรงขึ้น....จะรอดกลับไปโรงแรมอย่างปลอดภัยครบสามสิบสองมั้ยเนี่ยวันนี้
จากประสบการณ์สิบปีที่แล้ว ที่เคยไปเล่นสโนว์บอร์ด กับเพื่อนฝูงชาวเอกญี่ปุ่น ที่นัดเจอกันที่ซัปโปโร รอบนั้นไม่มีพื้นฐานอะไรเลย ขึ้นลิฟต์ไปกลิ้งลงเขามานับสิบรอบ แทบไม่ได้ยืนบนสโนว์บอร์ดได้เกินยี่สิบวินาที.... จนวันรุ่งขึ้นน่วมเหมื
[CR] Takaragawa Onsen ทาคาระกะวะอนเซ็น และเล่นสกี : 3 วัน 2 คืน
ช่วงต้นเดือนมีนาคม
ต้องไปดูงานกับคุณสามีที่โตเกียวประมาณสามสี่วัน เหลือเวลาว่างแค่สามวัน ศุกร์เสาร์อาทิตย์ เลยอยากไปพักผ่อนกันสองต่อสองเที่ยวเล่นก่อนกลับเมืองไทย
ไฟลต์วันจันทร์
ทีนี้ก็เคยไปโตเกียวกันมาหลายรอบแล้ว จนเบื่อสถานที่เที่ยวฮิตๆ แบบชาวต่างชาติ เบื่อชอปปิ่ง เบื่อหาที่กินไฮโซตามรอยชาวบ้าน
ไปครั้งนี้จึงขอลุยธรรมชาติ แช่น้ำพุร้อนชิลล์ๆ สลับกับไปเรียนสกีออกกำลังกาย
พักผ่อนแบบครอบครัวญี่ปุ่นจริงๆ ให้หนำใจ
โจทย์คือ
- เดินทางจากโตเกียว ไม่ควรใช้เวลาเกิน 2-3 ชั่วโมง เพราะไม่อยากเสียเวลาเดินทางมากเกินไป
- เดินทางด้วย JR Kanto Area Pass ได้ นั่งรถไฟชินกันเซ็นได้ (ตั๋ว JR ที่เดินทางแถบ Kanto ไปไหนก็ได้ ด้วยราคา 8,300 JPY (ใช้ได้ไม่เกิน 3 วัน)
- ที่พักในโตเกียวอยู่ย่านอุเอโนะ Ueno หาเส้นทางที่เดินทางได้สะดวกด้วย Shinkansen JR Ueno Station
- มีอนเซ็นแบบกลางแจ้งให้แช่ (Rotemburo) และต้องเป็นแบบบ่อรวม ชายหญิง (mixed-onsen) เพราะปีที่แล้วเคยไปฮันนีมูนที่ คิโนะซากิ เมืองอนเซ็น Kinosaki-onsen แต่ต่างคนต่างแช่ บางทีก็เบื่อๆ รอบนี้เลยหาที่ทีจะได้แช่ด้วยกัน คุยไปแช่ไปชมธรรมชาติด้วยกัน จะได้ไม่เหงา
- มีกิจกรรมสนุกๆ ให้เล่นมากกว่า การเอาแต่แช่อนเซ็น เช่น เล่นสกี (คุณแฟนรีเควสท์มาเลย)
ค้นคว้าวิจัยด้วยเวลาอันสั้น ก็เจอโซน Hakone แถวภูเขาฟูจิ / จังหวัด กุนมะ Gunma (เมือง Minakami-Takaragawa Onsen) อ่านไปอ่านมาก็ไปเมืองแปลกๆ เลือกจากรีวิว ถามเพื่อนๆ ที่เคยไปก็สรุปได้ที่ Takaragawa Onsen ที่ราคาที่พักไม่เหนื่อยมากนัก เลือกแบบ 3 วัน 2 คืน มีห้องสุขาในห้องนอน (บางแบบก็มีห้องอาบน้ำ แต่ไม่จำเป็น มานี่ได้อาบน้ำกลางแจ้งทั้งวันก็โอเคสำหรับเราแล้ว) แถมยังนั่งชินคันเซ็นมาได้ถึงป้าย JR Jomokogen ด้วย (ป้ายสุดท้ายที่ชินคันเซ็นแบบ JR Area Pass จะมาได้ถึง)
และได้รับคำยืนยันจากเพื่อนคนเยอรมันที่เพิ่งจะมาเที่ยวที่นี่กับแฟน เมื่อสองอาทิตย์ก่อน หลังไมค์คุยกับคุณเพื่อนเชียร์เต็มที่ว่ามาเถอะ ที่นี่แจ่มจริง
โปรแกรมที่วางไว้คือ
(พฤหัส) : จัดการเรื่องตั๋วรถไฟ ตั๋ว JR Kanto Area Pass ให้เรียบร้อย
ไป JR Ueno Station เพื่อซื้อ JR Kanto Area Pass ที่ "View Plaza" อยู่ในโซนที่ซื้อตั๋วพวก JR แสดงพาสปอร์ต
และ จ่ายเงิน 8,300 JPY แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการเริ่มใช้บัตรนี้ตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ อย่าลืมตรวจวันที่บนหน้าบัตรให้ดี
เมื่อได้แล้ว ก็ขอจองตั๋วรถไฟชินกันเซ็นต่อเลย JR Ueno-->JR Jomokogen จริงๆ ไม่ต้องจองก็ได้
แต่จะได้ชัวร์ว่าได้ที่นั่งแน่ๆ ไม่ต้องลุกลี้ลุกลนตามหาโบกี้ที่เป็นแบบ non-reserved ขึ้นรถไฟสวยๆ ด้วยตั๋ว reserved จะอุ่นใจกว่า
ถ้ามั่นใจแล้วว่าจะกลับชัวร์วันไหนรอบไหน ก็เคลียร์เรื่องตั๋วเดินทางกลับด้วยก็ดี จะได้ที่นั่งสบายๆ ไม่เบียดใคร ไม่ต้องจองระยะกระชั้นชิดมากไป (ชินคันเซ็นจะมีสองชั้น เวลานั่งชั้นล่างจะสบายๆ แต่พอได้นั่งชั้นบนทีไร ลงมาแล้วมึนๆ ทุกที)
ศุกร์ : (ตั้งแต่วันนี้เราใช้ตั๋ว JR ฟรี ทั้งวันต้องใช้ให้คุ้ม) เช้า แวบไปทำธุระข้างนอก เที่ยงก็กลับมาที่พัก จัดการฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่ที่พักเดิมทั้งหมด (Oak Hostel Zen) เพราะขากลับเราก็จะกลับมานอนที่เดิม การปักหลักเลือกนอนที่ใดที่หนึ่งช่วยให้ไม่ปวดหัวต้องเช็คอินเช็คเอาท์ เก็บกระเป๋า ย้ายของ บ่อยๆ
รถไฟชินกันเซ็นออกจากสถานี Ueno--> JR Jomokogen เที่ยง 12.46 นาที ไปถึงสถานีโจโมโคเก็น 13.54 น.
ข้างบนนั้นคือตามแผนที่วางไว้ แต่ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ช่วง 11.30 ขณะที่กำลังนั่งรถไฟสาย Yamanote Line กลับที่พักแถว Ueno จู่ๆ รถไฟก็ไม่ไปไหน มีเสียงประกาศยาวๆๆเป็นภาษาญี่ปุ่น และภาพคนในรถไฟบางคนเดินออกจากรถไฟ ได้ความว่า เกิดอุบัติเหตุขึ้น ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า จิ๊โขะ (Jiko) คาดเดาได้ว่ามีคนโดนรถไฟชน (ด้วยสาเหตุใดไม่ทราบ จะอุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตายก็ไม่รู้ได้) ประกาศว่ารถไฟจะขยับได้อีกทีก็ 12.00 น.
ตอนนั้นทำเอาหน้าซีดกันแล้วว่ามีแววจะตกรถไฟชินคันเซ็นไหมหนอ….เตรียมคำนวณเส้นทางใหม่ หรือจะกระโดดขึ้นรถไฟใต้ดิน เปลี่ยนแผนดี ปรึกษาคนญี่ปุ่นตรงนั้นเลยว่าตอน 12.46 ฉันจะต้องไปขึ้นชินคันเซ็นแล้วนะ มีใครประเมินสถานการณ์ให้ได้ไหม หลายคนก็ช่วยเหลือ มาช่วยนึกวิธีเดินทางให้เราว่า รอตรงนี้เหอะ เปลี่ยนสายก็ใช้เวลาไม่ต่างกัน -_-‘
โชคดีที่ … อีกแค่ไม่กี่นาทีรถไฟก็ขยับตัวได้ มุ่งสู่สถานีที่เราพัก JR Uguisudani เดินออกมาบนชานชาลา ก็โล่งใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาละ ก็พลันหันไปเห็น เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ หน่วยกู้ภัยหลายคน กำลังเดินเป็นแถวยาว ถือผ้าใบสีฟ้าผืนใหญ่ (คือเห็นในทีวีบ่อยๆ ก็รู้ว่านั่นคือร่างผู้เสียชีวิต) ยืนขนลุกไว้อาลัยกับแฟน หันไปมุงดูกับคนญี่ปุ่นเสร็จยังเห็นคราบเลือดเกาะหน้ารถไฟอยู่เลย กรี๊ด…
ก็รีบบึ่งวิ่งกลับไปที่โฮสเทล เพื่อเคลียร์เรื่องฝากกระเป๋าเช็คเอาท์ แผนเดิมต้องเดินทางจาก JR Uguisudani → JR Ueno เพราะจะได้ JR Pass ฟรี แต่ไม่กล้าเสี่ยงแล้ว เผื่อปุบปับปิดเส้นทางไม่ให้รถไฟวิ่ง จึงต้องย้ายลงไปเดินทาง (แบบเสียเงิน) เดินมาขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Iriya → Ueno 12.10 ก็สแตนด์บายพร้อมขึ้นชินกันเซ็น
เดินผ่านร้านขนมปังโคตรหอมที่ชื่อ Anderson ก็ซึ่อขนมปังตุนเป็นเสบียง นั่งจิบขนมปัง ซุป กาแฟ เพลิดเพลินกับความเอร็ดอร่อยกับกลิ่นอายของขนมและเพลงคลาสสิคที่บรรเลงไปทั่วร้าน ตาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือว่าอีกนานกว่าจะถึงเวลา 12.46
พอดูนาฬิกาได้ 12.30 ก็เก็บข้าวของ เดินเตรียมเข้าสถานีรถไฟ แต่ดันทำ JR Pass หายหาไม่เจอ (จริงๆเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ) ผ่านไปอีกห้านาที
พอยื่นตั๋วให้ด่านแรกของ JR เจ้าหน้าที่บอกไม่มีเวลาแล้ว ตอนนี้มัน 12.42 แล้วนะให้ไวเลย (เพิ่งรู้ตอนนั้นว่านาฬิกาข้อมือเดินช้าไปห้านาที) คุณเจ้าหน้าที่JRสาวหน้าใส ชี้แขนบอกสถานีชินกันเซ็นอยู่โน่นนนนเลยนะ ชานชาลา 21
เท่านั้นแหละ หัวใจวายไปถึงตาตุ่ม วิ่งตับแลบ จากจิบซุปกินขนมปังสวยๆ เปลี่ยนโหมดมา หิ้วกระเป๋าหน้าตั้ง พอวิ่งไปเกือบถึงชินกันเซ็นจอดเปิดประตูพอดี พอกระโดดขึ้นรถได้ไม่ถึงสิบห้าวินาที ประตูรถไฟก็ปิดและออกเดินทางต่อทันที….. เกือบตกรถไฟแล้วเรา (คือถ้าพลาดรอบนี้ ก็ไปต่อไม่เป็นเลย เพราะรถของโรงแรมจะมารับแค่วันละหนึ่งรอบ)
ไปถึงที่หมายตรงเวลา 13.54 น.
เดินออกมาที่หน้าสถานีรถไฟ ก็เจอกับรถตู้จอดเรียงรายรอรับชาวคณะชินกันเซ็น ทุกคนที่ลงรถไฟคันนี้หน้าตาอิ่มเอม เตรียมมุ่งหน้าสู่การแช่บ่อน้ำพุร้อน …นั่งหลับสัปหงกในรถต่ออีกเกือบชั่วโมง ลัดเลาะตามเขา จนได้เจอหิมะซะที ห่างจากโตเกียวไม่มาก แต่เหมือนได้หลุดมาอีกโลกเลย มาถึงที่พักที่ชื่อ
Takaragawa Onsen
http://www.takaragawa.com/english.html
ที่พักขนาดไม่เล็ก คนละเรื่องกับที่ไปคิโนซะกิ Kinosaki Onsen (ที่นั่น ปีที่แล้วไปพักที่ Kojinmari ออกแนวไพรเวทสุดๆ ขึ้นอันดับ1 ของ Trip Advisor แต่สำหรับคนญี่ปุ่นเราว่าไม่ได้ไปมาก มีแต่ต่างชาติมากกว่า) โรงแรมที่ทาคาระกะวะ เป็นแนว Mass ปริมาณห้องพักเยอะมากๆ คนก็มาพักเยอะ แต่ด้วยสไตล์การจัดโรงแรม ไม่ได้จัดทุกห้องมากินรวมกัน จึงยังมีความส่วนตัวอยู่เยอะ (ที่สำคัญพอเป็น mass ราคาก็ถูกกว่ามาก)
ราคาที่พักสามวันสองคืน รวมอาหารเช้า อาหารเย็นอยู่ที่ 51,000 JPY สำหรับเราสองคน (ประมาณ 13,900 บาท) ตกคืนละ 3,485 บาท (ต่อคน) กินอยู่อย่างพระราชา เพราะอาหารแบบคอร์สอิ่มๆ (โคตรๆ)
เปลี่ยนรองเท้ามานั่งรอใน Lobby โรงแรม front บริการแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ทยอยแจกกุญแจห้อง อธิบายเรื่องอาหารเช้า เลือกเวลาที่ต้องการทานอาหารเย็น (มีเป็นรอบ 18.00 18.15 18.30 18.45 19.00) เพราะที่นี่บริการอาหารเย็นแบบจัดเต็ม บุคลากรอาจไม่พอถ้าจู่ๆ จะทานเวลาเดียวกันหมด เลือกแล้วจัดการเวลาให้ตรงต่อเวลา ไปเร็วไปหรือไปช้าไปอาจทำให้บริการเขาปั่นป่วนได้
16.30 เข้าห้องพัก เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า
ตะลุยสวนน้ำร้อนอนเซ็น อุณหภูมินอกห้องประมาณ 5-6 องศา ก็ต้องทำใจเตรียมใจก่อนออกไป สวมรองเท้าบู๊ธยางที่โรงแรมเตรียมไว้ตะลุยแช่ทีละบ่อ ทีละบ่อ จนครบสามบ่อ (สำหรับผู้หญิง หากแช่บ่อรวม มีชุดคล้ายผ้าถุง ไว้ให้ แต่ถ้าแช่บ่อ ญ ล้วน ต้องถอดหมดค่ะ)
เป็นครั้งแรกตั้งแต่ไปๆมาๆ ประเทศนี้เกือบสิบปี เป็นครั้งแรกที่ได้แช่บ่อรวม กรี๊ด…. ผู้ชายแต่ละคนพกผ้าผืนเล็กๆ กันมาทั้งนั้น ตาลุงบางคนก็เดินโทงๆ ไม่ปิดกันเลย -_-‘ เฮือก คุณสามีบอกไม่แฟร์เลย เธอได้ดูกล้ามล่ำๆ ของผู้ชาย แต่ตัวเองไม่ได้ดูของสาวๆ บ้าง 555
เลือกเวลาทานข้าวไว้ที่ 18.30 แต่แช่น้ำกันตัวเปือย หิวมากก ขากลับเลยแวะที่ฟร้อนต์ถามเขาว่าถ้าขอเลื่อนมากินตอน 18.00 ได้ไหม…. เจ้าหน้าที่กางโพยมาดู ตอบ ไม่ได้ แต่ว่างตอน 18.15 นะเอาไหม โอเค อย่างน้อยก็เร็วขึ้นมาได้อีกนิดนึง
อาหารเย็นเสิร์ฟแบบจัดเต็มมาก full course อิ่มจนแทบจะคลาน กลับขึ้นห้อง สแตนด์บายพร้อมสำหรับ
รอบดึกสองทุ่มครึ่ง... ก็พากันลงบ่ออีกรอบ รอบดึกท่ามกลางหิมะโปรยปราย ... มันฟินมาก
นอนชาร์ตแบตเก็บแรงกันไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น ก่อนนอนแอบขอ Steamer ตัวทำไอน้ำ (แบบใส่น้ำ เสียบปลั๊ก) พ่นไอน้ำปุดๆ ให้ความชุ่มชื้นไปทั่วๆ ห้อง ช่วงฤดูหนาว อากาศจะแห้งมากๆ ชอบเจ็บคอ กลัวป่วยเลยขอยืมจากโรงแรมมาเปิดตอนนอนทิ้งไว้
...ตื่นมาหกโมงครึ่ง วิ่งฝ่าความหนาว ไปแช่อนเซ็นกันอีก รอบเช้าต้องทำเวลาเลยลงแค่บ่อเดียว แล้วกลับมาจบด้วยบ่อในร่ม (ชั้นล่างในบริเวณโรงแรม) อาบน้ำเสร็จ ประหยัดเวลาไม่ต้องกลับห้อง ก็ลากเกี๊ยะใส่ชุดยูกะตะ เข้าไปนั่งหม่ำอาหารเช้าเลย (ห้องรวม) ก่อนเดินเข้าไปในห้อง คุณป้าโอเน่ซัง ถามว่ามาจากห้องไหน ตอบไปว่าห้อง Hagi ค่าา (ควรจำชื่อห้องตัวเองให้ได้) เมื่อวานที่ฟร้อนต์ถามแล้วว่าจะรับ washoku (วะโชขุ แปลว่า อาหารญี่ปุ่น) หรือ yoshoku (โยโชขุ อาหารฝรั่ง) สั่งกันไปคนละชุดสลับวันกัน จะได้แอบขโมยกินกันได้.... อิ่มจนท้องปริแบบหนำใจ
8.00 สแตนด์บายที่ห้อง แต่งตัวพร้อมสำหรับไปเล่นสกี
คุณผู้หญิงก็เริ่มจาก
ลองจอนแขนยาว
เสื้อแขนยาวขอเต่า
เสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมแขนยาว
กางเกงลองจอน
เลกกิ้งขายาว หรือกางเกงผ้าหนาๆ (ไม่ควรใส่กางเกงยีนส์ไปเล่นสกี ...ลุกยาก เคลื่อนไหวขาลำบาก)
ถุงเท้าหนาๆ
ผ้าพันคอหนาๆ
ถุงมือผ้าหนาๆ (เอาไว้ใส่ข้างในถุงมือสกีก็อุ่นดี)
คุณผู้ชายก็คล้ายๆ กัน
อุปกรณ์ที่เหลือทั้งหมด เช่าที่ลานสกีโลด
รถออกเดินทางตอน 8.45 --> 9.00
ไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางเลย ดูไฮโซมาก โรงแรมจัดรถตู้เพื่อมาส่งเราแค่สองคน
แป๊บเดียวก็มาถึงลานสกีโฮไดหงิ (Hodaigi Ski)
http://hodaigi.jp/
ก่อนจะจากไปพี่คนขับรถบอกว่าตอนเย็น 16.30 จะมารับนะจ๊ะ
สองผัวเมีย บ้านนอกมากๆ ยืนเหวอ งงๆ อยู่หน้าลานสกีสักแป๊บ ภาพลานหิมะขาวๆ เต็มไปหมดไปสุดลูกหูลูกตา ชุดสกีหลากสกีโฉบไปโฉบมาให้เพลิดเพลินตานัก ใจเริ่มเต้นแรงขึ้น....จะรอดกลับไปโรงแรมอย่างปลอดภัยครบสามสิบสองมั้ยเนี่ยวันนี้
จากประสบการณ์สิบปีที่แล้ว ที่เคยไปเล่นสโนว์บอร์ด กับเพื่อนฝูงชาวเอกญี่ปุ่น ที่นัดเจอกันที่ซัปโปโร รอบนั้นไม่มีพื้นฐานอะไรเลย ขึ้นลิฟต์ไปกลิ้งลงเขามานับสิบรอบ แทบไม่ได้ยืนบนสโนว์บอร์ดได้เกินยี่สิบวินาที.... จนวันรุ่งขึ้นน่วมเหมื
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น