มีอะไรจะเล่าให้ฟังครับ
ผมมีร้านขายของ เป็นตึกที่แม่ให้มาไม่เสียค่าเช่าอะไร
ส่วนแม่ก็มีตึกขายของของเค้าอีกตึก สินค้าไม่เกี่ยวกัน(แม่วางมือเมื่อไหร่ คงได้ไปจับอีกงาน น่าจะอีกในไม่นาน)
ส่วนเมียก็มีตึกของเค้า ทำธุรกิจของเค้าไม่เกี่ยวกัน(เงินเยอะซะด้วยเมียคนนี้ เดือนๆนึงรับอย่างเดียวไม่มีรายจ่าย ชิ! )
ปัจจุบันมีบ้าน มีลูก2คน ผัวมีงานมีรถ เมียมีงานมีรถ มีเงิน มีใช้ มีเที่ยว มีพอให้ฟุ่มเฟือยได้ มีเก็บ มีความสุขดีล้น ไม่มีโรคไม่มีหนี้ ถือศีล5
ขายไปขายมา ประมาณ5ปี ผมก็ไปเช่าตึกอีกที่ ค่าเช่าเดือนละ15,000บาท
ระยะทางห่างจากที่แรก ประมาณ60กิโลเมตร(คนละจังหวัด). เปิดร้านขายของเหมือนตึกแรกเลย
โดยจ้างพักงานขายคนนึง ดูแลทุกอย่าง ผมคอยป้อนสินค้าและเก็บตังค์
ขายไปขายมาจนวันนี้. อยู่มา3ปีละ ก็เรื่อยๆเปื่อยๆ
ช่วง3ปีที่ผ่านมาที่เปิดร้าน2นี่
บอกตรงว่าเปิดแบบเนือยๆ ไม่ฟิตไม่ไฟท์ ไม่โฆษณา ไม่โปรโมทตกแต่ง ใดๆทั้งสิ้น
เอาของวาง เปิดประตู เปิดไฟก็ขายเลย
พนักงานก็ขายเรื่อยๆเปื่อยๆ ไฟมอดๆติดๆดับๆ
วิ่งไปดูร้านสัปดาห์ละครั้ง ร้านมันก็อยู่ด้วยตัวมันเองได้ เดือนไหนดีก็ดีไป
เดือนไหนแย่ๆ ก็ปล่อยมันแย่ไป แย่สุดดูแล้วก็ยังเหลือพอค่าเช่า ค่าจ้าง ก็เลยไม่ค่อยไปซีเรียสเท่าไหร่ (อาจจะมีซักแค่ปีละเดือน ไม่บ่อย)
ถ้าจะอ้างก็คงอ้างเลี้ยงลูกล่ะครับ(ผมเริ่มทำร้าน2 ก็ตอนเมียท้องแก่พอดี) โถ...คนเลี้ยงลูกเองคงเข้าใจกันนะ
แค่จะลุกไปฉี่ยังยากเลย (อ้างกันไป)
วันนึง
อยู่ๆคุณป้าข้างบ้าน(ตึกติดกันเลย) เดินมาบอกว่า เค้าจะขายตึกของเค้า สนมั้ย 5ล้านบาทไม่รีบ บอกเราคนเดียวยังไม่บอกใคร(แต่ขอในปีนี้นะ)
อุต้ะ!!!!
นี่แหละครับปัญหา เล่นเอานอนไม่หลับกันเลย
คิดวนไปวนมาอยู่ในอ่าง คำถามเกิดในหัวเยอะแยะ
เอาไงดี?
เอาดีมั้ย ตึกก็ดี ทำเลก็ดี ฐานลูกค้าก็มีแล้ว
ไหวมั้ย?
ผ่อนเดือนเท่าไหร่เนี่ย?
เอาไปทำไม?
หาเรื่องใส่ตัวรึป่าว?
ทุกวันนี้ก็สบายๆชิวๆดีอยู่แล้วนิ
ถ้าวันนี้ไม่เอา แล้ววันนึงอยากได้ ทำไง?
แล้วถ้าไอ้ตึกเช่าเกิดขึ้นค่าเช่า หรือเลิกให้เช่าทำไง?
การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ
ไม่มีหนี้ก็ไม่รวยสิวะ !
อยากซื้อไว้ เป็นสมบัติให้ลูกมัน
เอาเหอะมีหนี้จะได้ขยันๆ ทุกวันนี้จะสบายเกินไปแล้ว
ชีวิตจะอยู่บนความเครียดตลอดเวลาป่าวนะ
เฮ้ย....เช่าก็หมื่นห้าแล้ว อีกหน่อยคงหมื่นแปด อีกหน่อยคงสองหมื่น ซื้อเหอะ!!!
โอ้ย.....ปวดหัว
ตรงนี้คุณคงจะถามว่า อ้าว! แล้วเมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ล่ะ(เฉพาะรายได้จากตึกใหม่)
คือค้าขายมันก็มีขึ้นมีลงล่ะนะ
แต่ไม่ว่าจะผ่อนเท่าไหร่ ผมเชื่อในกำลังภายในของตัวเอง
ว่ายังบู๊สออกมาได้อีกเยอะ
สรุปคือค่าผ่อนเท่าไหร่ ถ้ากู้แล้ว ผมก็ไม่กลัว(ที่จะผ่อนไม่ไหว)ครับ สู้ตาย
แต่อาจต้องแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่าตลอดเวลา. (ตรงนี้แหละที่กังวล)
วันนี้ลูก(คนที่2)เข้าโรงเรียนแล้ว โอกาสฟ้าประทานแล้ว เตรียมกระทิงแดงไว้ได้เลย!!!!(เดือนนึงต้องมียอดขาย2.5แสนเป็นอย่างต่ำ ตลาดตรงนี้คิดว่าเอาจริงๆ ขายได้เดือนละ4แสนแน่ๆ มั่นใจครับ. ยอดขายนะไม่ใช่กำไร)
แต่อีกสมองมัน มันเป็นสมองของความปลอดภัยครับ
ไม่เคยเป็นหนี้อะไรขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าการเป็นซุปเปอร์ไซย่าตลอดเวลามันจะเครียดกัดกล่อนสมองซักขนาดไหน
ถ้าเราต้องกลายเป็นคุณพ่อไร้รอยยิ้ม มันจะคุ้มมั้ยนะ? ไม่นะ เราจะไม่เป็นหยั่งงั้นแน่
จบครับ
ขอแชร์ความคิดเห็นหน่อยครับ
ถามครับ -เอา/ไม่เอา ( ให้เลือกคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง)
ถามครับ -การกู้ตึกแถว เหมือนหรือต่างกับกู้บ้านยังไงครับ
ถามครับ -น่าจะผ่อนเดือนละกี่บาทกี่ปีโดยประมาณ (สมมติว่ากู้ร่วมได้5ล้าน)
ถามครับ- ผมอ่านประวัติคนรวยๆ เค้าลงทุน เค้าเสี่ยง ช่วงตั้งตัวเค้าขยันเค้าทำงานกันแทบจะ24ชม. แต่ไม่เห็นมีใครพูดเรื่องลูกกันเลย. เค้าไม่ต้องเลี้ยงลูกกันเหรอครับ?
ขอบคุณทุกท่านครับ
ปล.
เงินก้อนเป็นล้านๆตอนนี้ผมไม่มีนะ(แต่หลักแสนน่ะมีอยู่ เพิ่งเริ่มเก็บ) เพราะเพิ่งถอนไปซื้อบ้านกันมาทั้งผัวเมีย(อยู่ตึกแถวมาตั้งแต่เกิด พอมีบ้านอยู่ แล้วขี้เกียจตัวเป็นขนเลย555) แต่การเดินบัญชีที่ผ่านมาสวยนะ
ปล2
อันนี้ผมพูดถึง อยากให้กิจการของตึกใหม่ มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเองนะ ส่งเสียผ่อนตัวมันเองได้ เหลือก็โปะ
รายจ่ายครอบครัว ใช้จากกิจการตึกเก่า
เงินออมครอบครัว ได้จากรายได้เมีย (เยอะซะด้วย ชิ! พูดแล้วขึ้น!!! เป็นอะไรที่รู้ว่ามีอยู่ แต่มิอาจจับต้อง)
ปล3
ปีนี้อายุ36ครับ ( เอ้ย!!! ตกใจ เพิ่งรู้อายุตัวเอง รู้สึกเหมือนยัง26 อยู่เลย เฮ้อ.....)
เรื่อง จะซื้อตึกแถว5ล้าน ดีมั้ย สถานภาพแบบนี้
ผมมีร้านขายของ เป็นตึกที่แม่ให้มาไม่เสียค่าเช่าอะไร
ส่วนแม่ก็มีตึกขายของของเค้าอีกตึก สินค้าไม่เกี่ยวกัน(แม่วางมือเมื่อไหร่ คงได้ไปจับอีกงาน น่าจะอีกในไม่นาน)
ส่วนเมียก็มีตึกของเค้า ทำธุรกิจของเค้าไม่เกี่ยวกัน(เงินเยอะซะด้วยเมียคนนี้ เดือนๆนึงรับอย่างเดียวไม่มีรายจ่าย ชิ! )
ปัจจุบันมีบ้าน มีลูก2คน ผัวมีงานมีรถ เมียมีงานมีรถ มีเงิน มีใช้ มีเที่ยว มีพอให้ฟุ่มเฟือยได้ มีเก็บ มีความสุขดีล้น ไม่มีโรคไม่มีหนี้ ถือศีล5
ขายไปขายมา ประมาณ5ปี ผมก็ไปเช่าตึกอีกที่ ค่าเช่าเดือนละ15,000บาท
ระยะทางห่างจากที่แรก ประมาณ60กิโลเมตร(คนละจังหวัด). เปิดร้านขายของเหมือนตึกแรกเลย
โดยจ้างพักงานขายคนนึง ดูแลทุกอย่าง ผมคอยป้อนสินค้าและเก็บตังค์
ขายไปขายมาจนวันนี้. อยู่มา3ปีละ ก็เรื่อยๆเปื่อยๆ
ช่วง3ปีที่ผ่านมาที่เปิดร้าน2นี่
บอกตรงว่าเปิดแบบเนือยๆ ไม่ฟิตไม่ไฟท์ ไม่โฆษณา ไม่โปรโมทตกแต่ง ใดๆทั้งสิ้น
เอาของวาง เปิดประตู เปิดไฟก็ขายเลย
พนักงานก็ขายเรื่อยๆเปื่อยๆ ไฟมอดๆติดๆดับๆ
วิ่งไปดูร้านสัปดาห์ละครั้ง ร้านมันก็อยู่ด้วยตัวมันเองได้ เดือนไหนดีก็ดีไป
เดือนไหนแย่ๆ ก็ปล่อยมันแย่ไป แย่สุดดูแล้วก็ยังเหลือพอค่าเช่า ค่าจ้าง ก็เลยไม่ค่อยไปซีเรียสเท่าไหร่ (อาจจะมีซักแค่ปีละเดือน ไม่บ่อย)
ถ้าจะอ้างก็คงอ้างเลี้ยงลูกล่ะครับ(ผมเริ่มทำร้าน2 ก็ตอนเมียท้องแก่พอดี) โถ...คนเลี้ยงลูกเองคงเข้าใจกันนะ
แค่จะลุกไปฉี่ยังยากเลย (อ้างกันไป)
วันนึง
อยู่ๆคุณป้าข้างบ้าน(ตึกติดกันเลย) เดินมาบอกว่า เค้าจะขายตึกของเค้า สนมั้ย 5ล้านบาทไม่รีบ บอกเราคนเดียวยังไม่บอกใคร(แต่ขอในปีนี้นะ)
อุต้ะ!!!!
นี่แหละครับปัญหา เล่นเอานอนไม่หลับกันเลย
คิดวนไปวนมาอยู่ในอ่าง คำถามเกิดในหัวเยอะแยะ
เอาไงดี?
เอาดีมั้ย ตึกก็ดี ทำเลก็ดี ฐานลูกค้าก็มีแล้ว
ไหวมั้ย?
ผ่อนเดือนเท่าไหร่เนี่ย?
เอาไปทำไม?
หาเรื่องใส่ตัวรึป่าว?
ทุกวันนี้ก็สบายๆชิวๆดีอยู่แล้วนิ
ถ้าวันนี้ไม่เอา แล้ววันนึงอยากได้ ทำไง?
แล้วถ้าไอ้ตึกเช่าเกิดขึ้นค่าเช่า หรือเลิกให้เช่าทำไง?
การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ
ไม่มีหนี้ก็ไม่รวยสิวะ !
อยากซื้อไว้ เป็นสมบัติให้ลูกมัน
เอาเหอะมีหนี้จะได้ขยันๆ ทุกวันนี้จะสบายเกินไปแล้ว
ชีวิตจะอยู่บนความเครียดตลอดเวลาป่าวนะ
เฮ้ย....เช่าก็หมื่นห้าแล้ว อีกหน่อยคงหมื่นแปด อีกหน่อยคงสองหมื่น ซื้อเหอะ!!!
โอ้ย.....ปวดหัว
ตรงนี้คุณคงจะถามว่า อ้าว! แล้วเมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ล่ะ(เฉพาะรายได้จากตึกใหม่)
คือค้าขายมันก็มีขึ้นมีลงล่ะนะ
แต่ไม่ว่าจะผ่อนเท่าไหร่ ผมเชื่อในกำลังภายในของตัวเอง
ว่ายังบู๊สออกมาได้อีกเยอะ
สรุปคือค่าผ่อนเท่าไหร่ ถ้ากู้แล้ว ผมก็ไม่กลัว(ที่จะผ่อนไม่ไหว)ครับ สู้ตาย
แต่อาจต้องแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่าตลอดเวลา. (ตรงนี้แหละที่กังวล)
วันนี้ลูก(คนที่2)เข้าโรงเรียนแล้ว โอกาสฟ้าประทานแล้ว เตรียมกระทิงแดงไว้ได้เลย!!!!(เดือนนึงต้องมียอดขาย2.5แสนเป็นอย่างต่ำ ตลาดตรงนี้คิดว่าเอาจริงๆ ขายได้เดือนละ4แสนแน่ๆ มั่นใจครับ. ยอดขายนะไม่ใช่กำไร)
แต่อีกสมองมัน มันเป็นสมองของความปลอดภัยครับ
ไม่เคยเป็นหนี้อะไรขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าการเป็นซุปเปอร์ไซย่าตลอดเวลามันจะเครียดกัดกล่อนสมองซักขนาดไหน
ถ้าเราต้องกลายเป็นคุณพ่อไร้รอยยิ้ม มันจะคุ้มมั้ยนะ? ไม่นะ เราจะไม่เป็นหยั่งงั้นแน่
จบครับ
ขอแชร์ความคิดเห็นหน่อยครับ
ถามครับ -เอา/ไม่เอา ( ให้เลือกคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง)
ถามครับ -การกู้ตึกแถว เหมือนหรือต่างกับกู้บ้านยังไงครับ
ถามครับ -น่าจะผ่อนเดือนละกี่บาทกี่ปีโดยประมาณ (สมมติว่ากู้ร่วมได้5ล้าน)
ถามครับ- ผมอ่านประวัติคนรวยๆ เค้าลงทุน เค้าเสี่ยง ช่วงตั้งตัวเค้าขยันเค้าทำงานกันแทบจะ24ชม. แต่ไม่เห็นมีใครพูดเรื่องลูกกันเลย. เค้าไม่ต้องเลี้ยงลูกกันเหรอครับ?
ขอบคุณทุกท่านครับ
ปล.
เงินก้อนเป็นล้านๆตอนนี้ผมไม่มีนะ(แต่หลักแสนน่ะมีอยู่ เพิ่งเริ่มเก็บ) เพราะเพิ่งถอนไปซื้อบ้านกันมาทั้งผัวเมีย(อยู่ตึกแถวมาตั้งแต่เกิด พอมีบ้านอยู่ แล้วขี้เกียจตัวเป็นขนเลย555) แต่การเดินบัญชีที่ผ่านมาสวยนะ
ปล2
อันนี้ผมพูดถึง อยากให้กิจการของตึกใหม่ มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเองนะ ส่งเสียผ่อนตัวมันเองได้ เหลือก็โปะ
รายจ่ายครอบครัว ใช้จากกิจการตึกเก่า
เงินออมครอบครัว ได้จากรายได้เมีย (เยอะซะด้วย ชิ! พูดแล้วขึ้น!!! เป็นอะไรที่รู้ว่ามีอยู่ แต่มิอาจจับต้อง)
ปล3
ปีนี้อายุ36ครับ ( เอ้ย!!! ตกใจ เพิ่งรู้อายุตัวเอง รู้สึกเหมือนยัง26 อยู่เลย เฮ้อ.....)