อันที่จริงหนังแนวนี้ผมก็ไม่ค่อยได้ดูเท่าไรนัก แต่หนังรักวัยรุ่นเรื่องราวระหว่างเด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์จากอังกฤษและจีนเรื่องนี้มีบางอย่างที่ทำให้ผมอยากดูและอยากเขียนรีวิว
มันคือ
"วิธีการถ่ายทอด"
และ
"คณิตศาสตร์"
ไม่รู้อะไรในโปสเตอร์ที่ดลจิตดลใจให้ผมไปหา trailer ดูทันทีที่เห็นมันถูกแปะโฆษณาไว้สักที่(ที่ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน)
งั้นเราลองดู trailer กันสักหน่อยก่อนที่จะบอกว่าผมเห็นอะไรในนั้น
ผมเห็นหนังชีวิตของครอบครัวนึงที่เสียคนเป็นพ่อไป เหลือแม่กับลูกชาย (ที่เป็นออทิสติกอ่อนๆ แต่ได้รับความอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ตอบแทน) กันอยู่ 2 คน จุดพลิกผลันของ Nathan คือการได้เข้าเป็นทีมตัวแทนแข่งขันโอลิมปิกคณิตศาสตร์และไปเก็บตัวที่ไต้หวันจึงทำให้ได้เจอ จาง เม่ย เด็กตัวแทนจากประเทศจีนที่ทำให้ Nathan เห็นบางสิ่งที่งดงามไม่แพ้คณิตศาสตร์ นั่นคือ "ความรัก"
สำหรับสิ่งที่ trailer ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้คือ อยากจะดูว่าหนังจะถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กออทิสติกที่มีพรสวรรค์อย่างไร และจะดำเนินเรื่องราวความรักให้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีปัญหาในการสื่อสารให้กับคนอื่นได้อย่างไร และด้วยว่าเนื้อเรื่องวนเวียน เวียนวนอยู่กับบรรดาอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ ผมเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีฉากแก้โจทย์ที่น่าสนใจมากๆ แน่ๆ
เรามาดูกันครับว่าผมได้เห็นอะไรจากการไปดูหนังจริงๆ บ้าง
1. ครอบครัวเด็กพิเศษไม่ได้สวยงาม
เราคงจะเคยเห็นใช่มั้ยครับ ที่บางครอบครัวพอรู้ว่าลูกเป็น "เด็กพิเศษ" ก็จะพูดทำนองว่าเราจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ให้ความรักให้ความอบอุ่นเขา เพื่อทำให้เขาอยู่ในสังคมนี้ได้เหมือนคนทั่วไป มันฟังดูงดงามและน่าชื่นชมยินดี แต่ความจริงแล้ว
ไม่! หนังเรื่องนี้เองครับที่สะท้อนเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยอุปสรรรค และเร้าอุปสรรคให้มากขึ้นด้วยการนำผู้เป็นพ่อออกไปจากชีวิต Nathan เด็กพิเศษอัจฉริยะของเรา ทำให้เราได้เห็นคนเป็นแม่ที่หน้าชื่นอกตรม พยายามจะเข้าใจลูก พยายามทำอะไรดีๆ ให้ลูกด้วยความรัก ความห่วงใยตลอดเวลา และแทบจะทุกครั้งคือ ด้วยปัญหาจากสิ่งที่ Nathan เป็นทำให้แม่ไม่อาจเข้าใจเขาได้ทั้งหมด และหลายครั้งจบลงด้วยน้ำตาของคนเป็นแม่ที่รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ ซึ่งผมมองว่าหนังได้ถ่ายทอดประเด็นที่เกิดในครอบครัวของเด็กพิเศษได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังถ่ายทอดตัวอย่างบุคลิกลักษณะ และความคิดของเด็กพิเศษ(แต่อัจฉริยะ) ให้เราได้เห็นและเข้าใจพฤติกรรมของเขามากขึ้น สังเกตนะครับผมใช้คำว่า "ตัวอย่าง" เพราะพฤติกรรมของเด็กพิเศษจะแตกต่างกันออกไป อย่าง Nathan ของเราเขาจะชอบสิ่งที่เป็นรูปแบบ (pattern) ทุกอย่างต้องลงเป๊ะๆ ในเชิงคณิตศาสตร์ ไม่งั้นงอแง
2. หนังเรื่องนี้ให้รอยยิ้ม
จริงๆ ประเด็นนี้แล้วแต่คนด้วยครับ บางคนอาจจะยิ้มหรือหัวเราะกับบางฉากที่พระเอกหนุ่มน้อยของเราไม่เข้าใจประโยคที่คนสื่อสารมา ตีความผิดเป็นอีกอย่าง และตอบหรือถามกลับในแบบที่คนปกติทั่วไปไม่น่าจะตอบหรือถาม ก็นับว่าเป็นมุกของหนังที่มีเนื้อเรื่องมาแนวนี้
อย่างอื่นก็จะเป็นในส่วนของคนเป็นแม่ที่พยายามทำอะไรดีๆ ให้ลูก พยายามที่จะเข้าใจลูก รวมถึงอดีตอันสดใสสุขสันต์ในตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมชอบนะไม่ว่าหนังเรื่องไหนก็ตามที่ทำให้เราเห็นฉากความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก มันทำให้ผมยิ้ม นึกถึงพ่อแม่และนึกขอบคุณในหลายๆ สิ่งที่ท่านเคยทำให้เรา
และก็ในส่วนของฉากระหว่าง Nathan กับ จาง เม่ยที่มีฉากทำให้เราผมอมยิ้มได้หลายฉากทีเดียว ก็คนนึงเด็กออทิสติก (ในรีวิวของคนอื่นที่เป็นภาษาไทยเขาใช้คำว่าเนิร์ด ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่) ที่มีปัญหาในการเข้าสังคม ขณะที่อีกคนเป็นเด็กสดใส่ร่าเริงที่เก่งหัวดีไม่แพ้กัน เราเลยจะเห็นภาพที่คนนึงพยายามชวนอีกคนไปดูนั่นดูนี่ กินนั่นกินนี่ ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนอีกคนเริ่มมีความมั่นใจและกล้าที่จะพูดอะไรมากขึ้น เหมือนเด็กน้อยที่กล้าเปิดประตูออกมาเดินนอกบ้าน
3. รักเล็กๆ ที่น่าติดตาม
ก็เพราะคนนึงเด็กออทิสติกขณะที่อีกคนเป็นเด็กสดใส่ร่าเริงนี่แหละครับ ที่ทำให้มันน่าติดตามว่า "มันจะไปรักกันยัง" มันก็อาจจะออกแนวๆ ความสดใสร่าเริงที่ทำให้ชนะใจ เหมือนที่หนังหรือละครชอบเล่นประเด็นนี้กัน ความสัมพันธ์เกิดจากการที่ 2 คนนี้เขาถูกจับคู่บัดดี้กันตอนไปเก็บตัวแข่งโอลิมปิคที่ไต้หวัน ก็เพราะเป็นบัดดี้นี่แหละไปไหนไปกันก็เลยทำให้มีเวลาได้คุยได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น (คือตามเรื่อง Nathan ไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงเลย นี่คงเป็นคนแรกเลยสปาร์คง่าย 5555) สิ่งที่ผมสนใจคือ กระบวนการก่อเกิดความรักในใจเด็กออทิสติกนั้นจะแตกต่างจะคนทั่วไปหรือไม่ ซึ่งหนังก็ได้ถ่ายทอดกระบวนการเปลี่ยนผ่านความรู้สึกมาทีละเล็กละน้อย จนมาถึงจุดที่หลายๆ คนคงจะชอบ สาวๆ ไปดูก็คงจะฟิน จิ้น เพ้อ มโนไปสารพัด แต่มันไม่ได้หวือหวาหรอกครับ มันก็พอจะชวนจิ้นอยู่เล็กน้อย แล้วก็แค่นั้น (แค่ไหนไม่บอกไปดูเอาเองครับ หรือจะอ่านในส่วน Review with Spoils ต่อก็ได้ครับ) แล้วก็ตอนท้ายของเรื่องเล่นด้วยประเด็นการที่ Nathan รู้ใจตัวเองเข้าใจความรู้สึกตัวเอง แล้วก็.....ไปดูเอาเองครับว่าเป็นไงต่อ (หรือจะอ่านในส่วน Review with Spoils ต่อก็ได้ครับ)
4. คนชอบเลขอาจจะคันไม้คันมือ
สำหรับใครที่ชอบคณิตศาสตร์เป็นทุนแล้ว ไปดูเถอะครับ ผมเชื่อว่าคุณจะต้องคันไม้คันมือเหมือนผม อยากจะหยิบปากกาหรือดินสอ กับกระดาษขึ้นมาคิดตาม แก้โจทย์ตาม นี่ผมก็อยากจะจดโจทย์จากในหนังกลับมาคิดต่อเลยนะเนี่ย (ซึ่งก็ได้มา search หาดูจนเจอรวมทั้งเฉลยด้วย) แม้โจทย์มันจะแลดูยาก (ก็มันเป็นข้อสอบโอลิมปิค) แต่ก็มีบางช่วงบางตอนที่แสดงการแก้โจทย์ให้เราดูในแบบที่เข้าใจได้ไม่ยาก (ถ้าอยากจะลองดูก่อนว่าโจทย์อะไรก็นี่เลยครับ)
บอกเลยว่าช่วงที่เป็นฉากสอบ ฉากคิดเลข ฉากอ่านโจทย์นี่มันคันไม้คันมือมากครับ อยากจะแก้โจทย์ไปด้วยจริงๆ (ติดตรงที่ไม่มีดินสอกระดาษ กับสติปัญญาไม่ถึง 5555)
ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 ผมให้ 8 ด้วยเพราะตอนจบมันผมว่ามันจบง่าย จบเร็ว จบห้วนๆ ไปหน่อย เหมือนแก้ปมเชือกมาเรื่อยๆ จนถึงปมสุดท้ายไม่แก้แล้ว ตัดมันทิ้งไปเลยยังไงยังงั้น แต่หนังเรื่องนี้ดูแล้วสบายใจดี โทนหนังมันแนวอบอุ่น โรแมนติกเล็กน้อย เจือด้วยดราม่า ทำให้รสชาติกลมกล่อมนุ่มลิ้นดีครับ (เอ๊ะ! หนังหรือกาแฟเนี่ย)
ผมยังมีรีวิวอีกส่วนหนึ่งแต่ว่า มันมีสปอยล์ติดมาด้วย เพราะว่าจะรีวิวให้เห็นภาพ ถึงอารมณ์อย่างที่ผมเห็น ผมถึงมาก็ต้องมีหลุดๆ บ้าง เอาเป็นว่าถ้าใครยินดีจะถูกสปอยล์แลกกับการได้รู้มากยิ่งขึ้นว่าหนังเรื่องนี้จะคุ้มค่าที่จะไปดูหรือไม่ ก็....เชิญทางนี้ได้เลยครับ
http://zaneter.azurewebsites.net/x-plus-y/
[CR] X+Y เรา+ดู=ยิ้ม
มันคือ
"วิธีการถ่ายทอด"
และ
"คณิตศาสตร์"
ไม่รู้อะไรในโปสเตอร์ที่ดลจิตดลใจให้ผมไปหา trailer ดูทันทีที่เห็นมันถูกแปะโฆษณาไว้สักที่(ที่ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน)
งั้นเราลองดู trailer กันสักหน่อยก่อนที่จะบอกว่าผมเห็นอะไรในนั้น
ผมเห็นหนังชีวิตของครอบครัวนึงที่เสียคนเป็นพ่อไป เหลือแม่กับลูกชาย (ที่เป็นออทิสติกอ่อนๆ แต่ได้รับความอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ตอบแทน) กันอยู่ 2 คน จุดพลิกผลันของ Nathan คือการได้เข้าเป็นทีมตัวแทนแข่งขันโอลิมปิกคณิตศาสตร์และไปเก็บตัวที่ไต้หวันจึงทำให้ได้เจอ จาง เม่ย เด็กตัวแทนจากประเทศจีนที่ทำให้ Nathan เห็นบางสิ่งที่งดงามไม่แพ้คณิตศาสตร์ นั่นคือ "ความรัก"
สำหรับสิ่งที่ trailer ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้คือ อยากจะดูว่าหนังจะถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กออทิสติกที่มีพรสวรรค์อย่างไร และจะดำเนินเรื่องราวความรักให้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีปัญหาในการสื่อสารให้กับคนอื่นได้อย่างไร และด้วยว่าเนื้อเรื่องวนเวียน เวียนวนอยู่กับบรรดาอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ ผมเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีฉากแก้โจทย์ที่น่าสนใจมากๆ แน่ๆ
เรามาดูกันครับว่าผมได้เห็นอะไรจากการไปดูหนังจริงๆ บ้าง
1. ครอบครัวเด็กพิเศษไม่ได้สวยงาม
เราคงจะเคยเห็นใช่มั้ยครับ ที่บางครอบครัวพอรู้ว่าลูกเป็น "เด็กพิเศษ" ก็จะพูดทำนองว่าเราจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ให้ความรักให้ความอบอุ่นเขา เพื่อทำให้เขาอยู่ในสังคมนี้ได้เหมือนคนทั่วไป มันฟังดูงดงามและน่าชื่นชมยินดี แต่ความจริงแล้วไม่! หนังเรื่องนี้เองครับที่สะท้อนเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยอุปสรรรค และเร้าอุปสรรคให้มากขึ้นด้วยการนำผู้เป็นพ่อออกไปจากชีวิต Nathan เด็กพิเศษอัจฉริยะของเรา ทำให้เราได้เห็นคนเป็นแม่ที่หน้าชื่นอกตรม พยายามจะเข้าใจลูก พยายามทำอะไรดีๆ ให้ลูกด้วยความรัก ความห่วงใยตลอดเวลา และแทบจะทุกครั้งคือ ด้วยปัญหาจากสิ่งที่ Nathan เป็นทำให้แม่ไม่อาจเข้าใจเขาได้ทั้งหมด และหลายครั้งจบลงด้วยน้ำตาของคนเป็นแม่ที่รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ ซึ่งผมมองว่าหนังได้ถ่ายทอดประเด็นที่เกิดในครอบครัวของเด็กพิเศษได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังถ่ายทอดตัวอย่างบุคลิกลักษณะ และความคิดของเด็กพิเศษ(แต่อัจฉริยะ) ให้เราได้เห็นและเข้าใจพฤติกรรมของเขามากขึ้น สังเกตนะครับผมใช้คำว่า "ตัวอย่าง" เพราะพฤติกรรมของเด็กพิเศษจะแตกต่างกันออกไป อย่าง Nathan ของเราเขาจะชอบสิ่งที่เป็นรูปแบบ (pattern) ทุกอย่างต้องลงเป๊ะๆ ในเชิงคณิตศาสตร์ ไม่งั้นงอแง
2. หนังเรื่องนี้ให้รอยยิ้ม
จริงๆ ประเด็นนี้แล้วแต่คนด้วยครับ บางคนอาจจะยิ้มหรือหัวเราะกับบางฉากที่พระเอกหนุ่มน้อยของเราไม่เข้าใจประโยคที่คนสื่อสารมา ตีความผิดเป็นอีกอย่าง และตอบหรือถามกลับในแบบที่คนปกติทั่วไปไม่น่าจะตอบหรือถาม ก็นับว่าเป็นมุกของหนังที่มีเนื้อเรื่องมาแนวนี้
อย่างอื่นก็จะเป็นในส่วนของคนเป็นแม่ที่พยายามทำอะไรดีๆ ให้ลูก พยายามที่จะเข้าใจลูก รวมถึงอดีตอันสดใสสุขสันต์ในตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมชอบนะไม่ว่าหนังเรื่องไหนก็ตามที่ทำให้เราเห็นฉากความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก มันทำให้ผมยิ้ม นึกถึงพ่อแม่และนึกขอบคุณในหลายๆ สิ่งที่ท่านเคยทำให้เรา
และก็ในส่วนของฉากระหว่าง Nathan กับ จาง เม่ยที่มีฉากทำให้เราผมอมยิ้มได้หลายฉากทีเดียว ก็คนนึงเด็กออทิสติก (ในรีวิวของคนอื่นที่เป็นภาษาไทยเขาใช้คำว่าเนิร์ด ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่) ที่มีปัญหาในการเข้าสังคม ขณะที่อีกคนเป็นเด็กสดใส่ร่าเริงที่เก่งหัวดีไม่แพ้กัน เราเลยจะเห็นภาพที่คนนึงพยายามชวนอีกคนไปดูนั่นดูนี่ กินนั่นกินนี่ ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนอีกคนเริ่มมีความมั่นใจและกล้าที่จะพูดอะไรมากขึ้น เหมือนเด็กน้อยที่กล้าเปิดประตูออกมาเดินนอกบ้าน
3. รักเล็กๆ ที่น่าติดตาม
ก็เพราะคนนึงเด็กออทิสติกขณะที่อีกคนเป็นเด็กสดใส่ร่าเริงนี่แหละครับ ที่ทำให้มันน่าติดตามว่า "มันจะไปรักกันยัง" มันก็อาจจะออกแนวๆ ความสดใสร่าเริงที่ทำให้ชนะใจ เหมือนที่หนังหรือละครชอบเล่นประเด็นนี้กัน ความสัมพันธ์เกิดจากการที่ 2 คนนี้เขาถูกจับคู่บัดดี้กันตอนไปเก็บตัวแข่งโอลิมปิคที่ไต้หวัน ก็เพราะเป็นบัดดี้นี่แหละไปไหนไปกันก็เลยทำให้มีเวลาได้คุยได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น (คือตามเรื่อง Nathan ไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงเลย นี่คงเป็นคนแรกเลยสปาร์คง่าย 5555) สิ่งที่ผมสนใจคือ กระบวนการก่อเกิดความรักในใจเด็กออทิสติกนั้นจะแตกต่างจะคนทั่วไปหรือไม่ ซึ่งหนังก็ได้ถ่ายทอดกระบวนการเปลี่ยนผ่านความรู้สึกมาทีละเล็กละน้อย จนมาถึงจุดที่หลายๆ คนคงจะชอบ สาวๆ ไปดูก็คงจะฟิน จิ้น เพ้อ มโนไปสารพัด แต่มันไม่ได้หวือหวาหรอกครับ มันก็พอจะชวนจิ้นอยู่เล็กน้อย แล้วก็แค่นั้น (แค่ไหนไม่บอกไปดูเอาเองครับ หรือจะอ่านในส่วน Review with Spoils ต่อก็ได้ครับ) แล้วก็ตอนท้ายของเรื่องเล่นด้วยประเด็นการที่ Nathan รู้ใจตัวเองเข้าใจความรู้สึกตัวเอง แล้วก็.....ไปดูเอาเองครับว่าเป็นไงต่อ (หรือจะอ่านในส่วน Review with Spoils ต่อก็ได้ครับ)
4. คนชอบเลขอาจจะคันไม้คันมือ
สำหรับใครที่ชอบคณิตศาสตร์เป็นทุนแล้ว ไปดูเถอะครับ ผมเชื่อว่าคุณจะต้องคันไม้คันมือเหมือนผม อยากจะหยิบปากกาหรือดินสอ กับกระดาษขึ้นมาคิดตาม แก้โจทย์ตาม นี่ผมก็อยากจะจดโจทย์จากในหนังกลับมาคิดต่อเลยนะเนี่ย (ซึ่งก็ได้มา search หาดูจนเจอรวมทั้งเฉลยด้วย) แม้โจทย์มันจะแลดูยาก (ก็มันเป็นข้อสอบโอลิมปิค) แต่ก็มีบางช่วงบางตอนที่แสดงการแก้โจทย์ให้เราดูในแบบที่เข้าใจได้ไม่ยาก (ถ้าอยากจะลองดูก่อนว่าโจทย์อะไรก็นี่เลยครับ)
บอกเลยว่าช่วงที่เป็นฉากสอบ ฉากคิดเลข ฉากอ่านโจทย์นี่มันคันไม้คันมือมากครับ อยากจะแก้โจทย์ไปด้วยจริงๆ (ติดตรงที่ไม่มีดินสอกระดาษ กับสติปัญญาไม่ถึง 5555)
ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 ผมให้ 8 ด้วยเพราะตอนจบมันผมว่ามันจบง่าย จบเร็ว จบห้วนๆ ไปหน่อย เหมือนแก้ปมเชือกมาเรื่อยๆ จนถึงปมสุดท้ายไม่แก้แล้ว ตัดมันทิ้งไปเลยยังไงยังงั้น แต่หนังเรื่องนี้ดูแล้วสบายใจดี โทนหนังมันแนวอบอุ่น โรแมนติกเล็กน้อย เจือด้วยดราม่า ทำให้รสชาติกลมกล่อมนุ่มลิ้นดีครับ (เอ๊ะ! หนังหรือกาแฟเนี่ย)
ผมยังมีรีวิวอีกส่วนหนึ่งแต่ว่า มันมีสปอยล์ติดมาด้วย เพราะว่าจะรีวิวให้เห็นภาพ ถึงอารมณ์อย่างที่ผมเห็น ผมถึงมาก็ต้องมีหลุดๆ บ้าง เอาเป็นว่าถ้าใครยินดีจะถูกสปอยล์แลกกับการได้รู้มากยิ่งขึ้นว่าหนังเรื่องนี้จะคุ้มค่าที่จะไปดูหรือไม่ ก็....เชิญทางนี้ได้เลยครับ
http://zaneter.azurewebsites.net/x-plus-y/