ฮั่นแน่ เข้ามาเพราะหัวกระทู้ใช่มั้ยคะ -.,-
ออกตัวก่อนว่าไปญี่ปุ่นครั้งนี้ เราไม่คิดจะรีวิวอะไรเลย เพราะสู้ข้อมูลพี่ๆ ในห้องบลูไม่ไหวแน่ สำหรับเราอะไรๆ ก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ถ้าจะให้เก็บข้อมูลมารีวิวจริงๆ ขออยู่สักเดือนได้มะ 555
จนกระทั่งเราได้ขึ้น Ambulance ไปโรงพยาบาลกลางดึกนี่แหละ มั่นใจมากว่ามีคนไทยไปญี่ปุ่นเยอะ แต่คนนั่งรถพยาบาลนี่คงไม่ค่อยมี 555555555
จริงๆ ทริปนี้เป็นการเดินทางไกลๆ ครั้งแรก เราผู้ซึ่งไม่เคยไปไหนไกลกว่าพม่า ลาว อะไรงี้ .. ญี่ปุ่นจึงเป็นทริปแรกและครั้งแรกด้วยเช่นกัน
แผนการเดินทางของเราไม่มีอะไรมาก ไปเที่ยวทาง Kansai ค่ะ โดยอยู่ที่ Osaka เป็นหลัก ออกไปเที่ยว USJ / Kyoto / Kobe / Nara อย่างละวันแล้วมาเก็บตกที่โอซาก้าวันสุดท้าย ก่อนขึ้นเครื่องกลับไทยตอนดึกๆ ค่ะ ทั้งหมดก็เป็นไปด้วยดี มีปรับเปลี่ยนตามอากาศและสภาพร่างกายของคนในทริป โดยรวมๆ ก็โอเคค่ะ
ยืมภาพแผนเที่ยวจากห้องบลูนะคะ
ขอเล่า 3 เรื่องนะคะ .. สองเรื่องแรกสั้นๆ ไม่มีอะไรมาก ไฮไลท์ที่อยากจะเล่าคือเรื่องสุดท้ายค่ะ
- Power Bank เกือบระเบิดบนเครื่อง
จิ้มอ่านได้เลยในสปอยล์ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราพก Power Bank ไปกันคนละอัน ของเราอันเล็กๆ ความจุประมาณ 4000 ค่ะ เป็นแบรนด์ Apacer ที่ผลิต USB นั่นแหละ ปลอดภัย ไว้ใจได้ ส่วนอีกอันเป็นแบรนด์จีนของที่บ้าน หน้าตาดูไว้ใจได้นะคะ ไม่รู้ว่ามันนานเกินไปหรือยังไง ตัวนี้ความจุ 14,000ค่ะ ซึ่งสายการบินให้เอาขึ้นได้ไม่เกิน 32,000
ทุกอย่างเป็นปกติดี จนกระทั่งช่วงที่เครื่องใกล้จะลงสนามบิน Kansaiแล้ว เรารู้สึกได้ว่าเครื่องลคระดับเพดานการบินเร็วมาก ปวดหูไปหมด แล้วแฟนเราก็สังเกตเห็นค่ะ สะกิดให้เราดูว่าไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั้ย
Power Bank มันบวมขึ้นๆ ค่ะ -0-
เห้ยย ไม่ได้ตาฝาด มันบวมขึ้นๆ จริงๆ ด้วยหว่ะ เอาไงดีละเนี่ย เราใส่ไว้ช่องใส่ของข้างหน้า ซึ่งมันใกล้ขาพวกเราเหลือเกิ๊น อย่าเพิ่งตู้มนะเว้ยเห่ยยย..
เราเอาหมอนผ้าห่มมาพันๆ มันไว้ก่อน คิดเอาง่ายๆ แบบคิดเอาเองว่าอย่างน้อยถ้ามันระเบิด มันจะได้ไม่กระจัดกระจาย ไม่บาดคนในเครื่อง(โดยเฉพาะพวกเรา TT ที่ริงไซค์สุดๆ เหมือนบัตรคอนเกาหลี 9500 บาทเลยค่ะ)
แล้วหันซ้ายหันขวา มองหาพี่แอร์คนสวย โชคดีมีแอร์เดินมาพอดี เลยรีบเล่าให้ฟัง พี่แอร์บอกว่าให้เอาออกมาจากห่อผ้า มันจะได้ไม่ไหม้ผ้าไปด้วยถ้าเกิดระเบิดจริงๆ เอาออกมาวางที่เก้าอี้ที่ไม่มีคนนั่งค่ะ ถ้าไหม้จะได้เอาน้ำดับทัน
สุดท้ายแล้ว ลงเครื่องมามันก็ยังไม่ระเบิด แม้จะบวมขึ้นก็เถอะ
นี่แทบจะเขวี้ยงทิ้งลงทะเลเบยยยย นั่งเครื่องบินครั้งแรกไม่ตื่นเต้นเท่ากลัว Power bank จะระเบิดนะพูดเลย
T______T
หน้าตา power bank เจ้าปัญหาค่ะ เสียใจที่ไม่ได้ถ่ายตอนมันบวมๆ มาง่ะ
ปล. สุดท้ายเราก็หาที่ทิ้งมันออกไป ไม่เก็บมาใช้จ้า พอกันที 555 แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ ของแบบนี้ควรหาแบรนด์ที่ไว้ใจได้หน่อยนะคะ ตู้มต้ามขึ้นมาไม่คุ้มกัน ยิ่งสมมตเกิดมันระเบิดบนเครื่องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไงไม่อยากจะคิดเลยค่ะ คงวุ่นวายน่าดู
- ช็อปเพลินจนตกรถไฟเที่ยวสุดท้าย
จิ้มอ่านได้เลยในสปอยล์ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อันนี้ฝากไว้ให้สาวๆ คำนวนเวลาให้ดีๆ เราแอนด์เดอะแก๊งกะเวลาผิดไปหน่อย รถไฟรอบสุดท้ายหมดช่วงเที่ยงคืน ห้าทุ่มครึ่งเรายังจ่ายเงินอยู่ดองกี้ตรง Dotonbori เลยจ้า 555555
ยั๊งงงง ยังไม่พอ นี่ยังจะ tax refund กันอีก .. สุดท้ายวิ่งไปรถไฟไม่ทัน ช้าไปราวๆ 5 นาที ค่ะ ถามนายสถานีว่ามี Bus กลับ Shin Osaka มั้ย .. โนจ้า นายสถานีตอบว่า Taxi Only
-0-
ยังดีที่ไปกัน 4 คน ค่าแท็กซี่ไหลเร็วยิ่งกว่ามิเตอร์น้ำประปา กระพริบตาทีเป็นเปลี่ยนเลข สรุปแล้วโดนไปราวๆ 3000 เยนค่ะ TT หาร 4 ออกมาเลยค่อยยังชั่ว
สรุปไอที่ Tax refund ออกมา ก็เอามาจ่ายค่าแท็กซี่หมดละค่ะ 555
ช็อปดูเวลากันด้วยนะคะสาวๆ
..
.
.
มาถึงไฮไลท์
- ขึ้นรถหวอไปโรงพยาบาลกลางดึก อันนี้ยาวหน่อยนะคะ ไม่ซ่อนข้อความเนอะ อยากจะเล่าจริงๆ 555
เราเป็นคนขี้ลืมมาก และการ ‘ลืม’ของเราครั้งนี้ส่งผลร้ายแรงกว่าครั้งอื่นๆ
เราลืมซื้อประกันการการเดินทางค่ะ!!!
คือเราตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว แต่มัวแต่วุ่นๆ เลยลืมไปสนิทเลย TT รู้สึกตัวอีกทีตอนอยู่บนเครื่องแล้วค่ะ พอเครื่องแลนดิ้งปุ๊บ เรารีบเมล์ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ทันแหล่วววว ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบมาตามที่คิด ว่าซื้อประกันการเดินทางไม่ทันแล้วค่ะ
เราก็โมโหตัวเองเล็กๆ ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ได้ไง แต่ก็คิดว่าช่างมันละกัน ไม่ทันคือไม่ทัน ลืมเองจะโทษใครได้ อีกอย่างคนมาญี่ปุ่นเป็นร้อยเป็นพันคนในแต่ละวัน นี่เรามาแค่ห้าหกวัน เราคงไม่ซวยขนาดน้านนนนน อะไรมันจะพอดิบพอดีขนาดนั้น ไม่มีหร๊อกกกกก
หึหึ ตอนนั้นเรายังไม่รู้ไงว่า คำว่า พอดิบพอดี มันมีจริง!! 5555555
กลางดึกของคืนวันสุดท้าย เรานั่งจัดกระเป๋าอยู่คนเดียว คนในทริปหลับหมดแล้ว เรากะว่าจัดกระเป๋าให้เสร็จคืนนี้ไปเลย เรามีเวลาเที่ยวพรุ่งนี้เต็มๆ วันก่อนเครื่องออกเกือบเที่ยงคืน เราจะได้ช็อปปิ้งรอบสุดท้ายแล้วเอาของที่ช็อปมาวางเรียงง่ายๆ ไปเลยค่ะ
01:30 น
เราโยนของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าไป บิดขี้เกียจก่อนจะไปนอน แล้วมันก็เกิดขึ้นค่ะ!!!
กรามเราค้าง!!!
-0-
#ร้อง Here หนักมากกกกกกกกก
คือขากรรไกร กราม หรืออะไรก็แล้วตรงปากด้านในอ่ะค่ะ มันไม่ขบกันลงล็อกแบบที่ควรจะเป็น .. อาการนี้เราเคยเป็นที่ไทยค่ะ ตอนนั้นหมอฉีดยาสลบแล้วขยับลง
รูปอ้างอิงประมาณนี้ค่ะ
แต่นี่ดั๊นนมาเป็นต่างบ้านต่างเมือง จะทำยังไงละเนี่ย TT ที่สำคัญประกันการเดินทางก็ไม่มี!!!
เราพยายามขยับเองอยู่ครึ่งชั่งโมง ไม่สำเร็จค่ะ จะวิ่งลงไปถามหาโรงพยาบาลที่ Front ก็นึกขึ้นได้ว่าสภาพนี้คือไม่เวิร์กๆ 55555 ลองนึกดูนะคะ ผู้หญิงใส่ชุดนอน หัวเหอยุ่งเหยิง แถมอ้าปากค้างไว้ตลอดเวลา 5555 ไม่โอเคจ้า
สุดท้ายเลยปลุกแฟนขึ้นมา พิมพ์ทุกอย่างลงใน Note ยื่นให้เค้าอ่าน แล้วลงไปที่ Front ด้วยกัน ไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าใบเล็กที่มี Passport / pocket Wifi และกระเป๋าเงินไปด้วย
02:00 น.
แฟนเราก็หัวยุ่งเหยิงพอกัน ก็เพิ่งจะตื่นเนอะ ฮีมาด้วยสภาพเสื้อบางๆ กับกางเกงขาสั้น วิ่งลงมาที่ฟร้อน พยายามอธิบายเหตุการณ์และสิ่งที่เราต้องการกัน
ดั๊นนน เจอพนักงานอยู่กะดึกซึ่งภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย อาโน เอโตะ อย่างเดียว TT พยายามพูดจนเมื่อยมือ สุดท้ายพี่ฟร้อนวิ่งไปเอาไอแพดมาจากข้างหลัง แล้วการคุยผ่านapp google translate TH<>JP ก็เริ่มต้นขึ้น
เราถามเค้าว่า มีโรงพยาบาลที่ไหนใกล้ๆ มั้ย หาให้หน่อย รบกวนถามค่ารักษาด้วยนะคะ หากไม่เกินสัก 50,000 Yen เราจะไปทันที เรียกรถมารับเราได้เลย
พี่ฟร้อนโรงแรมบอกว่า ... เวลานี้โรงพยาบาลปิดหมดแล้วนะ
อื้อหื้อออออ ในใจเรานี่ร้องคำนี้เลยHere laew kaaaaa
สภาพเราเริ่มย่ำแย่ลงนิดหน่อย ปากอ้าค้างตลอด เริ่มเจ็บช่วงกรามล่ะ กลืนน้ำลายไม่สะดวก บ้วนทิ้งก็ไม่ได้ เลยพากันสำลัก ไอเป็นระยะๆ
เราย้ำกันอีกว่าหาอีกหน่อยได้มั้ย .. จนสุดท้ายเค้าพยายามโทรศัพท์อยู่นานมาก วางสายลงแล้วบอกเราว่า มีอยู่ทีนึงนะ ไกลจากนี่ออกไป 15 กิโลเมตร เดินทางประมาณ 20 นาที แล้วก็น่าจะแพงเพราะมัน overtime นะ
พวกเรางี้เซย์เยสอย่างเดียว ไม่มีทางเลือกค่า ต่อให้แพงก็ต้องไปปะวะคะTT ไม่ใช่มีดบาดนะจะได้เก็บไปใส่ยาเมืองไทยได้
เราถามว่าไปยังไง .. เค้าบอกว่า taxiจ้า เพราะรถไฟหมดแล้ว
Ship haai laew kaaaa TT ค่าแท็กซี่ญี่ปุ่นที่มิเตอร์ไหลเป็นน้ำอ่ะนะ แถมไปที่ไหน ยังไง ตรงไหน เราก็ยังไม่รู้เลย
พยายามคุยต่อ .. ถามหารถโรงพยาบาลว่ามารับได้มั้ย บลาๆ แฟนเราก็เปิดรูปรถแอมบูให้ดู ว่ารถแบบเนี้ย โรงพยาบาลมีมั้ย แบบว่าHospital’s car ง่ะ
02:30 น.
ใช้เวลาไปอีกครึ่ง ชม. ที่ฟร้อนแหล่ววว .. จนเค้าวางสาย พยักหน้าว่าเดี๋ยวอีก 10 นาทีจะมีรถพยาบาลมารับยูนะ เป็นสิบนาทีที่ผ่านไปช้ามากในความรู้สึก TT เราเริ่มไอมากกว่าเดิม แต่ก็คิดในใจนะ ดีแค่ไหนที่เป็นแค่นี้ ไม่ตกรถ โดนรถชนก็ดีแค่ไหนล่ะ
02:40 น.
Ambulance เปิดหวอมาถึงหน้าโรงแรมแหล่ว ดีใจน้ำตาจะไหล แต่ยังจ้า มันยังไม่จบง่ายๆ เพราะพี่แอมบูสุดหล่อไป รพ ที่ว่ามาไม่ถูก
เค้ามากัน 2 คน นั่งเปิดแผนที่ไปคนนึง อีกคนนึงซึ่งแอบหล่อ นี่แม้จะอ้าปากค้างแต่สายตายังปกตินะ 55555 พี่เค้านั่งถามอาการเบื้องต้น ดื่มแอลกอฮอลมั้ย? แพ้ยามั้ย? ท้องอยู่ด้วยหรือเปล่า? แล้วก็เอาพาสปอร์ตเราไปกรอกข้อมูล
แน่นอนว่าพี่เค้า English ไม่แข็งแรงเช่นเคย app google translate ช่วยชีวิตเราอีกแล้ว TT
ใช้เวลาไปอีกราวๆ 10 นาที แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกัน
ระหว่างทางพี่แอมบูน่ารักมาก ซาบซึ้งขั้นสุด พยายามปลอบพวกเราให้ใจเย็นๆ ผ่านแอพแปลภาษา พยายามบอกตลอดว่าอีกแปปเดียวก็เจอหมอแล้ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้า internet ที่เราพกไปมันไม่ดี เดี๋ยวมาบอกว่าใช้เน็ตของบริษัทไหนค่ะ -.,-
ทางมันมืดตลอดทาง ดูสับสนวกวน ยิ่งเราไม่รู้จักพื้นที่ด้วยยิ่งไปกันใหญ่ สุดท้ายสิ่งที่เรากลัวมันก็เกิดขึ้น TT เราอ้วกกระจายใส่รถพี่แอมบูแลนซ์ค่ะ ขออภัยคนที่ทานอาหารอยู่ด้วยนะคะ .. การอ้วกทั้งๆ ที่ปากอ้าค้างนี่ไม่ขำเลย ฮือออ บ้วนออกไม่ได้ กลืนน้ำลายไม่ถนัด ต้องปล่อยให้อะไรๆ มันไหลออกมาเอง พี่เค้าหากระโถนรองอ้วกมาให้ แล้วเราคอยก้มหน้าปล่อยให้มันไหลออกมา เอาผ้าผืนเล็กๆ เช็ดปาดทิ้งบ้างเป็นระยะ
ขอโทษพี่แอมบูไปแสนรอบสำหรับความวุ่นวายเลอะเทอะที่เราก่อขึ้น TT
03:15 น.
ถึงโรงพยาบาลแล้วค่ะ ตอนเปิดรถลงมานี่หนาวสั่นมากมากมาก ทุกอย่างมืดสนิท โรงพยาบาลเหมือนโรงพยาบาลร้างเลย มีคุณลุงผู้ชายหนึ่งคนมารับเรา แล้วพาเราเดินไปมุมนึง แน่นอนว่าทุกอย่างมืดค่ะ มีเพียงแสงไฟไม่กี่ดวงเท่านั้น
คุณลุงคนนี้พูดอังกฤษได้ดีกว่าคนอื่น แอพแปลภาษาเลยตกงานไปโดยปริยาย แล้วพี่แอมบูกับคุณลุงก็คุยกันเอง คงอธิบายกันเองง่ายกว่ามาถามเราอีกรอบแหละ แล้วก็ถามเราว่าสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่นได้มั้ย โถววว กล้าถาม 555 โนจ้า เค้าเลยให้เราเช็นใบอะไรสองใบ ลักษณะเหมือนใบยินยอมให้รักษาอะไรประมาณเนี้ย คือทั้งแผ่นนี่อ่านไม่ออกเลยยกเว้นชื่อตัวเอง
นั่งรอไม่นาน เค้าเปิดห้องให้เราเข้าไปนั่ง แอบงงเล็กๆ ว่าโรงพยาบาลอะไรวะคะเนี่ย เปิดห้องมาเจอเก้ากี้หมอฟันเลย มีคุณหมอชุดขาวหนึ่งคนใส่ถุงมือรออยู่ กับอีกคนนึงดูท่าทางเหมือนนักศึกษาแพทย์เลย
ไม่เกิด 10 นาทีค่ะ คุณหมอยื่นมือเข้าปากมา
เดี๋ยวหมอเดี๋ยวววววว -0-
หนู พะ พะ เพิ่งอ้วกมานะคะ TT หมอหล่อด้วย แอบอาย แต่นาทีนั้นความอายไม่ส่งผลแล้วค่ะ 55555
หมอขยับกรามเราสดๆ 5555 พร้อมบอกให้ relax เท่านั้นแหละ กึกเดียวเท่านั้นหายเป็นปลิดทิ้ง อื้อหือออออออ .. รู้สึกเหมือนเกิดใหม่
03:50 น.
ทุกคนจ้องเราเป็นตาเดียว ถามว่าโอเคมั้ย เราพยักหน้าโอเค ยกมือไหว้รอบทิศเป็นภราดรเลย ซาบซึ้งมากกกกกกก เบ็ดเสร็จเราอ้าปากค้างอยู่เป็นเวลาราวๆ 2 ชั่วโมง 20 นาที 5555555555
มองซ้ายมองขวา หาพี่แอมบูสุดหล่อ ปรากฏหลับไปหมดแล้ว เสียดายจังเลย อยากขอบคุณอีกสักครั้งง่ะ
ต่อเม้นด้านล่างนะคะ อาจจะยาวไป พิมต่อในนี้ไม่ได้ง่ะ TT
ญี่ปุ่นภาคพิเศษ .. Power Bank เกือบตู้ม / ขึ้นรถหวอไปโรงพยาบาล / ช็อปเพลินตกรถไฟ – ประกันการเดินทางใครว่าไม่สำคัญ!!
ฮั่นแน่ เข้ามาเพราะหัวกระทู้ใช่มั้ยคะ -.,-
ออกตัวก่อนว่าไปญี่ปุ่นครั้งนี้ เราไม่คิดจะรีวิวอะไรเลย เพราะสู้ข้อมูลพี่ๆ ในห้องบลูไม่ไหวแน่ สำหรับเราอะไรๆ ก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ถ้าจะให้เก็บข้อมูลมารีวิวจริงๆ ขออยู่สักเดือนได้มะ 555
จนกระทั่งเราได้ขึ้น Ambulance ไปโรงพยาบาลกลางดึกนี่แหละ มั่นใจมากว่ามีคนไทยไปญี่ปุ่นเยอะ แต่คนนั่งรถพยาบาลนี่คงไม่ค่อยมี 555555555
จริงๆ ทริปนี้เป็นการเดินทางไกลๆ ครั้งแรก เราผู้ซึ่งไม่เคยไปไหนไกลกว่าพม่า ลาว อะไรงี้ .. ญี่ปุ่นจึงเป็นทริปแรกและครั้งแรกด้วยเช่นกัน
แผนการเดินทางของเราไม่มีอะไรมาก ไปเที่ยวทาง Kansai ค่ะ โดยอยู่ที่ Osaka เป็นหลัก ออกไปเที่ยว USJ / Kyoto / Kobe / Nara อย่างละวันแล้วมาเก็บตกที่โอซาก้าวันสุดท้าย ก่อนขึ้นเครื่องกลับไทยตอนดึกๆ ค่ะ ทั้งหมดก็เป็นไปด้วยดี มีปรับเปลี่ยนตามอากาศและสภาพร่างกายของคนในทริป โดยรวมๆ ก็โอเคค่ะ
ยืมภาพแผนเที่ยวจากห้องบลูนะคะ
ขอเล่า 3 เรื่องนะคะ .. สองเรื่องแรกสั้นๆ ไม่มีอะไรมาก ไฮไลท์ที่อยากจะเล่าคือเรื่องสุดท้ายค่ะ
- Power Bank เกือบระเบิดบนเครื่อง
จิ้มอ่านได้เลยในสปอยล์ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- ช็อปเพลินจนตกรถไฟเที่ยวสุดท้าย
จิ้มอ่านได้เลยในสปอยล์ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
..
.
.
มาถึงไฮไลท์
- ขึ้นรถหวอไปโรงพยาบาลกลางดึก อันนี้ยาวหน่อยนะคะ ไม่ซ่อนข้อความเนอะ อยากจะเล่าจริงๆ 555
เราเป็นคนขี้ลืมมาก และการ ‘ลืม’ของเราครั้งนี้ส่งผลร้ายแรงกว่าครั้งอื่นๆ
เราลืมซื้อประกันการการเดินทางค่ะ!!!
คือเราตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว แต่มัวแต่วุ่นๆ เลยลืมไปสนิทเลย TT รู้สึกตัวอีกทีตอนอยู่บนเครื่องแล้วค่ะ พอเครื่องแลนดิ้งปุ๊บ เรารีบเมล์ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ทันแหล่วววว ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบมาตามที่คิด ว่าซื้อประกันการเดินทางไม่ทันแล้วค่ะ
เราก็โมโหตัวเองเล็กๆ ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ได้ไง แต่ก็คิดว่าช่างมันละกัน ไม่ทันคือไม่ทัน ลืมเองจะโทษใครได้ อีกอย่างคนมาญี่ปุ่นเป็นร้อยเป็นพันคนในแต่ละวัน นี่เรามาแค่ห้าหกวัน เราคงไม่ซวยขนาดน้านนนนน อะไรมันจะพอดิบพอดีขนาดนั้น ไม่มีหร๊อกกกกก
หึหึ ตอนนั้นเรายังไม่รู้ไงว่า คำว่า พอดิบพอดี มันมีจริง!! 5555555
กลางดึกของคืนวันสุดท้าย เรานั่งจัดกระเป๋าอยู่คนเดียว คนในทริปหลับหมดแล้ว เรากะว่าจัดกระเป๋าให้เสร็จคืนนี้ไปเลย เรามีเวลาเที่ยวพรุ่งนี้เต็มๆ วันก่อนเครื่องออกเกือบเที่ยงคืน เราจะได้ช็อปปิ้งรอบสุดท้ายแล้วเอาของที่ช็อปมาวางเรียงง่ายๆ ไปเลยค่ะ
01:30 น
เราโยนของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าไป บิดขี้เกียจก่อนจะไปนอน แล้วมันก็เกิดขึ้นค่ะ!!!
กรามเราค้าง!!!
-0-
#ร้อง Here หนักมากกกกกกกกก
คือขากรรไกร กราม หรืออะไรก็แล้วตรงปากด้านในอ่ะค่ะ มันไม่ขบกันลงล็อกแบบที่ควรจะเป็น .. อาการนี้เราเคยเป็นที่ไทยค่ะ ตอนนั้นหมอฉีดยาสลบแล้วขยับลง
รูปอ้างอิงประมาณนี้ค่ะ
แต่นี่ดั๊นนมาเป็นต่างบ้านต่างเมือง จะทำยังไงละเนี่ย TT ที่สำคัญประกันการเดินทางก็ไม่มี!!!
เราพยายามขยับเองอยู่ครึ่งชั่งโมง ไม่สำเร็จค่ะ จะวิ่งลงไปถามหาโรงพยาบาลที่ Front ก็นึกขึ้นได้ว่าสภาพนี้คือไม่เวิร์กๆ 55555 ลองนึกดูนะคะ ผู้หญิงใส่ชุดนอน หัวเหอยุ่งเหยิง แถมอ้าปากค้างไว้ตลอดเวลา 5555 ไม่โอเคจ้า
สุดท้ายเลยปลุกแฟนขึ้นมา พิมพ์ทุกอย่างลงใน Note ยื่นให้เค้าอ่าน แล้วลงไปที่ Front ด้วยกัน ไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าใบเล็กที่มี Passport / pocket Wifi และกระเป๋าเงินไปด้วย
02:00 น.
แฟนเราก็หัวยุ่งเหยิงพอกัน ก็เพิ่งจะตื่นเนอะ ฮีมาด้วยสภาพเสื้อบางๆ กับกางเกงขาสั้น วิ่งลงมาที่ฟร้อน พยายามอธิบายเหตุการณ์และสิ่งที่เราต้องการกัน
ดั๊นนน เจอพนักงานอยู่กะดึกซึ่งภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย อาโน เอโตะ อย่างเดียว TT พยายามพูดจนเมื่อยมือ สุดท้ายพี่ฟร้อนวิ่งไปเอาไอแพดมาจากข้างหลัง แล้วการคุยผ่านapp google translate TH<>JP ก็เริ่มต้นขึ้น
เราถามเค้าว่า มีโรงพยาบาลที่ไหนใกล้ๆ มั้ย หาให้หน่อย รบกวนถามค่ารักษาด้วยนะคะ หากไม่เกินสัก 50,000 Yen เราจะไปทันที เรียกรถมารับเราได้เลย
พี่ฟร้อนโรงแรมบอกว่า ... เวลานี้โรงพยาบาลปิดหมดแล้วนะ
อื้อหื้อออออ ในใจเรานี่ร้องคำนี้เลยHere laew kaaaaa
สภาพเราเริ่มย่ำแย่ลงนิดหน่อย ปากอ้าค้างตลอด เริ่มเจ็บช่วงกรามล่ะ กลืนน้ำลายไม่สะดวก บ้วนทิ้งก็ไม่ได้ เลยพากันสำลัก ไอเป็นระยะๆ
เราย้ำกันอีกว่าหาอีกหน่อยได้มั้ย .. จนสุดท้ายเค้าพยายามโทรศัพท์อยู่นานมาก วางสายลงแล้วบอกเราว่า มีอยู่ทีนึงนะ ไกลจากนี่ออกไป 15 กิโลเมตร เดินทางประมาณ 20 นาที แล้วก็น่าจะแพงเพราะมัน overtime นะ
พวกเรางี้เซย์เยสอย่างเดียว ไม่มีทางเลือกค่า ต่อให้แพงก็ต้องไปปะวะคะTT ไม่ใช่มีดบาดนะจะได้เก็บไปใส่ยาเมืองไทยได้
เราถามว่าไปยังไง .. เค้าบอกว่า taxiจ้า เพราะรถไฟหมดแล้ว
Ship haai laew kaaaa TT ค่าแท็กซี่ญี่ปุ่นที่มิเตอร์ไหลเป็นน้ำอ่ะนะ แถมไปที่ไหน ยังไง ตรงไหน เราก็ยังไม่รู้เลย
พยายามคุยต่อ .. ถามหารถโรงพยาบาลว่ามารับได้มั้ย บลาๆ แฟนเราก็เปิดรูปรถแอมบูให้ดู ว่ารถแบบเนี้ย โรงพยาบาลมีมั้ย แบบว่าHospital’s car ง่ะ
02:30 น.
ใช้เวลาไปอีกครึ่ง ชม. ที่ฟร้อนแหล่ววว .. จนเค้าวางสาย พยักหน้าว่าเดี๋ยวอีก 10 นาทีจะมีรถพยาบาลมารับยูนะ เป็นสิบนาทีที่ผ่านไปช้ามากในความรู้สึก TT เราเริ่มไอมากกว่าเดิม แต่ก็คิดในใจนะ ดีแค่ไหนที่เป็นแค่นี้ ไม่ตกรถ โดนรถชนก็ดีแค่ไหนล่ะ
02:40 น.
Ambulance เปิดหวอมาถึงหน้าโรงแรมแหล่ว ดีใจน้ำตาจะไหล แต่ยังจ้า มันยังไม่จบง่ายๆ เพราะพี่แอมบูสุดหล่อไป รพ ที่ว่ามาไม่ถูก
เค้ามากัน 2 คน นั่งเปิดแผนที่ไปคนนึง อีกคนนึงซึ่งแอบหล่อ นี่แม้จะอ้าปากค้างแต่สายตายังปกตินะ 55555 พี่เค้านั่งถามอาการเบื้องต้น ดื่มแอลกอฮอลมั้ย? แพ้ยามั้ย? ท้องอยู่ด้วยหรือเปล่า? แล้วก็เอาพาสปอร์ตเราไปกรอกข้อมูล
แน่นอนว่าพี่เค้า English ไม่แข็งแรงเช่นเคย app google translate ช่วยชีวิตเราอีกแล้ว TT
ใช้เวลาไปอีกราวๆ 10 นาที แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกัน
ระหว่างทางพี่แอมบูน่ารักมาก ซาบซึ้งขั้นสุด พยายามปลอบพวกเราให้ใจเย็นๆ ผ่านแอพแปลภาษา พยายามบอกตลอดว่าอีกแปปเดียวก็เจอหมอแล้ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้า internet ที่เราพกไปมันไม่ดี เดี๋ยวมาบอกว่าใช้เน็ตของบริษัทไหนค่ะ -.,-
ทางมันมืดตลอดทาง ดูสับสนวกวน ยิ่งเราไม่รู้จักพื้นที่ด้วยยิ่งไปกันใหญ่ สุดท้ายสิ่งที่เรากลัวมันก็เกิดขึ้น TT เราอ้วกกระจายใส่รถพี่แอมบูแลนซ์ค่ะ ขออภัยคนที่ทานอาหารอยู่ด้วยนะคะ .. การอ้วกทั้งๆ ที่ปากอ้าค้างนี่ไม่ขำเลย ฮือออ บ้วนออกไม่ได้ กลืนน้ำลายไม่ถนัด ต้องปล่อยให้อะไรๆ มันไหลออกมาเอง พี่เค้าหากระโถนรองอ้วกมาให้ แล้วเราคอยก้มหน้าปล่อยให้มันไหลออกมา เอาผ้าผืนเล็กๆ เช็ดปาดทิ้งบ้างเป็นระยะ
ขอโทษพี่แอมบูไปแสนรอบสำหรับความวุ่นวายเลอะเทอะที่เราก่อขึ้น TT
03:15 น.
ถึงโรงพยาบาลแล้วค่ะ ตอนเปิดรถลงมานี่หนาวสั่นมากมากมาก ทุกอย่างมืดสนิท โรงพยาบาลเหมือนโรงพยาบาลร้างเลย มีคุณลุงผู้ชายหนึ่งคนมารับเรา แล้วพาเราเดินไปมุมนึง แน่นอนว่าทุกอย่างมืดค่ะ มีเพียงแสงไฟไม่กี่ดวงเท่านั้น
คุณลุงคนนี้พูดอังกฤษได้ดีกว่าคนอื่น แอพแปลภาษาเลยตกงานไปโดยปริยาย แล้วพี่แอมบูกับคุณลุงก็คุยกันเอง คงอธิบายกันเองง่ายกว่ามาถามเราอีกรอบแหละ แล้วก็ถามเราว่าสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่นได้มั้ย โถววว กล้าถาม 555 โนจ้า เค้าเลยให้เราเช็นใบอะไรสองใบ ลักษณะเหมือนใบยินยอมให้รักษาอะไรประมาณเนี้ย คือทั้งแผ่นนี่อ่านไม่ออกเลยยกเว้นชื่อตัวเอง
นั่งรอไม่นาน เค้าเปิดห้องให้เราเข้าไปนั่ง แอบงงเล็กๆ ว่าโรงพยาบาลอะไรวะคะเนี่ย เปิดห้องมาเจอเก้ากี้หมอฟันเลย มีคุณหมอชุดขาวหนึ่งคนใส่ถุงมือรออยู่ กับอีกคนนึงดูท่าทางเหมือนนักศึกษาแพทย์เลย
ไม่เกิด 10 นาทีค่ะ คุณหมอยื่นมือเข้าปากมา
เดี๋ยวหมอเดี๋ยวววววว -0-
หนู พะ พะ เพิ่งอ้วกมานะคะ TT หมอหล่อด้วย แอบอาย แต่นาทีนั้นความอายไม่ส่งผลแล้วค่ะ 55555
หมอขยับกรามเราสดๆ 5555 พร้อมบอกให้ relax เท่านั้นแหละ กึกเดียวเท่านั้นหายเป็นปลิดทิ้ง อื้อหือออออออ .. รู้สึกเหมือนเกิดใหม่
03:50 น.
ทุกคนจ้องเราเป็นตาเดียว ถามว่าโอเคมั้ย เราพยักหน้าโอเค ยกมือไหว้รอบทิศเป็นภราดรเลย ซาบซึ้งมากกกกกกก เบ็ดเสร็จเราอ้าปากค้างอยู่เป็นเวลาราวๆ 2 ชั่วโมง 20 นาที 5555555555
มองซ้ายมองขวา หาพี่แอมบูสุดหล่อ ปรากฏหลับไปหมดแล้ว เสียดายจังเลย อยากขอบคุณอีกสักครั้งง่ะ
ต่อเม้นด้านล่างนะคะ อาจจะยาวไป พิมต่อในนี้ไม่ได้ง่ะ TT