เมื่อประมาณปี 2553 ตอนนั้นเรียนจบมาใหม่ๆ ไปสมัครงานและสัมภาษณ์ไว้ประมาณ 5-6 ที่
นอกจากนี้ก็ไปสอบงานราชการ สอบ กพ. แต่ยังไม่ประกาศผล เพื่อนๆ ก็ทยอยกันได้งานกันแล้ว แต่เรายังไม่ได้
ช่วงระหว่างที่เรารอผลการสัมภาษณ์งานอย่างใจจดใจจ่อ และรอประกาศผลสอบที่ไปสอบไว้หลายๆที่
ทำให้เราไม่มีกระจิตกระใจ ทำอะไรสักอย่าง เชื่อมั้ย?? เรานอนดูซีรี่เกาหลี ทั้งวันทั้งคืน เบื่อก็นั่งเล่นเกม เล่นเนต
ไม่ออกจากห้องเลยค่ะ สั่งซื้อหนังเกาหลีมาเยอะมาก หิวข้าวก็สั่งอาหารตามสั่งมากินที่ห้อง แอบเนียนฝากซื้อขนม
ผ่านไปซักหนึ่งสัปดาห์ อยากกินโน่นกินนี่ แต่ขี้เกียจ เลยโทรหาวินมอเตอร์ไซด์ใช้ไปซื้อของให้
กดเอทีเอ็ม ก็ใช้พี่วินนั่นแหละไปกด ถามว่ากลัวไหม?? ก็กลัว แต่ขี้เกียจออกไปกด ขนาดตู้เอทีเอ็มอยู่แค่หน้าปากซอย
บางทีดูซีรี่ ดูหนัง แล้วอยากกินนั่นอยากกินนี่ไกลๆ ก็ได้พี่วินนี่แหละไปซื้อให้ เพราะเบื่ออาหารตามสั่งแล้ว
ซื้อของกินมามันก็ต้องใส่จานใช่ไหม แต่เราขี้เกียจล้าง เลยใช้พี่วินไปซื้อถ้วยจานช้อน พลาสติกมาให้ด้วย (อะไรจะขี้เกียจขนาดนั้น)
เสื้อผ้าไม่ได้ซักเลยค่ะ ขอโทษนะคะ แม้แต่กางเกงในก็ใส่จนหมด ใส่ตะกร้าไว้เต็ม เสื้อผ้าเริ่มหมดก็นุ่งแต่ผ้าเช็ดตัว เสื้อคลุมซ้ำๆ
สามวันไม่ได้อาบน้ำ เพราะตอนนั้นเราคิดว่า เหงื่อไม่ออก ร่างกายไม่ได้ขยับ ประหยัดน้ำ ลดโลกร้อนด้วย
ก็ใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ลุ้นงาน ไม่เห็นมีที่ไหนโทรมาสักที่ เราก็ไม่กล้าโทรไปถามผลการสัมภาษณ์ด้วย ไม่โทรมาก็คงไม่ได้
งานราชการ ก็ไม่ประกาศผลซักที บางที่ประกาศก็ไม่ติด ช่างมัน ก็ขี้เกียจดูหนังเกาหลี เล่นเกม เล่นเนต แบบนั้นไปเรื่อยๆ
ผ่านไปหนึ่งเดือน ห้องเราอยู่ชั้น 7 เริ่มมีแมลงสาบ และก็มีมด เพราะเราก็ทิ้งขยะ ไว้เกลื่อนห้องค่ะ เอกสาร หนังสือก็กองๆไว้
ไม่กวาดห้อง ไม่ล้างห้องน้ำ ช่วงแชมพูหมด เราไม่สระผม 10 วัน โดยมีข้ออ้างว่า ก็แชมพูมันหมด (แหมทำไปได้ค่ะ)
สองเดือนผ่านไป แม่โทรมาบอกว่าญาติเสีย เรากลับบ้านแบบ ไม่มีเสื้อผ้าเลยค่ะ หมดตู้เกลี้ยงหมดจริงๆ
ก็เลยใส่ชุดนักศึกษาที่ยังเหลือในตู้ ออกไปโลตัส (ไม่ใส่กางเกงในด้วย เพราะไม่มีใส่ อยู่ในตะกร้า ไม่ซักสองเดือน คงขึ้นราหมดแล้ว)
ซื้อเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ไปนั่งรถตู้กลับบ้านต่างจังหวัดแบบตัวเปล่า ไม่เอาอะไรไปเลยค่ะ
จุดเปลี่ยน............หลังจากงานศพ เราขี้เกียจขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพ พอแม่กับน้องชายเสนอตัวมาส่ง ก็ตอบรับทันที
เราก็ลืมไปว่าสภาพห้อง ไม่เหมาะที่จะให้แม่เห็น พอแม่กับน้องชายขึ้นมาส่งที่ห้องเท่านั้นแหละค่ะ แทบช๊อก จะเป็นลม
เราโดนแม่ด่าหนักมาก แม่บอกว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ กทม. ให้กลับไปอยู่บ้านเลยค่ะ เราต้องย้ายกลับทันที
เสียดายเงินค่าประกันห้องค่ะตั้ง 10,000 บาท ซื้อเสื้อผ้าได้หลายชุด ไหนๆ ก็ไม่ได้ค่าประกันคืน เราก็เก็บของที่จำเป็น
อะไรไม่เอาก็ปล่อยไว้รกๆ แบบนั้นแหละค่ะ แล้วโทรบอกเจ้าของห้องภายหลัง ว่าออกแล้วนะคะ บล็อกเบอร์โทรเลยค่ะ
เงินหนึ่งหมื่นถือซะว่าเป็นค่าทำความสะอาดชุดใหญ่ก็แล้วกัน คาดว่าเจ้าของห้องก็คงช๊อกแทบเป็นลม
ปล.ปกติเราเป็นคนขยัน และรักความสะอาดสุดๆ แต่ ณ ขณะนั้น สภาพจิตใจมันโดนความขี้เกียจเข้าครอบงำจริงๆ
เพื่อนๆ เคยมีประสบการณ์ หรือความขี้เกียจรูปแบบไหน แปลกๆ มาแชร์กันหน่อยนะคะ
เพื่อนๆเคยมีอาการขี้เกียจไหม ขี้เกียจมากขนาดไหน อย่างไร มาแชร์กันหน่อย
นอกจากนี้ก็ไปสอบงานราชการ สอบ กพ. แต่ยังไม่ประกาศผล เพื่อนๆ ก็ทยอยกันได้งานกันแล้ว แต่เรายังไม่ได้
ช่วงระหว่างที่เรารอผลการสัมภาษณ์งานอย่างใจจดใจจ่อ และรอประกาศผลสอบที่ไปสอบไว้หลายๆที่
ทำให้เราไม่มีกระจิตกระใจ ทำอะไรสักอย่าง เชื่อมั้ย?? เรานอนดูซีรี่เกาหลี ทั้งวันทั้งคืน เบื่อก็นั่งเล่นเกม เล่นเนต
ไม่ออกจากห้องเลยค่ะ สั่งซื้อหนังเกาหลีมาเยอะมาก หิวข้าวก็สั่งอาหารตามสั่งมากินที่ห้อง แอบเนียนฝากซื้อขนม
ผ่านไปซักหนึ่งสัปดาห์ อยากกินโน่นกินนี่ แต่ขี้เกียจ เลยโทรหาวินมอเตอร์ไซด์ใช้ไปซื้อของให้
กดเอทีเอ็ม ก็ใช้พี่วินนั่นแหละไปกด ถามว่ากลัวไหม?? ก็กลัว แต่ขี้เกียจออกไปกด ขนาดตู้เอทีเอ็มอยู่แค่หน้าปากซอย
บางทีดูซีรี่ ดูหนัง แล้วอยากกินนั่นอยากกินนี่ไกลๆ ก็ได้พี่วินนี่แหละไปซื้อให้ เพราะเบื่ออาหารตามสั่งแล้ว
ซื้อของกินมามันก็ต้องใส่จานใช่ไหม แต่เราขี้เกียจล้าง เลยใช้พี่วินไปซื้อถ้วยจานช้อน พลาสติกมาให้ด้วย (อะไรจะขี้เกียจขนาดนั้น)
เสื้อผ้าไม่ได้ซักเลยค่ะ ขอโทษนะคะ แม้แต่กางเกงในก็ใส่จนหมด ใส่ตะกร้าไว้เต็ม เสื้อผ้าเริ่มหมดก็นุ่งแต่ผ้าเช็ดตัว เสื้อคลุมซ้ำๆ
สามวันไม่ได้อาบน้ำ เพราะตอนนั้นเราคิดว่า เหงื่อไม่ออก ร่างกายไม่ได้ขยับ ประหยัดน้ำ ลดโลกร้อนด้วย
ก็ใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ลุ้นงาน ไม่เห็นมีที่ไหนโทรมาสักที่ เราก็ไม่กล้าโทรไปถามผลการสัมภาษณ์ด้วย ไม่โทรมาก็คงไม่ได้
งานราชการ ก็ไม่ประกาศผลซักที บางที่ประกาศก็ไม่ติด ช่างมัน ก็ขี้เกียจดูหนังเกาหลี เล่นเกม เล่นเนต แบบนั้นไปเรื่อยๆ
ผ่านไปหนึ่งเดือน ห้องเราอยู่ชั้น 7 เริ่มมีแมลงสาบ และก็มีมด เพราะเราก็ทิ้งขยะ ไว้เกลื่อนห้องค่ะ เอกสาร หนังสือก็กองๆไว้
ไม่กวาดห้อง ไม่ล้างห้องน้ำ ช่วงแชมพูหมด เราไม่สระผม 10 วัน โดยมีข้ออ้างว่า ก็แชมพูมันหมด (แหมทำไปได้ค่ะ)
สองเดือนผ่านไป แม่โทรมาบอกว่าญาติเสีย เรากลับบ้านแบบ ไม่มีเสื้อผ้าเลยค่ะ หมดตู้เกลี้ยงหมดจริงๆ
ก็เลยใส่ชุดนักศึกษาที่ยังเหลือในตู้ ออกไปโลตัส (ไม่ใส่กางเกงในด้วย เพราะไม่มีใส่ อยู่ในตะกร้า ไม่ซักสองเดือน คงขึ้นราหมดแล้ว)
ซื้อเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ไปนั่งรถตู้กลับบ้านต่างจังหวัดแบบตัวเปล่า ไม่เอาอะไรไปเลยค่ะ
จุดเปลี่ยน............หลังจากงานศพ เราขี้เกียจขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพ พอแม่กับน้องชายเสนอตัวมาส่ง ก็ตอบรับทันที
เราก็ลืมไปว่าสภาพห้อง ไม่เหมาะที่จะให้แม่เห็น พอแม่กับน้องชายขึ้นมาส่งที่ห้องเท่านั้นแหละค่ะ แทบช๊อก จะเป็นลม
เราโดนแม่ด่าหนักมาก แม่บอกว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ กทม. ให้กลับไปอยู่บ้านเลยค่ะ เราต้องย้ายกลับทันที
เสียดายเงินค่าประกันห้องค่ะตั้ง 10,000 บาท ซื้อเสื้อผ้าได้หลายชุด ไหนๆ ก็ไม่ได้ค่าประกันคืน เราก็เก็บของที่จำเป็น
อะไรไม่เอาก็ปล่อยไว้รกๆ แบบนั้นแหละค่ะ แล้วโทรบอกเจ้าของห้องภายหลัง ว่าออกแล้วนะคะ บล็อกเบอร์โทรเลยค่ะ
เงินหนึ่งหมื่นถือซะว่าเป็นค่าทำความสะอาดชุดใหญ่ก็แล้วกัน คาดว่าเจ้าของห้องก็คงช๊อกแทบเป็นลม
ปล.ปกติเราเป็นคนขยัน และรักความสะอาดสุดๆ แต่ ณ ขณะนั้น สภาพจิตใจมันโดนความขี้เกียจเข้าครอบงำจริงๆ
เพื่อนๆ เคยมีประสบการณ์ หรือความขี้เกียจรูปแบบไหน แปลกๆ มาแชร์กันหน่อยนะคะ