"อำนาจ เกษตรพัฒนา" ชีวิต 3 สังเวียนจากเหวสู่ขอบฟ้า

สร้างความสะใจให้กับชาวไทยทั้งประเทศสำหรับ "เจ้าเพชร" "อำนาจ เกษตรพัฒนา" ที่ถอนแค้น "ซู ชิ หมิง" นักชกชาวจีน พร้อมป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นฟลายเวต 112 ปอนด์ ของสหพันธ์มวยนานาชาติ (ไอบีเอฟ) อีกสมัยอย่างเป็นเอกฉันท์จากกรรมการชี้ขาดทั้ง 3 คนให้ชนะคะแนน 116-111 ในศึกมวยโลก "โชว์ดาวน์ แอต แซนด์ส" ที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊า เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา...

นับเป็นการล้างแค้นให้กับคนไทยหลังจากที่ในกีฬาโอลิมปิกเกมส์2012 "แก้ว พงษ์ประยูร" นักมวยสากลไทยพลาดท่าพ่าย ซู ชิ หมิง ในรอบชิงชนะเลิศไปอย่างค้านสายตาคนทั่วโลก

แต่มาถึงคราวนี้ อำนาจ บุกเผด็จศึกนักชกแดนมังกรได้ถึงถิ่น

ทำให้อำนาจกลายเป็นนักชกฮีโร่คนใหม่หน้าเก่า

หากลองย้อนกลับไปดูเส้นทางของอำนาจกว่าจะก้าวมาประสบความสำเร็จในตอนนี้เขาผ่านการชกมาถึง 3 สังเวียน และยังผ่านมรสุมบนสังเวียนชีวิตมาโชกโชนจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแชมป์โลกได้!

"อำนาจ เกษตรพัฒนา" หรือ "อำนาจ รื่นเริง" เป็นชาวจังหวัดชลบุรี โดยชีวิตวัยเด็กเขาเป็นเด็กกำพร้า อยู่ในครอบครัวยากจน และไม่มีหลักฐานรับรองการเกิดว่าเป็นคนไทย ทำให้ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ จนอายุ 16 ปีจึงได้สัญชาติไทย อีกทั้งยังแจ้งเกิดช้าไป 3 ปี ทำให้อายุของตามใบแจ้งเกิด วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2522 ถึงตอนนี้คือ 35 ปี

แต่จริงๆ แล้วเขาอายุ 38 ปีแล้ว

นิสัยวัยเด็กอำนาจค่อนข้างเป็นเด็กเกเร แต่ชีวิตผกผันเข้าสู่สังเวียนแรกในวงการมวยไทยตั้งแต่อายุ 7 ปี จากความดื้อรั้นที่ไปแอบเตะกระสอบทรายในค่ายมวยไทยจนเข้าตา "ครูตุ้ย" "ยอดธง เสนานันท์" จับมาฝึกเป็นนักมวยในค่ายในชื่อว่า "โฮม ทิพย์ท่าไม้" ก่อนตระเวนขึ้นชกจนเป็นแชมป์ชมรมมวยสยามภาคตะวันออก เวทีเทพประสิทธิ์ รุ่น 30, 35, 40 กิโลกรัม

พอย่างเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่น เพชรเดินเส้นทางผิดด้วยการติดยา ทำให้ถูกส่งตัวไปรักษาและบำบัดอยู่ที่วัดภายในอุดรธานี

ซึ่งหลังจากเลิกขาดเขาก็เริ่มหันมาต่อยมวยไทยหากินอีกครั้งในแถบอุดรธานี

จากนั้นเจ้าเพชรย้ายไปสังกัดค่ายป.บูรพา และใช้ชื่อว่า "เพชร ป.บูรพา" ก่อนมุ่งหน้าไล่ล่าความฝันเข้าสู่เมืองกรุงไปขึ้นชกที่เวทีมวยลุมพินี จนก้าวเป็นแชมป์รุ่นฟลายเวตสำเร็จ

ซึ่งค่าตัวสูงสุดในการขึ้นชกมวยไทยตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 100,000-120,000 บาทเลยทีเดียว

ชีวิตทำท่าจะไปได้สวย แต่ทว่าเขาต้องประสบกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ในช่วงปี 2548 เมื่อเจ้าเพชรต้องติดคุกหลังจากที่คิดสั้นไปก่อคดีวิ่งราวสร้อยทอง ทำให้หักเหไปสู่จุดต่ำสุดครั้งหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้

หลังจากขาดอิสรภาพทำให้กลายเป็นแรงผลักดันให้อำนาจต้องฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ไปให้ได้ซึ่งในช่วงเวลาเกือบ 2 ปีที่เขาอยู่ภายในเรือนจำก็ได้ฝึกซ้อมการชกมวยสากลสมัครเล่น และสร้างผลงานคว้าเหรียญทองกีฬาราชทัณฑ์ 2 ปีติดต่อกัน

อีกทั้งยังก้าวไปคว้าเหรียญทองมวยสากลชิงแชมป์ประเทศไทย เมื่อปี 2550 ทั้งที่ยังต้องโทษอยู่

ตอนนั้นวงการมวยสากลสมัครเล่นไทยเริ่มจับตามองนักชกหน้าใหม่รายนี้โดยเมื่ออำนาจพ้นโทษก็มีโอกาสได้เข้าสู่แคมป์มวยสากลทีมชาติไทยทันที ซึ่งนับเป็นสังเวียนที่ 2

และโชคชะตาเริ่มหันมาเข้าข้างเขาบ้าง เมื่อ สุบรรณ์ พันโนน นักชกทีมชาติไทยมีอาการเจ็บต้องถอนตัว จนเปิดทางให้อำนาจกลายเป็นกำปั้นทีมชาติแทน

รายการแรกบนสังเวียนผ้าใบ อำนาจขึ้นชกในศึกมวยคิงส์คัพ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2550 โดยเขาสร้างผลงานครั้งสำคัญ ล้มเอาชนะ "ซู ชิ หมิง" นักชกชาวจีน ในรอบรองชนะเลิศ และคว้าเหรียญเงินคิงส์คัพ ก่อนที่ ซู ชิ หมิง จะก้าวไปเป็นกำปั้นเบอร์หนึ่งของโลกจากผลงานแชมป์โลก 3 สมัย และเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2008, 2012

ขณะที่ อำนาจ เดินตามเส้นทางต่อไป โดยในปีเดียวกันนั้นได้ขึ้นชกศึกมวยสากลเวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2007 ที่สหรัฐอเมริกา และตอกย้ำความสำเร็จคว้าเหรียญทองแดงมาครอง

ซึ่งด้วยสไตล์การชกที่ฉลาดหลักแหลมยังทำให้อำนาจก้าวไปผงาดเหรียญทองซีเกมส์2 สมัย เมื่อปี 2007, 2009

รวมถึงเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายโอลิมปิกเกมส์ 2008

และคว้าเหรียญเงินเอเชี่ยนเกมส์ 2010 ทิ้งท้ายเวทีมวยสากลได้ด้วย

หลังจากอำลาวงการมวยสากลสมัครเล่น อำนาจเปลี่ยนไปขึ้นสังเวียนที่ 3 ของตัวเอง ด้วยการชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกเมื่อปี 2555 ในสังกัดเกียรติกรีรินทร์

และใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีก็ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกรุ่นฟลายเวตของไอบีเอฟ โดยขึ้นชกชิงแชมป์ว่างเอาชนะคะแนน "ร็อกกี้ ฟูเอนเตส" นักชกชาวฟิลิปปินส์ไปเอกฉันท์ที่นครราชสีมา

พร้อมกับได้รับการยกย่องจากไอบีเอฟเป็นนักมวยยอดเยี่ยมทวีปเอเชียด้วย

ชื่อของ"อำนาจ เกษตรพัฒนา" กลับมาติดหูแฟนกำปั้นไทยขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เขาขึ้นชกป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกได้ถึง 2 ครั้งคือ ปี 2557 บุกชนะคะแนนนักชกญี่ปุ่น "คัตสึโตะ อิโอกะ" ถึงถิ่นโอซาก้า

และป้องกันแชมป์ไฟต์บังคับที่เมืองโคราชอีกครั้ง ชนะคะแนน แม็กวิลเลี่ยมส์ อาร์โรโย่ รองแชมป์โลกเบอร์ 1 ชาวเปอร์โตริโก้

การขึ้นชกป้องกันแชมป์โลก ครั้งที่ 3 กับ ซู ชิ หมิง ครั้งนี้ ทาง "จิมมี่" "เอกรัฐ ไชยโชติช่วง" โปรโมเตอร์เกียรติกรีรินทร์ โปรโมชั่น พร้อมส่งอำนาจไปป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกเต็มที่ โดยถือเป็นศึกครั้งใหญ่ที่จัดโดย "บ๊อบ อารัม" โปรโมเตอร์ระดับโลกชาวอเมริกัน ซึ่งไฟต์นี้อำนาจได้รับค่าตัวสูงถึง 4 ล้านบาท และกลายเป็นนักชกไทยที่ได้รับค่าตัวสูงที่สุด

จากเวทีมวยสากล อำนาจเคยชกกับกำปั้นแดนมังกรรายนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ชนะ 1 ครั้งในมวยคิงส์คัพ และแพ้ 2 ครั้งในมวยชิงแชมป์เอเชีย และเอเชี่ยนเกมส์

แต่ศึกป้องแชมป์โลกไอบีเอฟครั้งนี้ เจ้าเพชรเปลี่ยนสังเวียนมาตอกย้ำความสำเร็จของเขาอีกครั้งหลังจากที่เคยล้ม ซู ชิ หมิง ปูทางให้ตัวเองก้าวไปโด่งดังมาในมวยสากลแล้ว

"ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แม้ว่ายก 2 ผมจะโดนนับก็ใจเสียเล็กน้อย เพราะไม่ได้คิดว่าจะโดนเร็วขนาดนี้ แต่ยังทำใจสู้ต่อไป ใช้สไตล์เดิม รอจังหวะเขาเดินเข้ามาแล้วดักต่อยตลอด จนถึงยก 6 ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะชนะ ตอนต่อยผมไม่ได้กลัวเขาเลย กลัวอย่างเดียวคือตอนมุดเข้ามา เพราะยอมรับว่าอาวุธของ ซู ชิ หมิง แรงมาก"

"ชัยชนะครั้งนี้ ผมอยากให้คนไทยทุกคนมองว่าเป็นเกมกีฬามากกว่าการล้างแค้น ซู ชิ หมิง เขาก็เป็นนักมวยที่นิสัยดีคนหนึ่ง"

อนาคตต่อไปของกำปั้น วัย 38 ปีรายนี้ ได้ตั้งเป้าว่าอยากขึ้นชกแมตช์ใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับขึ้นสังเวียนเดียวกับ "แมนนี่ ปาเกียว" ยอดกำปั้นชาวฟิลิปปินส์ และยังไม่มีความคิดที่จะแขวนนวมแน่นอนแม้วัยจะล่วงเลยเกือบถึงหลักสี่แล้วก็ตาม เพราะยังอยากสร้างความสุขให้คนไทยก่อน

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่อำนาจเตรียมจะล่าแชมป์โลกสถาบันอื่น ซึ่งมีโอกาสไปชกกับ "ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า" แชมป์โลกดับเบิลยูบีเอ และดับเบิลยูบีโอ ชาวเม็กซิกัน, "โรมัน กอนซาเลซ" แชมป์โลกดับเบิลยูบีซี แม้กระทั่งล้างตากับ คัตสึโตะ อิโอกะ หากอิโอกะ ได้เป็นแชมป์โลกดับเบิลยูบีเอ ในเดือนเมษายนนี้

เส้นทางของอำนาจผ่านมา 3 สังเวียน และผ่านสังเวียนชีวิตมาโชกโชน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นชีวิตจากหุบเหวไปสู่ขอบฟ้า และเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของทุกคน

โดยหลังจากนี้ ไม่แน่ว่าเส้นทางที่เหลือบนสังเวียนเขาอาจจะสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญขึ้นมาอีกก็เป็นได้...

ที่มา : คอลัมน์ "เขย่าสนาม"  มติชนสุดสัปดาห์ ฉ.13 มี.ค. 2558
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่