(แก้ไขให้อ่านง่ายขึ้น และลดข้อความที่เกิดจากอารมณ์ขณะพิมพ์ไปด้วย)
ก็จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเริ่มเล่นตอน ม.5 (2551 2552 ประมาณนั้น) เพราะเห็นเพื่อนเล่นเกม Pet Society จึงตามเล่นบ้าง
ตอนแรกคือสมัครไว้เล่นเกมนี้เกมเดียว และเล่นแอพทายใจ (สมัยนั้นเรียกว่า Quiz) คือตอนนั้นผมไม่โพสต์อะไร เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าจะมีคนเล่นด้วยซ้ำไป
แต่พอใกล้จบ ม.ปลาย ผมก็ใช้เป็นตัวตนโลกเสมือนครับ เริ่มมีการโพสต์โน่นนี่นั่น แต่ออกแนวขำๆ ซะมากกว่า และยังไม่รู้จักเพจ มารยาทโลกออนไลน์ หรือแม้แต่ Like
แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย เริ่มมีสังคมใหม่ คราวนี้ก็เริ่มมีการเปรียบเทียบสิครับ
ช่วงนั้นแต่ละคนก็เรียกร้องความสนใจเพื่ออยากได้ Like เยอะๆ ซึ่งก็แค่ต้องการยกระดับตัวเอง ผมก็เคยเป็น 1 ในนั้น
และผมก็โมโหที่ Like น้อยหรือแทบไม่มีช่วงนึง เพราะผมมองโพสต์คนขี้แพ้หรือคนไม่มีใครคบ ยังมี Like เยอะกว่าผม (บางทีเค้าแค่ให้เห็นเฉพาะคน ส่วนผมสาธารณะ)
ทำให้ผมกลายเป็นคนมองคนในแง่ลบ และไม่คุยกับทุกคนที่ Like เยอะกว่า ยกเว้นชีวิตจริง และพอเพื่อนมา Like ให้ผม
ผมก็ด่าเพื่อนผักชีโรยหน้า (ส่วนมากเป็นเพื่อนใน ม. มากกว่า ส่วนเพื่อนมัธยมไม่คิด เพราะนานๆ คุยทีไม่รู้สึกแปลก นานๆ ได้ Like จากเพื่อนมัธยมก็เช่นกัน) เพราะทุกทีเมินเฉย แต่มา Like เพียงเพื่อให้ผมหยุดบ่นเนี่ยนะ
ต่อมาในช่วงปี 3 ในภาควิชาผมได้มีวัฒนธรรมที่เรียกว่า "การลั่น"
การลั่น คือการแอบโพสต์เฟซบุ๊กของคนอื่นว่าเป็นเกย์ รักใครคนนั้น อะไรแบบนี้ ผมโดนบ่อย แต่ไม่คิดอะไร เพราะไม่ได้เป็นจริง
แต่เมื่อมีโพสต์นึงโดนว่า ถ้าเม้นครบ 100 จะเปลี่ยนรูปจริง คราวนี้งานเข้าสิครับ (ผมไม่ชอบใช้รูปจริง เพราะไม่ใช่คนชอบโดนถ่ายรูป และพี่มาร์คใจดีให้กับคนไม่เปิดเผยแบบผม ผมจึงใช้รูปธรรมชาติ ไม่ก็การ์ตูน)
ไม่มีใครเชื่อว่าผมไม่ได้โพสต์ซักคน ผมก็โดนรุมด่าสิครับ คือตอนนั้นผมพูดอะไรไปก็ผิดไปหมด วันนั้นผมเลยลบทุกคนที่ด่าออกไป (ไม่สนว่าในเฟซสนิทกันแค่ไหน แต่เมื่อกล้าหลุดคำพูดแย่ๆออกมา ผมก็กล้าโหด)
หลังเหตุการณ์นั้น มีเพื่อนน้อยคนคุยกับผมเพียงเพราะแค่ไม่เปลี่ยนรูปจริงตามที่คนอื่นโพสต์ในนามเรา (ยังดีไม่เป็นโพสต์ที่แรงกว่านี้ ไม่งั้นอนาคตผมดับวูบ)
คิดแล้วเสียดายเมื่อก่อน ผมเคยนำกระแสให้เพื่อนพวกนั้นด้วยซ้ำ แต่วันนี้ ผมออกจากสังคมนั้นไปแล้ว แม้ว่าจะมีเพื่อนดีๆ อยู่ แต่เพราะผมอึดอัดที่ต้องถูกปรามาสแบบนั้น จากนั้นมีอะไรในกลุ่มผมก็ถามเพื่อนไม่ก็รอเพื่อนมาบอก
แต่นั้นมา ผมเลิกโพสต์เพื่อหวังความสนใจ อยากโพสต์อะไรก็โพสต์ แค่ไม่ให้สะกิดปมด้อยใครก็พอแล้ว เพราะเคยโพสต์นึงตัดพ้อตัวเอง แต่ดันไปโดนใจเพื่อนที่เพิ่งเลิกกับแฟนเข้า กว่าจะอธิบายได้เสียเวลาไป 3 วัน เลยคิดหนักมากที่จะโพสต์ไม่ให้โดนด่า จึงชอบที่จะแชร์มากกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องพิมพ์อะไรยาวๆ และเป็นการเผยแพร่ผลงานต้นฉบับอย่างถูกต้องด้วย
ทุกวันนี้ เพื่อนที่ผมคุยด้วย มักจะเป็นเพื่อนมัธยมซึ่งไม่มีเรื่องผิดใจกัน ถึงมีก็ไม่มาก และเพื่อนทั้งไทยและต่างชาติที่รู้จักกันเพราะเล่นเกมเดียวกัน และเพื่อน ม. ดีๆ ที่ยังเหลืออยู่บางคน แต่จะแชทมากกว่าคอมเม้นบนโพสต์
เพราะปกติผมแทบไม่ยุ่งกับโพสต์เพื่อนเลย เพราะเข็ดกับเหตุการณ์นั้นแล้ว จึงไม่อยากเข้าไปให้โดนด่าอีก แม้อยากจะคุยดีๆก็ตาม
แม้จะถูกมองว่าหยิ่งหรือไม่สนสังคมก็ไม่สนใจ แต่อะไรที่ทำให้ผมสบายใจจนกว่าเรียนจบได้ ผมยอม แต่น่าจะเป็นการได้ฟังประโยคนึงที่มาจากเรื่องตลกมากกว่า ผมจึงเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่ยุ่งเรื่องเพื่อนมากตั้งแต่นั้น
ประโยคนั้นคือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน เลยอายุยืน
ต่ออีกนิดนึง ยังกล่าวถึงด้านลบอยู่ แต่มันกลับเป็นผลดีของผมที่ได้จาก Facebook สิ่งนี้ทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเพราะ ผมได้คิดว่าการเข้าสังคม Facebook ของเพื่อนบางคนเหมือนคนรวยอวยกันเอง ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ เพื่อนโพสต์อะไรก็ได้ แม้แต่ ... (จุดๆๆ) ก็ไม่ลังเลที่จะ Like เพียงเพราะเป็นเพื่อนแค่นั้น ไม่ได้มีเหตุผลที่ว่า ชอบเนื้อหา อยากรู้เหตุการณ์ อะไรเลย
มันเข้ากับสโลแกนว่า "คนไทยบางคนชอบมองว่าใครทำมากกว่าทำอะไร"
เว้นแต่ว่าจะมีบางคนใจกว้างหาเพื่อนใหม่ที่มีแนวคิดตรงกันอะไรแบบนี้ อันนี้ก็เรื่องของเค้า แต่ดีกว่าเป็นกบในกะลา
---------------------------------------------------------------------------
ผมบ่นในด้านลบมาพอละ มาขอพูดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับมันบ้างดีกว่า
สิ่งดีๆ ที่ได้จาก Facebook อย่างแรก คือความรู้ที่แม้ว่าเซิซ Google ไม่เจอ แต่ก็มีเพจใจดีๆ หลายเพจเอามาให้อ่านกันง่ายๆ แม้บางเรื่องจะรู้ไปประดับสมองก็ตาม แต่ก็รู้ไว้ไม่เสียหาย เพราะรู้ดีกว่าไม่รู้
อย่างที่ 2 ผมมีที่ระบายโดยไม่ต้องง้อเพื่อน
สำหรับผม การคุยกับคนแปลกหน้าคือความเสี่ยง เพราะการคุยครั้งแรกจะตัดสินเลยว่า ดีหรือไม่ดี ผมก็เลยแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ในเพจ เผื่อว่าจะมีคนใจดีซักคน Reply บ้าง โดยไม่สนว่าจะมีใครว่าอะไรก็ตาม เพราะบางเรื่องผมก็ไม่รู้จริงๆ อยากให้คนรู้กว่ามาตอบอะไรแบบนี้
อย่างที่ 3 สนุกในแบบของตัวเอง มีอิสระในการเลือก
อันนี้ไม่ขออธิบายมาก มันก็เหมือนกับการเลือกฟังเพลง ดูการ์ตูน เล่นเกม ฯลฯ
บางทีผมยินดีที่จะเสพเพจเหล่านี้ทั้งวันดีกว่าเห็น News Feed ที่เหมือนกระทู้ใน Pantip อันนึงที่ว่า "เด็กสมัยนี้เค้าเล่น Facebook กันแบบนี้แล้วเหรอ"
จากที่นี่น่ะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/33368815
เพราะอย่างน้อยเราก็สบายใจ มีความสุข
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด กล้าแสดงออกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าชีวิตจริงจะไม่ค่อยพูดเมื่ออยากพูด นำเสนอหน้าห้องไม่เก่ง
-------------------------------------------
ก็ไม่รู้คุณจะมองผมเป็นคนยังไง แต่ผมขอสรุปแบบรวบรัดว่า สิ่งที่ Facebook ให้ผมมีดังนี้
- อยู่เมืองดัดจริต(คำนี้หยาบไปมั้ยสำหรับ Pantip ผมไม่แน่ใจ) ชีวิตต้องป๊อป = เพราะผมเห็นว่าแต่ละคนโพสต์อะไรก็ย่อมอยากให้มีคนสนใจ จึงยอมเสียตัวตนที่เคยเป็นเพื่อแลกกับถูกใจที่มีแค่คุณค่าทางจิตใจ
- Facebook กับชีวิตจริงเหมือนหนังคนละแนว = คนที่ผมเคยลบเพื่อนไม่จำเป็นต้องเกลียดกันในชีวิตจริงก็ได้ เพราะบางคนยังคุยกับผมอยู่เลย แค่เป็นพิธีก็ยังถือว่าเป็นเพื่อนอยู่ และคนที่ใส่ใจเรากว่าไม่คุยเฟซกับผมด้วยซ้ำ คือ ครอบครัว
- โลกส่วนตัวสูงแค่ไหน ก็ต้องมีสังคมกันบ้าง = ผมเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถ้าเรื่องนั้นไม่สมควรแสดงความเห็นจริงๆ แต่บางครั้งผมก็ยอมไปเม้นให้เพื่อนในเฟซ (ส่วนมากไม่รู้จักในชีวิตจริง) เพราะเนื้อหาของเค้าช่างเย้ายวนให้คอมเม้นยิ่งนัก
- เข้าใจสัจธรรมของสังคม = ได้พบคนไทยหลายนิสัย คนไทยหลากความคิด มากตรรกะ แต่จะมีเรื่องเดียวที่ผมไม่ยุ่งคือการเมือง เพราะผมไม่สนใจ และไม่ใช่เรื่องที่ควรคุยด้วยหากยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ทำให้พบว่า ชีวิตก็เป็นแบบนี้ และความประพฤติของคนเหล่านั้นแม้ไม่มีผลกับผม แต่มันทำให้ผมได้คิดว่า ทำยังไงให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่า
- ไม่ต้องเกรงใจ = ไม่ใช่เอาแต่ใจตนเองอย่างนั้นนะครับ กล่าวคืออย่างน้อยผมก็สามารถคุยกับผู้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ต่างจากชีวิตจริงแค่เจอก็หนาวสั่นแล้ว แต่อย่าเผลอคุยกับท่านแบบเพื่อนก็พอ
- ความชอบใจมันวัดจากอะไรบอกไม่ได้ = ยกตัวอย่างแทนละกัน
ผู้ชายวาดการ์ตูนขั้นเทพได้ 10 Like ขณะที่ผู้หญิงวาดก้างปลาได้ 100 Like
-----------------------------------------------------------------
ผมก็มีเรื่องที่จะเล่าแค่นี้แหละครับ ว่าแต่ผมทำคนร้อนตัวไปกี่คนแล้ว หรือผมจะโดนด่าในใจกี่คนละ ?
ปล. ยังอ่อนหัดที่ Pantip
Facebook ให้อะไรกับคุณบ้าง (มีบ่นบ้าง)
ก็จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเริ่มเล่นตอน ม.5 (2551 2552 ประมาณนั้น) เพราะเห็นเพื่อนเล่นเกม Pet Society จึงตามเล่นบ้าง
ตอนแรกคือสมัครไว้เล่นเกมนี้เกมเดียว และเล่นแอพทายใจ (สมัยนั้นเรียกว่า Quiz) คือตอนนั้นผมไม่โพสต์อะไร เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าจะมีคนเล่นด้วยซ้ำไป
แต่พอใกล้จบ ม.ปลาย ผมก็ใช้เป็นตัวตนโลกเสมือนครับ เริ่มมีการโพสต์โน่นนี่นั่น แต่ออกแนวขำๆ ซะมากกว่า และยังไม่รู้จักเพจ มารยาทโลกออนไลน์ หรือแม้แต่ Like
แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย เริ่มมีสังคมใหม่ คราวนี้ก็เริ่มมีการเปรียบเทียบสิครับ
ช่วงนั้นแต่ละคนก็เรียกร้องความสนใจเพื่ออยากได้ Like เยอะๆ ซึ่งก็แค่ต้องการยกระดับตัวเอง ผมก็เคยเป็น 1 ในนั้น
และผมก็โมโหที่ Like น้อยหรือแทบไม่มีช่วงนึง เพราะผมมองโพสต์คนขี้แพ้หรือคนไม่มีใครคบ ยังมี Like เยอะกว่าผม (บางทีเค้าแค่ให้เห็นเฉพาะคน ส่วนผมสาธารณะ)
ทำให้ผมกลายเป็นคนมองคนในแง่ลบ และไม่คุยกับทุกคนที่ Like เยอะกว่า ยกเว้นชีวิตจริง และพอเพื่อนมา Like ให้ผม
ผมก็ด่าเพื่อนผักชีโรยหน้า (ส่วนมากเป็นเพื่อนใน ม. มากกว่า ส่วนเพื่อนมัธยมไม่คิด เพราะนานๆ คุยทีไม่รู้สึกแปลก นานๆ ได้ Like จากเพื่อนมัธยมก็เช่นกัน) เพราะทุกทีเมินเฉย แต่มา Like เพียงเพื่อให้ผมหยุดบ่นเนี่ยนะ
ต่อมาในช่วงปี 3 ในภาควิชาผมได้มีวัฒนธรรมที่เรียกว่า "การลั่น"
การลั่น คือการแอบโพสต์เฟซบุ๊กของคนอื่นว่าเป็นเกย์ รักใครคนนั้น อะไรแบบนี้ ผมโดนบ่อย แต่ไม่คิดอะไร เพราะไม่ได้เป็นจริง
แต่เมื่อมีโพสต์นึงโดนว่า ถ้าเม้นครบ 100 จะเปลี่ยนรูปจริง คราวนี้งานเข้าสิครับ (ผมไม่ชอบใช้รูปจริง เพราะไม่ใช่คนชอบโดนถ่ายรูป และพี่มาร์คใจดีให้กับคนไม่เปิดเผยแบบผม ผมจึงใช้รูปธรรมชาติ ไม่ก็การ์ตูน)
ไม่มีใครเชื่อว่าผมไม่ได้โพสต์ซักคน ผมก็โดนรุมด่าสิครับ คือตอนนั้นผมพูดอะไรไปก็ผิดไปหมด วันนั้นผมเลยลบทุกคนที่ด่าออกไป (ไม่สนว่าในเฟซสนิทกันแค่ไหน แต่เมื่อกล้าหลุดคำพูดแย่ๆออกมา ผมก็กล้าโหด)
หลังเหตุการณ์นั้น มีเพื่อนน้อยคนคุยกับผมเพียงเพราะแค่ไม่เปลี่ยนรูปจริงตามที่คนอื่นโพสต์ในนามเรา (ยังดีไม่เป็นโพสต์ที่แรงกว่านี้ ไม่งั้นอนาคตผมดับวูบ)
คิดแล้วเสียดายเมื่อก่อน ผมเคยนำกระแสให้เพื่อนพวกนั้นด้วยซ้ำ แต่วันนี้ ผมออกจากสังคมนั้นไปแล้ว แม้ว่าจะมีเพื่อนดีๆ อยู่ แต่เพราะผมอึดอัดที่ต้องถูกปรามาสแบบนั้น จากนั้นมีอะไรในกลุ่มผมก็ถามเพื่อนไม่ก็รอเพื่อนมาบอก
แต่นั้นมา ผมเลิกโพสต์เพื่อหวังความสนใจ อยากโพสต์อะไรก็โพสต์ แค่ไม่ให้สะกิดปมด้อยใครก็พอแล้ว เพราะเคยโพสต์นึงตัดพ้อตัวเอง แต่ดันไปโดนใจเพื่อนที่เพิ่งเลิกกับแฟนเข้า กว่าจะอธิบายได้เสียเวลาไป 3 วัน เลยคิดหนักมากที่จะโพสต์ไม่ให้โดนด่า จึงชอบที่จะแชร์มากกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องพิมพ์อะไรยาวๆ และเป็นการเผยแพร่ผลงานต้นฉบับอย่างถูกต้องด้วย
ทุกวันนี้ เพื่อนที่ผมคุยด้วย มักจะเป็นเพื่อนมัธยมซึ่งไม่มีเรื่องผิดใจกัน ถึงมีก็ไม่มาก และเพื่อนทั้งไทยและต่างชาติที่รู้จักกันเพราะเล่นเกมเดียวกัน และเพื่อน ม. ดีๆ ที่ยังเหลืออยู่บางคน แต่จะแชทมากกว่าคอมเม้นบนโพสต์
เพราะปกติผมแทบไม่ยุ่งกับโพสต์เพื่อนเลย เพราะเข็ดกับเหตุการณ์นั้นแล้ว จึงไม่อยากเข้าไปให้โดนด่าอีก แม้อยากจะคุยดีๆก็ตาม
แม้จะถูกมองว่าหยิ่งหรือไม่สนสังคมก็ไม่สนใจ แต่อะไรที่ทำให้ผมสบายใจจนกว่าเรียนจบได้ ผมยอม แต่น่าจะเป็นการได้ฟังประโยคนึงที่มาจากเรื่องตลกมากกว่า ผมจึงเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่ยุ่งเรื่องเพื่อนมากตั้งแต่นั้น
ประโยคนั้นคือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต่ออีกนิดนึง ยังกล่าวถึงด้านลบอยู่ แต่มันกลับเป็นผลดีของผมที่ได้จาก Facebook สิ่งนี้ทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเพราะ ผมได้คิดว่าการเข้าสังคม Facebook ของเพื่อนบางคนเหมือนคนรวยอวยกันเอง ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ เพื่อนโพสต์อะไรก็ได้ แม้แต่ ... (จุดๆๆ) ก็ไม่ลังเลที่จะ Like เพียงเพราะเป็นเพื่อนแค่นั้น ไม่ได้มีเหตุผลที่ว่า ชอบเนื้อหา อยากรู้เหตุการณ์ อะไรเลย
มันเข้ากับสโลแกนว่า "คนไทยบางคนชอบมองว่าใครทำมากกว่าทำอะไร"
เว้นแต่ว่าจะมีบางคนใจกว้างหาเพื่อนใหม่ที่มีแนวคิดตรงกันอะไรแบบนี้ อันนี้ก็เรื่องของเค้า แต่ดีกว่าเป็นกบในกะลา
---------------------------------------------------------------------------
ผมบ่นในด้านลบมาพอละ มาขอพูดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับมันบ้างดีกว่า
สิ่งดีๆ ที่ได้จาก Facebook อย่างแรก คือความรู้ที่แม้ว่าเซิซ Google ไม่เจอ แต่ก็มีเพจใจดีๆ หลายเพจเอามาให้อ่านกันง่ายๆ แม้บางเรื่องจะรู้ไปประดับสมองก็ตาม แต่ก็รู้ไว้ไม่เสียหาย เพราะรู้ดีกว่าไม่รู้
อย่างที่ 2 ผมมีที่ระบายโดยไม่ต้องง้อเพื่อน
สำหรับผม การคุยกับคนแปลกหน้าคือความเสี่ยง เพราะการคุยครั้งแรกจะตัดสินเลยว่า ดีหรือไม่ดี ผมก็เลยแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ในเพจ เผื่อว่าจะมีคนใจดีซักคน Reply บ้าง โดยไม่สนว่าจะมีใครว่าอะไรก็ตาม เพราะบางเรื่องผมก็ไม่รู้จริงๆ อยากให้คนรู้กว่ามาตอบอะไรแบบนี้
อย่างที่ 3 สนุกในแบบของตัวเอง มีอิสระในการเลือก
อันนี้ไม่ขออธิบายมาก มันก็เหมือนกับการเลือกฟังเพลง ดูการ์ตูน เล่นเกม ฯลฯ
บางทีผมยินดีที่จะเสพเพจเหล่านี้ทั้งวันดีกว่าเห็น News Feed ที่เหมือนกระทู้ใน Pantip อันนึงที่ว่า "เด็กสมัยนี้เค้าเล่น Facebook กันแบบนี้แล้วเหรอ"
จากที่นี่น่ะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพราะอย่างน้อยเราก็สบายใจ มีความสุข
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด กล้าแสดงออกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าชีวิตจริงจะไม่ค่อยพูดเมื่ออยากพูด นำเสนอหน้าห้องไม่เก่ง
-------------------------------------------
ก็ไม่รู้คุณจะมองผมเป็นคนยังไง แต่ผมขอสรุปแบบรวบรัดว่า สิ่งที่ Facebook ให้ผมมีดังนี้
- อยู่เมืองดัดจริต(คำนี้หยาบไปมั้ยสำหรับ Pantip ผมไม่แน่ใจ) ชีวิตต้องป๊อป = เพราะผมเห็นว่าแต่ละคนโพสต์อะไรก็ย่อมอยากให้มีคนสนใจ จึงยอมเสียตัวตนที่เคยเป็นเพื่อแลกกับถูกใจที่มีแค่คุณค่าทางจิตใจ
- Facebook กับชีวิตจริงเหมือนหนังคนละแนว = คนที่ผมเคยลบเพื่อนไม่จำเป็นต้องเกลียดกันในชีวิตจริงก็ได้ เพราะบางคนยังคุยกับผมอยู่เลย แค่เป็นพิธีก็ยังถือว่าเป็นเพื่อนอยู่ และคนที่ใส่ใจเรากว่าไม่คุยเฟซกับผมด้วยซ้ำ คือ ครอบครัว
- โลกส่วนตัวสูงแค่ไหน ก็ต้องมีสังคมกันบ้าง = ผมเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถ้าเรื่องนั้นไม่สมควรแสดงความเห็นจริงๆ แต่บางครั้งผมก็ยอมไปเม้นให้เพื่อนในเฟซ (ส่วนมากไม่รู้จักในชีวิตจริง) เพราะเนื้อหาของเค้าช่างเย้ายวนให้คอมเม้นยิ่งนัก
- เข้าใจสัจธรรมของสังคม = ได้พบคนไทยหลายนิสัย คนไทยหลากความคิด มากตรรกะ แต่จะมีเรื่องเดียวที่ผมไม่ยุ่งคือการเมือง เพราะผมไม่สนใจ และไม่ใช่เรื่องที่ควรคุยด้วยหากยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ทำให้พบว่า ชีวิตก็เป็นแบบนี้ และความประพฤติของคนเหล่านั้นแม้ไม่มีผลกับผม แต่มันทำให้ผมได้คิดว่า ทำยังไงให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่า
- ไม่ต้องเกรงใจ = ไม่ใช่เอาแต่ใจตนเองอย่างนั้นนะครับ กล่าวคืออย่างน้อยผมก็สามารถคุยกับผู้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ต่างจากชีวิตจริงแค่เจอก็หนาวสั่นแล้ว แต่อย่าเผลอคุยกับท่านแบบเพื่อนก็พอ
- ความชอบใจมันวัดจากอะไรบอกไม่ได้ = ยกตัวอย่างแทนละกัน
ผู้ชายวาดการ์ตูนขั้นเทพได้ 10 Like ขณะที่ผู้หญิงวาดก้างปลาได้ 100 Like
-----------------------------------------------------------------
ผมก็มีเรื่องที่จะเล่าแค่นี้แหละครับ ว่าแต่ผมทำคนร้อนตัวไปกี่คนแล้ว หรือผมจะโดนด่าในใจกี่คนละ ?
ปล. ยังอ่อนหัดที่ Pantip