คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 152
คิดว่าควรซิ่วเหมือนกันค่ะ
แต่เราไม่ได้คิดว่าเจ้าของกระทู้ผิด แล้วสังคมมช.ก็ไม่ได้ผิด
เราว่าอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้าของกระทู้ไม่มีความสุขและไม่มีความคิดว่าเราต้องปรับตัวเพราะเจ้าของกระทู้อยากเรียนจุฬาด้วย
ซึ่งไม่ได้แปลว่าจขกท.ยึดติดสถาบันแบบที่เห็นว่าจุฬาดีกว่ามช.แน่นอนอะไรแบบนั้น (จากเรื่องงานที่พูดมาก็คงมีคิดบ้าง แต่คงไม่ใช่ประเด็นหลัก)
จขกท.อยากเรียนจุฬาด้วยเหตุผลมากมาย ทั้งความผูกพันที่เริ่มจากพ่อที่เป็นศิษย์เก่า เพื่อน(เยอะมาก) รุ่นพี่รุ่นน้อง สังคมที่เคยอยู่มาตลอด ทั้งคนทั้งการใช้ชีวิต สถานที่ต่าง ๆ อาจจะรวมถึงการได้อยู่บ้านด้วย เหมือนว่าทุกอย่างในชีวิตเจ้าของกระทู้จะชี้ไปที่นี่
เราขอเห็นต่างว่าเจ้าของกระทู้ไม่ได้มีความสุขเพราะเข้ากับสังคมมช.ไม่ได้ แต่ไม่มีความสุขเพราะไม่ได้ไปจุฬา
ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าจขกท.ติดหรู แต่เราว่าไม่นะคะ สำหรับจขกท.การเดินห้างบ่อย ๆ ซื้อเสื้อผ้า กินข้าวในนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาของเค้า
เค้าทำแบบนี้มาตลอด ไม่ได้คิดว่าที่ทำหรูหราอะไรเลย
บางคนบอกว่าเจ้าของกระทู้ไม่ปรับตัวเลย เราว่าก็ใช่ค่ะ แต่คนเราบางทีไม่จำเป็นต้องปรับตัวไปทุกเรื่องรึเปล่า
จะแน่ใจได้ยังไงว่าถ้าครั้งนี้เจ้าของกระทู้ไม่ปรับตัวแล้วกลับไปหาสังคมเดิมที่กรุงเทพ
ทุก ๆ ครั้งในชีวิตต่อไปเจ้าของกระทู้จะปรับตัวอะไรไม่ได้อีกเลย
คนเราต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดค่ะ ใช่
แต่ "ครั้งนี้" แค่ย้ายมหาลัยกับเวลา 1 ปี แค่ไม่อดทนครั้งเดียวไม่ได้ทำให้ชีวิตเจ้าของกระทู้ล้มล้มล้มตลอดไป
ชีวิตมันไม่ได้ดั่งใจเสมอไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องปล่อยให้มันเป็นไปแบบที่เราไม่ชอบใจทุกครั้ง "ถ้าเราเลือกได้"
(คือถ้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ ก็ต้องทนแหละค่ะ แต่เราว่าครั้งนี้มองยังไงก็มีทางเลือกค่ะ)
สำหรับชีวิตในมช.ที่เหลือ เราว่าเจ้าของกระทู้ลองปรับมุมมองนะคะ
ลองคิดว่าเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ อีกไม่นานเราก็กลับกรุงเทพแล้ว ถือว่าได้พบเห็นอะไรใหม่ ๆ ถึงเราจะเข้ากับมันไม่ได้
พยายามมองทุกอย่างในแง่ดี เพราะจะได้จากไปอย่างไม่ติดลบกับสังคมที่มช. เพราะเรามองว่าสังคมมช.ก็ไม่ได้ผิดอะไร
อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ถือว่าได้ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเหมือนที่ตั้งใจไว้แต่แรกจริง ๆ
แล้วถ้าปีนี้ไม่ติดจุฬาอีกล่ะ?
ก็มีสองทางเลือกเหมือนเดิม คือซิ่วหรือปรับเข้ากับสังคมมช.
แต่ปีหนึ่งถ้าจะแอดยังไม่ต้องลาออกนะคะ
ตอนเลือกแอดปีนี้ก็เลือกเกษตร พระจอม ที่คะแนนรองลงมาก็ได้ค่ะ
ยังไงถ้าจขกท.เลือกแล้วว่าจะไม่ปรับตัวเข้ากับสังคมมช.
ยังไงสังคมมออื่นที่กรุงเทพก็ยังน่าจะเข้ากับจขกท.ได้มากกว่า แม้จะไม่ใช่จุฬา
ที่สำคัญที่สุด ถ้าซิ่วแล้วไม่ว่าจะซิ่วไปเจออะไร ให้คิดว่าเราเลือกแล้วนะคะ ถึงจุดนี้เราว่าควรต้องทน ถ้าไม่ได้ดั่งใจ
อย่าคิดว่าไม่เห็นดีอย่างที่คิดไว้ ตอนอยู่มช.ยังดีกว่า
เพราะนั่นจะทำให้ชีวิตทั้งที่มช.และที่จุฬาไม่มีความสุขเลย
กลายเป็นอยู่ไหนก็ทุกข์ แย่กว่าเดิม
ส่วนเรื่องซิ่วไม่ต้องคิดมากค่ะ ปีเดียว รุ่นพี่ที่วิศวะจุฬาเล่าว่าในจุฬาซิ่วย้ายคณะกันบ่อย ๆ เรื่องปกติ
อาจจะไม่ได้เรียนกับเพื่อนเก่าแบบวิชาเดียวกัน แต่อีกแง่คือสังคมก็จะกว้างขึ้น รู้จักคนทั้งรุ่นเพื่อนเก่ารุ่นเพื่อนใหม่
ที่สำคัญที่สุด เจ้าของกระทู้ขาดสอบไปซิ่วแล้วใช่มั้ยค่ะ
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรต้องคิดมากแล้วค่ะ
เพราะคำตอบว่าคุณคิดถูกรึยัง มีแค่ถูกกับไม่ถูก
และการคิดว่าไม่ถูกไม่ได้ทำให้สุขภาพจิตดีมีความสุขเลย
ต่อให้คุณสอบปีนี้ไม่ได้ แต่การคิดว่าที่ทำไปเต็มที่แล้ว ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ยังดีกว่าการไปนั่งคิดว่าตัวเองคิดผิดอีกค่ะ
ยังไงก็ตาม ขอให้ปีนี้สอบได้ตามที่หวัง และสังคมใหม่(ซึ่งเป็นสังคมเดิมที่คุณกลับเข้าไปหา)เป็นไปตามที่หวังนะคะ
ส่วนสังคมที่อยู่ตอนนี้ ก็มองแง่ดี ๆ เก็บเกี่ยวแง่ดี ๆ เอาไว้ค่ะ
แต่เราไม่ได้คิดว่าเจ้าของกระทู้ผิด แล้วสังคมมช.ก็ไม่ได้ผิด
เราว่าอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้าของกระทู้ไม่มีความสุขและไม่มีความคิดว่าเราต้องปรับตัวเพราะเจ้าของกระทู้อยากเรียนจุฬาด้วย
ซึ่งไม่ได้แปลว่าจขกท.ยึดติดสถาบันแบบที่เห็นว่าจุฬาดีกว่ามช.แน่นอนอะไรแบบนั้น (จากเรื่องงานที่พูดมาก็คงมีคิดบ้าง แต่คงไม่ใช่ประเด็นหลัก)
จขกท.อยากเรียนจุฬาด้วยเหตุผลมากมาย ทั้งความผูกพันที่เริ่มจากพ่อที่เป็นศิษย์เก่า เพื่อน(เยอะมาก) รุ่นพี่รุ่นน้อง สังคมที่เคยอยู่มาตลอด ทั้งคนทั้งการใช้ชีวิต สถานที่ต่าง ๆ อาจจะรวมถึงการได้อยู่บ้านด้วย เหมือนว่าทุกอย่างในชีวิตเจ้าของกระทู้จะชี้ไปที่นี่
เราขอเห็นต่างว่าเจ้าของกระทู้ไม่ได้มีความสุขเพราะเข้ากับสังคมมช.ไม่ได้ แต่ไม่มีความสุขเพราะไม่ได้ไปจุฬา
ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าจขกท.ติดหรู แต่เราว่าไม่นะคะ สำหรับจขกท.การเดินห้างบ่อย ๆ ซื้อเสื้อผ้า กินข้าวในนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาของเค้า
เค้าทำแบบนี้มาตลอด ไม่ได้คิดว่าที่ทำหรูหราอะไรเลย
บางคนบอกว่าเจ้าของกระทู้ไม่ปรับตัวเลย เราว่าก็ใช่ค่ะ แต่คนเราบางทีไม่จำเป็นต้องปรับตัวไปทุกเรื่องรึเปล่า
จะแน่ใจได้ยังไงว่าถ้าครั้งนี้เจ้าของกระทู้ไม่ปรับตัวแล้วกลับไปหาสังคมเดิมที่กรุงเทพ
ทุก ๆ ครั้งในชีวิตต่อไปเจ้าของกระทู้จะปรับตัวอะไรไม่ได้อีกเลย
คนเราต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดค่ะ ใช่
แต่ "ครั้งนี้" แค่ย้ายมหาลัยกับเวลา 1 ปี แค่ไม่อดทนครั้งเดียวไม่ได้ทำให้ชีวิตเจ้าของกระทู้ล้มล้มล้มตลอดไป
ชีวิตมันไม่ได้ดั่งใจเสมอไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องปล่อยให้มันเป็นไปแบบที่เราไม่ชอบใจทุกครั้ง "ถ้าเราเลือกได้"
(คือถ้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ ก็ต้องทนแหละค่ะ แต่เราว่าครั้งนี้มองยังไงก็มีทางเลือกค่ะ)
สำหรับชีวิตในมช.ที่เหลือ เราว่าเจ้าของกระทู้ลองปรับมุมมองนะคะ
ลองคิดว่าเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ อีกไม่นานเราก็กลับกรุงเทพแล้ว ถือว่าได้พบเห็นอะไรใหม่ ๆ ถึงเราจะเข้ากับมันไม่ได้
พยายามมองทุกอย่างในแง่ดี เพราะจะได้จากไปอย่างไม่ติดลบกับสังคมที่มช. เพราะเรามองว่าสังคมมช.ก็ไม่ได้ผิดอะไร
อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ถือว่าได้ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเหมือนที่ตั้งใจไว้แต่แรกจริง ๆ
แล้วถ้าปีนี้ไม่ติดจุฬาอีกล่ะ?
ก็มีสองทางเลือกเหมือนเดิม คือซิ่วหรือปรับเข้ากับสังคมมช.
แต่ปีหนึ่งถ้าจะแอดยังไม่ต้องลาออกนะคะ
ตอนเลือกแอดปีนี้ก็เลือกเกษตร พระจอม ที่คะแนนรองลงมาก็ได้ค่ะ
ยังไงถ้าจขกท.เลือกแล้วว่าจะไม่ปรับตัวเข้ากับสังคมมช.
ยังไงสังคมมออื่นที่กรุงเทพก็ยังน่าจะเข้ากับจขกท.ได้มากกว่า แม้จะไม่ใช่จุฬา
ที่สำคัญที่สุด ถ้าซิ่วแล้วไม่ว่าจะซิ่วไปเจออะไร ให้คิดว่าเราเลือกแล้วนะคะ ถึงจุดนี้เราว่าควรต้องทน ถ้าไม่ได้ดั่งใจ
อย่าคิดว่าไม่เห็นดีอย่างที่คิดไว้ ตอนอยู่มช.ยังดีกว่า
เพราะนั่นจะทำให้ชีวิตทั้งที่มช.และที่จุฬาไม่มีความสุขเลย
กลายเป็นอยู่ไหนก็ทุกข์ แย่กว่าเดิม
ส่วนเรื่องซิ่วไม่ต้องคิดมากค่ะ ปีเดียว รุ่นพี่ที่วิศวะจุฬาเล่าว่าในจุฬาซิ่วย้ายคณะกันบ่อย ๆ เรื่องปกติ
อาจจะไม่ได้เรียนกับเพื่อนเก่าแบบวิชาเดียวกัน แต่อีกแง่คือสังคมก็จะกว้างขึ้น รู้จักคนทั้งรุ่นเพื่อนเก่ารุ่นเพื่อนใหม่
ที่สำคัญที่สุด เจ้าของกระทู้ขาดสอบไปซิ่วแล้วใช่มั้ยค่ะ
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรต้องคิดมากแล้วค่ะ
เพราะคำตอบว่าคุณคิดถูกรึยัง มีแค่ถูกกับไม่ถูก
และการคิดว่าไม่ถูกไม่ได้ทำให้สุขภาพจิตดีมีความสุขเลย
ต่อให้คุณสอบปีนี้ไม่ได้ แต่การคิดว่าที่ทำไปเต็มที่แล้ว ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ยังดีกว่าการไปนั่งคิดว่าตัวเองคิดผิดอีกค่ะ
ยังไงก็ตาม ขอให้ปีนี้สอบได้ตามที่หวัง และสังคมใหม่(ซึ่งเป็นสังคมเดิมที่คุณกลับเข้าไปหา)เป็นไปตามที่หวังนะคะ
ส่วนสังคมที่อยู่ตอนนี้ ก็มองแง่ดี ๆ เก็บเกี่ยวแง่ดี ๆ เอาไว้ค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เด็ก มช ค่อนข้างสมถะอยู่แบบไม่ค่อยไรมาก ไม่ได้เข้าออกห้างบ่อยเหมือนเด็กกรุงเทพ หลายคนไม่ได้มาจากครอบครัวที่รวยๆ
ไลฟ์สไตล์อาจจะไม่ค่อย ชื้อของในห้างเหมือนคุณ
เราว่าดีแล้วคะที่คุณสอบแกทแพทรอบสองเพราะอะไรที่มันไม่ใช้อยู่นานๆมันอึดอัดและอยู่ไม่ได้ จะเครียดมากกว่านี้อีก
ขอให้คุณเข้าจุฬาให้ได้นะคะ เพราะ มชไม่ตอบโจทย์โอกาสในการทำงานในอนาคตให้คุณได้ตามแบบที่คุณคิด
คุณก็ควรหาที่อื่นในกรุงเทพอยู่ดีกว่าคะ
ไลฟ์สไตล์อาจจะไม่ค่อย ชื้อของในห้างเหมือนคุณ
เราว่าดีแล้วคะที่คุณสอบแกทแพทรอบสองเพราะอะไรที่มันไม่ใช้อยู่นานๆมันอึดอัดและอยู่ไม่ได้ จะเครียดมากกว่านี้อีก
ขอให้คุณเข้าจุฬาให้ได้นะคะ เพราะ มชไม่ตอบโจทย์โอกาสในการทำงานในอนาคตให้คุณได้ตามแบบที่คุณคิด
คุณก็ควรหาที่อื่นในกรุงเทพอยู่ดีกว่าคะ
ความคิดเห็นที่ 10
ผมก็เป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนที่วิศวะมช. คนเดียวเหมือนกัน เพราะสอบโค้วต้าติดก็เลยเอา
เพื่อนๆในแก๊งมัธยมไม่มีใครสอบได้เลย.. เลยไปรอแอดมิดชั่นแล้วลงภาคกลางกันหมด...
ถ้าผมไปยืนคะแนนแอดมิดชั่นสมัยนั้นก็เข้าพอจุฬาได้อยู่ แต่ผมไม่ชอบชีวิตที่กรุงเทพ.. มันเร่งรีบเกินไป
รถรา-คนวุ่นวาย ห้างเยอะแหล่งธรรมชาติน้อย มลภาวะ(แต่เชียงใหม่ช่วงนี้ฝุ่นเยอะ น่าจะหนักกว่ากรุงเทพ 555)
เวลาหมดไปเยอะกับการเดินทาง ค่าครองชีพแพง
ก็เลยเรียนที่ มช.คนเดียว ก็สบายดีครับได้เพื่อนๆใหม่ ไลฟ์สไตล์ผมคงเหมาะกับที่นี้ เพราะผมชอบเที่ยวแหล่งธรรมชาติ
กับการใช้ชีวิตชิวๆ มอไซต์คันเดียวก็เที่ยวรอบเมืองได้ ชีวิตไม่เร่งรีบเหมือนกรุงเทพครับ...
ก็ลองถามใจตัวเองดูครับว่าอยู่ได้หรือป่าว? มีทางเลือกอื่นมั้ย? เอาอะไรเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจ? ความสามารถของตัวเองมีแค่ไหน?
การตัดสินใจซิ่วก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตการเรียนและการทำงานได้เหมือนกัน... ระหว่างเวลากับโอกาส ผมก็บอกไม่ได้ว่าอันไหน
จะสำคัญกว่ากัน...
ถ้าเป็นผมนะลองให้โอกาสตัวเองซัก1ปีในการสอบ ถ้าไม่ได้จุฬาฯ ก็ต้องยอมรับในความสามารถตัวเองแล้วครับ...
เพราะผมคิดว่าถ้าปี2-3ขึ้นไปมันเสียโอกาสเรื่องเวลาแล้ว สมมุติถ้าสอบติดในปีที่2-3 เผลอๆการไปเรียนใหม่กับเด็กๆ อาจทำให้มีปัญหา
เรื่องการเข้าสังคมอีกอาจจะไปอึดอัดกับเรื่องอื่น... แถม2-3ปีที่เพื่อนจบไปแล้วทำงานก่อน ก็ถือว่าได้ประสบการณ์มากพอที่จะ
ขยับขยายเปลี่ยนถ่ายตัวเองไปบริษัทอื่นที่ดีกว่าได้แล้วนะครับ... ถึงเวลานั้นเรื่องเกรดกับชื่อมหาลัยจะเป็นรองเรื่องประสบการณ์ไปเลย
อีกอย่าง มช.เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจุฬามากในเรื่องการเรียนและบุคคลากร เพียงแต่จุฬาเขารวมเด็กที่เก่งๆไปอยู่เยอะ
และอาจารย์ที่วิศวะมช.นี้เกือบทั้งหมดเขาก็รีไควร์ ป.เอก ชั้นนำจากต่างประเทศมาทั้งนั้น และยุคก่อตั้งคณะ ส่วนใหญ่อาจารย์ก็มาจากจุฬาฯ
ยังไง 1ใน8เกียร์ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ถ้าคุณมีโอกาสได้ดูการจัดแข่งขันหุ่นยนต์ระดับมหาวิทยาลัยของประเทศ
(ผมเคยเป็นตัวแทนคณะไปแข่ง) ยอบรับครับว่าพวกบางมด ลาดกระบังเขาเก่งจริง จุฬา เกษตร มช นี้แพ้เลยครับ
แต่เด็กจุฬาก็เก่งนะ ดูเนิร์ดๆดี หลักคิดหลักการทฤษฏีนี้ยอมเลย แถมได้เปรียบชื่อชั้นสถาบันโดยรวม
ต้นทุนการเรียนการสอบเข้าของเขาสูงกว่า โอกาสเรื่องงานก็ต้องสูงกว่าเป็นธรรมดาครับ..
แต่ถ้าคุณจบเกรียรตินิยมของมช.ได้ เรื่องงานก็ไม่ต้องห่วงครับสบายๆ ขนาดผมเรียนๆเล่นๆเน้นกิจกรรม จบเกรดกลางๆ
ยังหางานสบาย ขนาดยังไม่จบบริษัทยังมาจองตัวไว้ก่อนเลย... จริงๆมันมีมากกว่าเกรดนะ ถ้าบริษัทจะพิจารณาใครซักคน...
อันนี้ถือว่านอกเรื่อง เล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์แล้วกันครับ... ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพื่อนๆในแก๊งมัธยมไม่มีใครสอบได้เลย.. เลยไปรอแอดมิดชั่นแล้วลงภาคกลางกันหมด...
ถ้าผมไปยืนคะแนนแอดมิดชั่นสมัยนั้นก็เข้าพอจุฬาได้อยู่ แต่ผมไม่ชอบชีวิตที่กรุงเทพ.. มันเร่งรีบเกินไป
รถรา-คนวุ่นวาย ห้างเยอะแหล่งธรรมชาติน้อย มลภาวะ(แต่เชียงใหม่ช่วงนี้ฝุ่นเยอะ น่าจะหนักกว่ากรุงเทพ 555)
เวลาหมดไปเยอะกับการเดินทาง ค่าครองชีพแพง
ก็เลยเรียนที่ มช.คนเดียว ก็สบายดีครับได้เพื่อนๆใหม่ ไลฟ์สไตล์ผมคงเหมาะกับที่นี้ เพราะผมชอบเที่ยวแหล่งธรรมชาติ
กับการใช้ชีวิตชิวๆ มอไซต์คันเดียวก็เที่ยวรอบเมืองได้ ชีวิตไม่เร่งรีบเหมือนกรุงเทพครับ...
ก็ลองถามใจตัวเองดูครับว่าอยู่ได้หรือป่าว? มีทางเลือกอื่นมั้ย? เอาอะไรเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจ? ความสามารถของตัวเองมีแค่ไหน?
การตัดสินใจซิ่วก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตการเรียนและการทำงานได้เหมือนกัน... ระหว่างเวลากับโอกาส ผมก็บอกไม่ได้ว่าอันไหน
จะสำคัญกว่ากัน...
ถ้าเป็นผมนะลองให้โอกาสตัวเองซัก1ปีในการสอบ ถ้าไม่ได้จุฬาฯ ก็ต้องยอมรับในความสามารถตัวเองแล้วครับ...
เพราะผมคิดว่าถ้าปี2-3ขึ้นไปมันเสียโอกาสเรื่องเวลาแล้ว สมมุติถ้าสอบติดในปีที่2-3 เผลอๆการไปเรียนใหม่กับเด็กๆ อาจทำให้มีปัญหา
เรื่องการเข้าสังคมอีกอาจจะไปอึดอัดกับเรื่องอื่น... แถม2-3ปีที่เพื่อนจบไปแล้วทำงานก่อน ก็ถือว่าได้ประสบการณ์มากพอที่จะ
ขยับขยายเปลี่ยนถ่ายตัวเองไปบริษัทอื่นที่ดีกว่าได้แล้วนะครับ... ถึงเวลานั้นเรื่องเกรดกับชื่อมหาลัยจะเป็นรองเรื่องประสบการณ์ไปเลย
อีกอย่าง มช.เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจุฬามากในเรื่องการเรียนและบุคคลากร เพียงแต่จุฬาเขารวมเด็กที่เก่งๆไปอยู่เยอะ
และอาจารย์ที่วิศวะมช.นี้เกือบทั้งหมดเขาก็รีไควร์ ป.เอก ชั้นนำจากต่างประเทศมาทั้งนั้น และยุคก่อตั้งคณะ ส่วนใหญ่อาจารย์ก็มาจากจุฬาฯ
ยังไง 1ใน8เกียร์ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ถ้าคุณมีโอกาสได้ดูการจัดแข่งขันหุ่นยนต์ระดับมหาวิทยาลัยของประเทศ
(ผมเคยเป็นตัวแทนคณะไปแข่ง) ยอบรับครับว่าพวกบางมด ลาดกระบังเขาเก่งจริง จุฬา เกษตร มช นี้แพ้เลยครับ
แต่เด็กจุฬาก็เก่งนะ ดูเนิร์ดๆดี หลักคิดหลักการทฤษฏีนี้ยอมเลย แถมได้เปรียบชื่อชั้นสถาบันโดยรวม
ต้นทุนการเรียนการสอบเข้าของเขาสูงกว่า โอกาสเรื่องงานก็ต้องสูงกว่าเป็นธรรมดาครับ..
แต่ถ้าคุณจบเกรียรตินิยมของมช.ได้ เรื่องงานก็ไม่ต้องห่วงครับสบายๆ ขนาดผมเรียนๆเล่นๆเน้นกิจกรรม จบเกรดกลางๆ
ยังหางานสบาย ขนาดยังไม่จบบริษัทยังมาจองตัวไว้ก่อนเลย... จริงๆมันมีมากกว่าเกรดนะ ถ้าบริษัทจะพิจารณาใครซักคน...
อันนี้ถือว่านอกเรื่อง เล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์แล้วกันครับ... ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นที่ 72
พี่ก็จบจากคณะวิศวะฯ ที่เดียวกับน้องนั่นแหละ เคยใช้ชีวิตอยู่ทั้งกรุงเทพและเชียงใหม่ ไป ๆ มา ๆ แต่อันที่จริงมันก็แล้วแต่น้องนะครับว่า อยากจะปรับตัวหรือไม่อยากจะปรับตัว
จากที่น้องพิมพ์ ๆ มา พี่คิดว่าสังคมของวิศวะฯ มช.มันก็เป็นคล้าย ๆ ที่น้องรู้สึกนั่นแหละ ก็คือ เค้ามีสังคมกันมาก่อนแล้วตอน ม.ปลาย แล้วพอมันย้ายมาเข้าคณะวิศวะฯ ก็เหมือนกับมันยกมาเรียนกันทั้งโรงเรียนโดยเฉพาะแก๊งโรงเรียนหลัก ๆ ในเชียงใหม่ มงฟอร์ตฯ ปรินส์ฯ ยุพราชฯ วัฒโนฯ นวมินทร์ฯ เหมือนรู้จักกันหมดตั้งแต่วันแรก หลายๆ คนมันรู้จักกันข้ามโรงเรียนด้วยนะ ประมาณว่า ประถมเรียนที่นึง ม.ต้นเรียนที่นึง ม.ปลายไปเรียนอีกที่นึง รู้จักหมดอ่ะ (เด็กกรุงเทพหลายคนชอบสงสัยว่าอิเด็กเชียงใหม่นี่ข้ามโรงเรียนทำไมมันรู้จักกัน Around the world มาก จะรู้จักกันเยอะไปมั๊ย) แต่พี่คิดว่ากลุ่มเพื่อนที่เค้ายกแก๊งกันเข้ามาเค้าก็ไม่ได้ปิดกั้นที่รับน้องไปเข้าแก๊งก๊วนสมาคมหรอกนะครับ พี่ว่าน้องไม่ปรับตัวเข้าไปหาพวกเข้ามากกว่า สังคมคนเชียงใหม่มันเป็นแบบที่น้องสังเกตนั่นแหละครับ มันไม่มีใครเอะอะอะไรก็เข้าห้างหรอก ชีวิตนอกห้างมีอะไรดี ๆ อีกเยอะครับ พี่เห็นเพื่อนพี่ในรุ่นเดียวกันหลายคนนะครับที่มาจากกรุงเทพ เขาก็ Enjoy Life ดีนะครับ เพราะเขาเลือกที่จะปรับตัว แต่น้องเลือกที่จะไม่ปรับตัว อันนี้ก็เป็นทางของน้องแล้วครับ
ถ้าจะปรับตัวน้องต้องเข้าใจ Nature คนเชียงใหม่ก่อนครับ คนเชียงใหม่ไม่ติดแบรนด์ แต่งตัวง่าย ๆ สบาย ๆ กินอะไรก็ง่าย ๆ ถ้าเปลี่ยนใจจะอยู่เชียงใหม่ต่อพี่คิดว่าน้องก็ต้องเริ่มใช้ชีวิตตามคนแถวนี้บ้างนะครับ คนเชียงใหม่หลายคนไม่ใช่ไม่มีเงินนะ แต่เขาไม่อยากใช้เงินกัน เพราะมันไม่มีความจำเป็นต้องใช้ข้าวของแพง ๆ ไปอวดใคร ไม่มีใครแถวนี้ให้คุณค่าและราคาอะไรกับของแพง ๆ หรือกับการกินของบนห้างแบบนั้นครับ
ในทางกลับกัน เวลาพี่ไปอยู่กรุงเทพ นัดเพื่อนที่กรุงเทพมาเจอกัน พี่ก็ต้องปรับตัวไปใช้ชีวิตตามคนกรุงเทพ นัดเจอกันก็นัดที่ห้าง เวลาออกไปข้างนอกต้องแต่งตัวดี ๆ เพราะคนที่กรุงเทพแต่งตัวกัน ถ้าเราไม่แต่งตัว มันก็จะดูแย่อีก เพราะคนที่กรุงเทพให้คุณค่าและราคากับสิ่งเหล่านี้
พี่อยากจะขมวดปมความคิดให้อย่างนี้ครับว่า ชีวิตมันต้องปรับตัวครับ ถ้าน้องผ่านตรงนี้ไปได้พี่คิดว่ามันจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับน้อง น้องจะมีเพื่อนหลากหลายแบบ สามารถเข้ากับคนได้ทุกรูปแบบซึ่งย่อมเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต เพราะน้องไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ในอนาคตน้องจะต้องไปอยู่ในสภาพไหนบ้าง สังคมหรูก็ต้องเข้าได้ไม่เขินอาย สังคมแบบติดดินก็ต้องเข้าได้อย่างมั่นใจ พี่อยากจะบอกว่า ยิ่งน้องเรียนวิศวะฯ แล้วน้องทำตัวติดดินไม่เป็น รับรองอนาคตวิศวะฯ ลำบากแน่นอน เพราะอย่าลืมว่า เราต้องทำงานคอย Control ช่างหรือลูกน้องที่เขาเหล่านั้นไม่มีวันมาทำตัวเลิศหรูแน่นอน แล้วถ้าน้องไม่สามารถเอาชนะใจลูกน้องได้ รับรองงานพัง วิศวกรที่คุมคนไม่ได้ ไม่มีใครอยากจ้างหรอกครับ ถ้าเกิดน้องเรียนมาทางสายคอมพิวเตอร์อาจจะไม่มีลูกน้องหรือช่างให้มานั่งคุมซะจริงจังขนาดนั้น แต่แน่นอนน้องต้องทำงานร่วมกับทีมวิศวะคอมพิวเตอร์คนอื่น และน้องไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทีมงานในอนาคตที่น้องจะต้องไปร่วมเขาเป็นยังไง เขาอาจจะติดดินกันหรือไฮโซก็ได้ ไม่มีใครรู้ ถ้าน้องปรับตัวไม่ได้ น้องก็ต้องออกจากงานอีกเหรอครับ
มีอีกเรื่อง เรื่องของสถาบันที่จบมากับการหางาน สมัยนี้มันไม่เกี่ยวแล้วครับว่าต้องจบจุฬาเท่านั้นน้องถึงจะหางานง่าย มันไม่เกี่ยวแล้วว่าคนจบจุฬาจะมีโอกาสมากกว่า ความคิดที่จะยึดติดกับสถาบันแล้วจะหางานได้ดีมันโบราณมากครับ มันเกี่ยวอย่างเดียวครับ ตัวน้องล้วน ๆ เลย คือ ถ้าน้องเป็นคนเก่ง เก่งในที่นี้ไม่ใช่เรียนเก่งอย่างเดียวนะครับ ต้องเก่งเรื่องคนด้วย มีความเป็นผู้นำและในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้ตามที่ดีด้วย เก่งเรื่องทักษะการแก้ไขปัญหา เก่งเรื่องการสื่อสาร เก่งเรื่องการทำงานเป็นทีม ทัศนคติโดยเฉพาะต้องเป็นคนมีทัศนคติเชิงบวก ถ้ามีคุณสมบัติพวกนี้ไปสมัครงานสัมภาษณ์งานที่ไหนใครก็รับครับ ใครไม่รับก็โง่แล้ว พี่บอกตรง ๆ เลยนะ พวกทัศนคติเชิงลบเนี่ย สัมภาษณ์งานที่ไหนไม่มีใครรับหรอก เพราะรับเข้าไปเดี๋ยวก็จะทำงานเป็น Team ไม่ได้ คนที่คิดแบบทัศนคติเชิงลบจะไม่คิดแก้ปัญหา แต่จะคิดจมอยู่กับปัญหาและก็ปล่อยให้ปัญหาในองค์กรมันยังคงอยู่ต่อไป และมักจะมีแนวโน้มชอบโทษคนอื่นเวลามีปัญหา ไม่คิดว่าตัวเราสามารถไปแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง คนที่คิดลบจะทำให้งานบริษัทเค้าพังซะเปล่า ๆ ครับ
พิมพ์มาตั้งยาวหวังว่า จะกระตุกความคิดอะไรบ้างนะครับ
จากที่น้องพิมพ์ ๆ มา พี่คิดว่าสังคมของวิศวะฯ มช.มันก็เป็นคล้าย ๆ ที่น้องรู้สึกนั่นแหละ ก็คือ เค้ามีสังคมกันมาก่อนแล้วตอน ม.ปลาย แล้วพอมันย้ายมาเข้าคณะวิศวะฯ ก็เหมือนกับมันยกมาเรียนกันทั้งโรงเรียนโดยเฉพาะแก๊งโรงเรียนหลัก ๆ ในเชียงใหม่ มงฟอร์ตฯ ปรินส์ฯ ยุพราชฯ วัฒโนฯ นวมินทร์ฯ เหมือนรู้จักกันหมดตั้งแต่วันแรก หลายๆ คนมันรู้จักกันข้ามโรงเรียนด้วยนะ ประมาณว่า ประถมเรียนที่นึง ม.ต้นเรียนที่นึง ม.ปลายไปเรียนอีกที่นึง รู้จักหมดอ่ะ (เด็กกรุงเทพหลายคนชอบสงสัยว่าอิเด็กเชียงใหม่นี่ข้ามโรงเรียนทำไมมันรู้จักกัน Around the world มาก จะรู้จักกันเยอะไปมั๊ย) แต่พี่คิดว่ากลุ่มเพื่อนที่เค้ายกแก๊งกันเข้ามาเค้าก็ไม่ได้ปิดกั้นที่รับน้องไปเข้าแก๊งก๊วนสมาคมหรอกนะครับ พี่ว่าน้องไม่ปรับตัวเข้าไปหาพวกเข้ามากกว่า สังคมคนเชียงใหม่มันเป็นแบบที่น้องสังเกตนั่นแหละครับ มันไม่มีใครเอะอะอะไรก็เข้าห้างหรอก ชีวิตนอกห้างมีอะไรดี ๆ อีกเยอะครับ พี่เห็นเพื่อนพี่ในรุ่นเดียวกันหลายคนนะครับที่มาจากกรุงเทพ เขาก็ Enjoy Life ดีนะครับ เพราะเขาเลือกที่จะปรับตัว แต่น้องเลือกที่จะไม่ปรับตัว อันนี้ก็เป็นทางของน้องแล้วครับ
ถ้าจะปรับตัวน้องต้องเข้าใจ Nature คนเชียงใหม่ก่อนครับ คนเชียงใหม่ไม่ติดแบรนด์ แต่งตัวง่าย ๆ สบาย ๆ กินอะไรก็ง่าย ๆ ถ้าเปลี่ยนใจจะอยู่เชียงใหม่ต่อพี่คิดว่าน้องก็ต้องเริ่มใช้ชีวิตตามคนแถวนี้บ้างนะครับ คนเชียงใหม่หลายคนไม่ใช่ไม่มีเงินนะ แต่เขาไม่อยากใช้เงินกัน เพราะมันไม่มีความจำเป็นต้องใช้ข้าวของแพง ๆ ไปอวดใคร ไม่มีใครแถวนี้ให้คุณค่าและราคาอะไรกับของแพง ๆ หรือกับการกินของบนห้างแบบนั้นครับ
ในทางกลับกัน เวลาพี่ไปอยู่กรุงเทพ นัดเพื่อนที่กรุงเทพมาเจอกัน พี่ก็ต้องปรับตัวไปใช้ชีวิตตามคนกรุงเทพ นัดเจอกันก็นัดที่ห้าง เวลาออกไปข้างนอกต้องแต่งตัวดี ๆ เพราะคนที่กรุงเทพแต่งตัวกัน ถ้าเราไม่แต่งตัว มันก็จะดูแย่อีก เพราะคนที่กรุงเทพให้คุณค่าและราคากับสิ่งเหล่านี้
พี่อยากจะขมวดปมความคิดให้อย่างนี้ครับว่า ชีวิตมันต้องปรับตัวครับ ถ้าน้องผ่านตรงนี้ไปได้พี่คิดว่ามันจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับน้อง น้องจะมีเพื่อนหลากหลายแบบ สามารถเข้ากับคนได้ทุกรูปแบบซึ่งย่อมเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต เพราะน้องไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ในอนาคตน้องจะต้องไปอยู่ในสภาพไหนบ้าง สังคมหรูก็ต้องเข้าได้ไม่เขินอาย สังคมแบบติดดินก็ต้องเข้าได้อย่างมั่นใจ พี่อยากจะบอกว่า ยิ่งน้องเรียนวิศวะฯ แล้วน้องทำตัวติดดินไม่เป็น รับรองอนาคตวิศวะฯ ลำบากแน่นอน เพราะอย่าลืมว่า เราต้องทำงานคอย Control ช่างหรือลูกน้องที่เขาเหล่านั้นไม่มีวันมาทำตัวเลิศหรูแน่นอน แล้วถ้าน้องไม่สามารถเอาชนะใจลูกน้องได้ รับรองงานพัง วิศวกรที่คุมคนไม่ได้ ไม่มีใครอยากจ้างหรอกครับ ถ้าเกิดน้องเรียนมาทางสายคอมพิวเตอร์อาจจะไม่มีลูกน้องหรือช่างให้มานั่งคุมซะจริงจังขนาดนั้น แต่แน่นอนน้องต้องทำงานร่วมกับทีมวิศวะคอมพิวเตอร์คนอื่น และน้องไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทีมงานในอนาคตที่น้องจะต้องไปร่วมเขาเป็นยังไง เขาอาจจะติดดินกันหรือไฮโซก็ได้ ไม่มีใครรู้ ถ้าน้องปรับตัวไม่ได้ น้องก็ต้องออกจากงานอีกเหรอครับ
มีอีกเรื่อง เรื่องของสถาบันที่จบมากับการหางาน สมัยนี้มันไม่เกี่ยวแล้วครับว่าต้องจบจุฬาเท่านั้นน้องถึงจะหางานง่าย มันไม่เกี่ยวแล้วว่าคนจบจุฬาจะมีโอกาสมากกว่า ความคิดที่จะยึดติดกับสถาบันแล้วจะหางานได้ดีมันโบราณมากครับ มันเกี่ยวอย่างเดียวครับ ตัวน้องล้วน ๆ เลย คือ ถ้าน้องเป็นคนเก่ง เก่งในที่นี้ไม่ใช่เรียนเก่งอย่างเดียวนะครับ ต้องเก่งเรื่องคนด้วย มีความเป็นผู้นำและในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้ตามที่ดีด้วย เก่งเรื่องทักษะการแก้ไขปัญหา เก่งเรื่องการสื่อสาร เก่งเรื่องการทำงานเป็นทีม ทัศนคติโดยเฉพาะต้องเป็นคนมีทัศนคติเชิงบวก ถ้ามีคุณสมบัติพวกนี้ไปสมัครงานสัมภาษณ์งานที่ไหนใครก็รับครับ ใครไม่รับก็โง่แล้ว พี่บอกตรง ๆ เลยนะ พวกทัศนคติเชิงลบเนี่ย สัมภาษณ์งานที่ไหนไม่มีใครรับหรอก เพราะรับเข้าไปเดี๋ยวก็จะทำงานเป็น Team ไม่ได้ คนที่คิดแบบทัศนคติเชิงลบจะไม่คิดแก้ปัญหา แต่จะคิดจมอยู่กับปัญหาและก็ปล่อยให้ปัญหาในองค์กรมันยังคงอยู่ต่อไป และมักจะมีแนวโน้มชอบโทษคนอื่นเวลามีปัญหา ไม่คิดว่าตัวเราสามารถไปแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง คนที่คิดลบจะทำให้งานบริษัทเค้าพังซะเปล่า ๆ ครับ
พิมพ์มาตั้งยาวหวังว่า จะกระตุกความคิดอะไรบ้างนะครับ
ความคิดเห็นที่ 20
จะขอเล่าเรื่องของเราให้ฟัง
เราเป็นเด็กตจว.ที่ที่บ้านเลี้ยงแบบ...ไงดีล่ะ ทานแต่อาหารฝรั่ง อาหารจีน ไม่ค่อยทานอาหารไทยพวกข้าวแกง ส้มตำสักเท่าไหร่ แต่อย่างพวกพิซซ่าอะไรงี้เราชอบมาก พอเราเข้ามหาลัยที่กรุงเทพ เนื่องด้วยคณะเรามีเด็กมาจาก ตจว.กับเด็กกรุงเทพอย่างละครึ่งๆเลย เดิมทีเราก็ไปเข้ากลุ่มกับเด็กตจว.เพราะเรามีอคติกับคนกรุงเทพนิดหน่อยว่าชอบอวดของอวดรถกัน แต่ปรากฎว่าเราเข้ากับเพื่อนตจว.ไม่ค่อยได้เพราะเพื่อนบอกว่าเราหรูเกินไป ไฮโซเกินไป เพื่อนๆพากันแต่ไปกินส้มตำเกือบทุกวันแต่เราไม่ชอบ เราชอบแต่งตัว ซื้อเสื้อผ้าสวยๆใส่ แต่เพื่อนเราชอบซื้อแต่ชุดตามตลาดนัดหรือเสื้อยืดธรรมดา เวลาเราเดินกับพวกเขาเราก็รู้สึกว่าไม่เข้ากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะอะไรเลยนะ เพื่อนๆนิสัยดีกันทุกคน
จากนั้นเราเลยตัดสินใจย้ายกลุ่มไปอยู่กับพวกเด็กกรุงเทพเพราะดูแล้วน่าจะเข้ากันได้ดีกว่า แต่ปรากฎว่าก็ยังเข้ากับเพื่อนไม่ได้เพราะ พวกนี้เที่ยวเก่งมาก ไปกินในห้างเกือบทุกวัน เด๋วก็ไปกินแมค กินพิซซ่า กินไดโดมอน แล้วเราซึ่งพ่อแม่ให้เงินมาใช้จ่ายแค่ 4000 บาทต่อเดือนเราก็กลัวเงินไม่พอสิ ตอนหลังเราเลยไปบ้างไม่ไปบ้าง หรือเวลาพวกเขาคุยเรื่องรถยนต์ คนโน้นคนนี้จะซื้อรถกัน รถรุ่นไหนสวย เราก็ไม่รู้เรื่องเพราะทางบ้านเคยบอกว่าให้เรียนให้จบก่อนถึงจะให้หัดรถยนต์ได้ บางทีก็คุยเรื่องไปเที่ยวเมืองนอกว่าใครจะไปไหนบ้างช่วงปิดเทอมซึ่งสมัยนั้นเรายังไม่เคยไป เราก็ได้แต่เออๆออๆไป แต่ในใจรู้สึกแล้วล่ะว่าคงอยู่กับกลุ่มนี้ยาวๆไม่ได้แน่ ถึงพวกเขาจะนิสัยดีไม่เคยว่าเราแต่เรารู้สึกได้ถึงความแตกต่างโดยเฉพาะเวลาเขาชวนกันไปกินแล้วเราขอตัวไม่ไป
เรามาสรุปได้ว่าตัวเราเป็นพวกลูกครึ่งน่ะ ครึ่งเมืองกรุงครึ่งบ้านนอก 5555 ไปอยู่กลุ่มไหนก็ไม่ได้ สุดท้ายเราเลยปรับตัว (เราไม่ออกเพราะไม่ใช่เรื่องรุนแรงที่จะต้องลาออก และคณะเรากว่าจะเข้าได้ก็ยากเย็นสาหัสอยู่ จะให้ลาออกได้ไง) เราทำตัวไม่มีกลุ่มค่ะ วันนี้ไปกับกลุ่มโน้นวันโน้นไปกับอีกกลุ่ม ข้อดีคือเราไม่ต้องฝืนใจมาก ข้อเสียคือเวลามีอะไรเพื่อนอาจไม่นึกถึงเราเพราะนึกว่าอีกกลุ่มทำให้แล้วเช่นเก็บชีทไว้ให้เวลาเราไม่มา แต่สุดท้ายก็เรียนจบมาแบบมีความสุขนะ เพราะแต่ก่อนติดเพื่อนมาก พอเราต้องปรับตัวให้ได้ทั้งเวลาเรียนและเวลาอยู่หอพักกับเพื่อนๆ เราก็รู้ว่าเออ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุดนะ ไม่มีใครเขาห่วงใยเรามากกกกกอะไรนักหรอก เราก็อย่าทำตัวติดกับใครเกินไป อยู่คนเดียวได้ ไปกินข้าวคนเดียวได้ ถ้าเจอเพื่อนก็ชวนกันไป ถ้าไม่ไปเราก็ไม่รู้สึกแย่อะไร อยากเล่าให้ฟังเท่านี้ล่ะค่ะ
เราเป็นเด็กตจว.ที่ที่บ้านเลี้ยงแบบ...ไงดีล่ะ ทานแต่อาหารฝรั่ง อาหารจีน ไม่ค่อยทานอาหารไทยพวกข้าวแกง ส้มตำสักเท่าไหร่ แต่อย่างพวกพิซซ่าอะไรงี้เราชอบมาก พอเราเข้ามหาลัยที่กรุงเทพ เนื่องด้วยคณะเรามีเด็กมาจาก ตจว.กับเด็กกรุงเทพอย่างละครึ่งๆเลย เดิมทีเราก็ไปเข้ากลุ่มกับเด็กตจว.เพราะเรามีอคติกับคนกรุงเทพนิดหน่อยว่าชอบอวดของอวดรถกัน แต่ปรากฎว่าเราเข้ากับเพื่อนตจว.ไม่ค่อยได้เพราะเพื่อนบอกว่าเราหรูเกินไป ไฮโซเกินไป เพื่อนๆพากันแต่ไปกินส้มตำเกือบทุกวันแต่เราไม่ชอบ เราชอบแต่งตัว ซื้อเสื้อผ้าสวยๆใส่ แต่เพื่อนเราชอบซื้อแต่ชุดตามตลาดนัดหรือเสื้อยืดธรรมดา เวลาเราเดินกับพวกเขาเราก็รู้สึกว่าไม่เข้ากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะอะไรเลยนะ เพื่อนๆนิสัยดีกันทุกคน
จากนั้นเราเลยตัดสินใจย้ายกลุ่มไปอยู่กับพวกเด็กกรุงเทพเพราะดูแล้วน่าจะเข้ากันได้ดีกว่า แต่ปรากฎว่าก็ยังเข้ากับเพื่อนไม่ได้เพราะ พวกนี้เที่ยวเก่งมาก ไปกินในห้างเกือบทุกวัน เด๋วก็ไปกินแมค กินพิซซ่า กินไดโดมอน แล้วเราซึ่งพ่อแม่ให้เงินมาใช้จ่ายแค่ 4000 บาทต่อเดือนเราก็กลัวเงินไม่พอสิ ตอนหลังเราเลยไปบ้างไม่ไปบ้าง หรือเวลาพวกเขาคุยเรื่องรถยนต์ คนโน้นคนนี้จะซื้อรถกัน รถรุ่นไหนสวย เราก็ไม่รู้เรื่องเพราะทางบ้านเคยบอกว่าให้เรียนให้จบก่อนถึงจะให้หัดรถยนต์ได้ บางทีก็คุยเรื่องไปเที่ยวเมืองนอกว่าใครจะไปไหนบ้างช่วงปิดเทอมซึ่งสมัยนั้นเรายังไม่เคยไป เราก็ได้แต่เออๆออๆไป แต่ในใจรู้สึกแล้วล่ะว่าคงอยู่กับกลุ่มนี้ยาวๆไม่ได้แน่ ถึงพวกเขาจะนิสัยดีไม่เคยว่าเราแต่เรารู้สึกได้ถึงความแตกต่างโดยเฉพาะเวลาเขาชวนกันไปกินแล้วเราขอตัวไม่ไป
เรามาสรุปได้ว่าตัวเราเป็นพวกลูกครึ่งน่ะ ครึ่งเมืองกรุงครึ่งบ้านนอก 5555 ไปอยู่กลุ่มไหนก็ไม่ได้ สุดท้ายเราเลยปรับตัว (เราไม่ออกเพราะไม่ใช่เรื่องรุนแรงที่จะต้องลาออก และคณะเรากว่าจะเข้าได้ก็ยากเย็นสาหัสอยู่ จะให้ลาออกได้ไง) เราทำตัวไม่มีกลุ่มค่ะ วันนี้ไปกับกลุ่มโน้นวันโน้นไปกับอีกกลุ่ม ข้อดีคือเราไม่ต้องฝืนใจมาก ข้อเสียคือเวลามีอะไรเพื่อนอาจไม่นึกถึงเราเพราะนึกว่าอีกกลุ่มทำให้แล้วเช่นเก็บชีทไว้ให้เวลาเราไม่มา แต่สุดท้ายก็เรียนจบมาแบบมีความสุขนะ เพราะแต่ก่อนติดเพื่อนมาก พอเราต้องปรับตัวให้ได้ทั้งเวลาเรียนและเวลาอยู่หอพักกับเพื่อนๆ เราก็รู้ว่าเออ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุดนะ ไม่มีใครเขาห่วงใยเรามากกกกกอะไรนักหรอก เราก็อย่าทำตัวติดกับใครเกินไป อยู่คนเดียวได้ ไปกินข้าวคนเดียวได้ ถ้าเจอเพื่อนก็ชวนกันไป ถ้าไม่ไปเราก็ไม่รู้สึกแย่อะไร อยากเล่าให้ฟังเท่านี้ล่ะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
กระทู้พลีชีพ หอในชาย มช และระบายเรื่องอื่นๆ ขอปรึกษา ชีวิตอยากจะซิ่ว ครับ
คือผมมีเรื่องอยากระบาย และปรึกษาเรื่องซิ่ว
ผมเป็นคนกรุงเทพ จบจากโรงเรียนรัฐบาลในกรุงเทพอันดับต้นๆของประเทศ
แอดติดวิศวะ ด้วยคะแนน 19,1xx จริงๆอยากเรียนจุฬากับเพื่อน แต่คะแนนไม่พอ
แต่ก็เข้าเกษตรบางเขนกับ3พระจอมได้สบาย แต่ผมคุยกับพ่อแม่ ก็ปล่อย ผมเลยเลือกเชียงใหม่อันดับ2
ซึ่งผมคิดผิดป่าวนะ ที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ การใช้ชีวิต
คือเรื่องหอในชาย มช มีเรื่องรบกวนมากมาย ตั้งแต่เทอม1แล้ว ตอนนี้เทอม2 ก็ยังเหมือนเดิมคือ
ห้องน้ำรวมหอใน ซึ่งมันสกปรกมากๆ เก่ามากๆ และจะมีอยู่ห้องนึง ประจำเลยคือ
มีคนฉี่กับขี้แล้วไม่ราดน้ำ แถมปิดประตูหมกกลิ่นอีก มันเหม็นมากๆ คือทางบ้านคุณสอนมายังไงหรอครับ
ห้องน้ำส่วนรวม ขี้ไม่ราดน้ำ ไม่สงสารป้าทำความสะอาดหรอครับ คุณเห็นแก่ตัวมากๆ
แล้วเรื่องเสียงดัง ดึกแล้วบางห้องยังไม่นอน เข้าใจว่ามาจากภาคเหนือโรงเรียนด้วยกัน คุยกัน เล่นกัน เสียงดัง
วิ่ง เคาะประตูกัน เสียงดังมาก คือๆไม่มีความเกรงใจห้องอื่นเลยหรอครับ แม้สอบมิดเทอม ไฟนอล
คุณก็เล่นกัน ทางบ้านไม่สอนมารยาท ความเกรงใจ ไม่มี เข้าใจล่ะ ที่คุณบ่นๆได้เกรดน้อย 1กว่าๆ 2กว่าๆ
เพราะ คุณทำตัวคุณเอง (ผมได้3.6xไม่ได้อวด ได้มาเพราะความขยัน) คืออ่านหนังสือดึก คุณก็เล่นกันเสียงดังมาก
ทางบ้านครอบครัวไม่สอน ไม่เคยสำนึก
พอดึกๆเที่ยงคืนตี1 กำลังจะหลับ แต่จะมีกลุ่มมอไซด์ ตะโกนแหกปาก บีบแตร บริเวณหอ ด่า ๆๆๆๆๆ
บางทีทำให้สะดุ้งตื่น หรือนอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งถามเพื่อนก็บอกว่า ปล่อยของๆๆๆ อะไรไม่รู้ ผมก็อยากถามรุ่นพี่ มช
ที่ตะโกนแหกปาก ทุกคืน นี่ มีความสุขมากใช่มั้ย ไม่มีสำนึกเกรงใจกันเลยหรอ อ้างว่า ทำมารุ่นต่อรุ่น คือ
สร้างความรำคาญให้ผู้อื่น คิดว่าถูกแล้วหรอ (ผมก็ทนอยู่หอใน แต่จะซิ่วล่ะ ก็ไม่ไปอยู่หอนอกเปลืองตัง)
ส่วนเรื่องเพื่อน สังคมนี่ มาอยู่แรกๆก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ แต่คิดว่าผมเลือกผิด ผมเป็นเด็กกรุงเทพ ซึ่งเพื่อนที่นี่ ก็มาจากภาคเหนือ
โรงเรียนเดียวกัน ผมเลือกมช คนเดียว แล้วมีเพื่อนม.ปลายเรียนฝั่งสวนดอก3คน เพื่อนม.ปลายของผม เรียนจุฬา 3พระจอม ธรรมศาสตร์ เกษตร หมด
ผมเลือกที่นี่คนเดียว ผมคิดว่า เข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้
--คือ เค้ามีสังคมม.ปลายด้วยกัน มาจากโรงเรียนเดียวกัน คุยเรื่องเพื่อนเค้า
เวลากินข้าวด้วยกัน ซึ่งผมก็รู้สึกแบบทำไรไม่ถูก เราไม่ใช่เด็กเหนือ สังคมม.ปลายเค้ามีเพื่อนต่างคณะ เรียนมช.
สนิทกันมากกว่าผมอยู่แล้ว ผมก็คุยไม่เก่ง คุยไม่ค่อยได้ แบบ เด็กต่างถิ่น
ผมก็เลยไปกินข้าวคนเดียวบ่อยๆ มีความสุขกว่า รู้สึกไม่อึดอัด
---เรื่องการใช้ชีวิต คือผมชอบเที่ยว เดินห้างซื้อของ เสื้อผ้า รองเท้า ในห้างเซ็นทรัลในเชียงใหม่บ่อยๆ และเห็นได้ชัดเลย
แนวการใช้ชีวิตของผม กับ เพื่อนที่มาจากภาคเหนือด้วยกัน เข้ากันไม่ได้ ซึ่งต่างกับเพื่อนม.ปลายมาก เข้าใจกัน สนิทกันมากกว่า
บางทีพยายามชวนเพื่อน(เด็กเหนือ) ไปเดินห้าง ซื้อของ กางเกงยืนส์ เสื้อผ้า ในห้าง กินชาบู zen บ่อยๆ ผมก็ไปคนเดียวตลอด
คือสไตล์ต่างกันมากๆ ถ้าเป็นเพื่อนม.ปลาย คงชวนไปเดินพารากอน หาไรกินกัน พูดถูกคอกัน แต่นี่ผมไปซื้อคนเดียวตลอด
ซึ่งคิดว่า มันไม่ใช่ เข้ากันไม่ได้ เค้าก็ไปกับเพื่อนโรงเรียนเก่าเค้าแหล่ะ
และคิดว่า อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่สุด แค่เจอกันในห้องเรียน พอจบคลาส ก็แยกย้ายกัน จบ...
ซึ่งต่างจากเพื่อนที่เรียนจุฬามากๆ คือเลิกเรียนแล้วไปหาไรกินกัน เดินสยาม พารากอน จามจุรีสแควร์
ซึ่งมันเป็นสไตล์ผมตั้งแต่มัธยมแล้ว ผมก็ติดต่อ คุยกับเพื่อนม.ปลาย เฟสบุค ไลน์
มันทำให้ผม อยากจะซิ่วตั้งแต่เทอม1 แล้วสอบแกทแพท อีกครั้ง จนได้
แกทแพท รอบ2 ผมตั้งใจอ่านมากๆ แกท แพท2 แพท3 เพื่อให้ได้คะแนน มากพอ 20,000+ ที่จะยื่นเข้าวิศวะจุฬาให้ได้
ซึ่งผมมีคะแนน 19,1xx และคิดว่า รอบนี้ต้องได้เพิ่มนะ คือ
ปัญหา คือ สอบแพท3 วันที่9 มีนา58 ที่ผ่านไป นั่น มันตรงกับสอบมิดเทอมวิชาแคล2
แล้วอาจารย์ประจำวิชา ไม่เลื่อนสอบแคล2 ให้ผม
--ผมตัดสินใจไปสอบแพท3 เพื่อให้ได้คะแนนเข้าจุฬาให้ได้ ผมขาดสอบแคล2 ต้องไปดรอป ไม่ดรอปก็F
เพราะขาดสอบ
ผมตัดสินใจถูกมั้ยครับ ถ้าคะแนนประกาศออกมา แล้วคะแนนแอดผมเกิน 20,700 หรือ 21,000 ขึ้นไป
ซึ่งผมว่าน่าจะติดวิศวะจุฬา หรือ ไม่คะแนนไม่ถึง ผมก็เสียป่าว ต้องเรียนที่เดิม พร้อมเรียนแคล2ใหม่อีกครั้ง
แต่คิดว่า ผมเตรียมตัวตั้งแต่เทอม1 และทำแกท แพท2แพท3 ต้องได้มากกว่า เดิม ถึงจะติดจุฬา
แล้วผมจะไปลาออกจาก มช เพื่อจะไม่โดนตัดสิทธิ์แอดมิชชันส์
สุดท้ายนี่ ผมไม่ได้บอกว่า มช. ไม่ดีนะ แต่มันไม่ใช่สไตล์ผมซะแล้ว
เรื่องเข้าเชียร์ โซตัส ผมก็รับได้ แต่คิดว่าเพื่อนคงเข้ากันไม่ได้
เพื่อน มหาลัย (มช)อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับผม
ผมจึงอยากจะไปเรียนจุฬา ซึ่งผมเลือกไว้อันดับ1 กับเพื่อนม.ปลายด้วยกันและคิดว่า
สังคมจุฬา เหมาะกับผมมากกว่า มช.
เรื่องซิ่วนี่ ผมคุยกับพ่อแม่ไว้แล้วครับ
ผมทำถูกมั้ย ถ้าจะยอมเสียเวลา1ปี เพื่อคว้าสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเอง คือ
ผมมองอนาคต แล้วว่า ถ้าได้วิศวะจุฬา จะได้เพื่อนเก่าที่รู้ใจกัน เพื่อนโรงเรียนเดียวกัน แต่เรียนคณะต่างๆในจุฬา จะหางาน บริษัทใหญ่ๆในกรุงเทพ เหมือนรุ่นพี่วิศวะจุฬา ที่ได้กันเยอะ
และมีโอกาสมากกว่า วิศวะ มช.
ขอบคุณครับ ที่รับฟัง ครับ
มันก็แล้วแต่คุณจะตีความครับ ความคิดคุณ ความคิดผม ห้ามกันไม่ได้
เอาจริงๆ เรื่องหอนะครับ อยากอยู่หอนอกมาก คุยกับพ่อแม่ไว้แล้วว่าจะซิ่ว ไม่นานก็ต้องออก
เคยวานเพื่อนร่วมห้อง รู้เลยพูดปฏิเสธแบบอ้อมๆ ใครจะมาช่วยแบกของซ้อนBBให้ผม ไปหอใหม่
ถ้าพ่อให้เอารถยนต์มาขับ ผมแบกของใส่หลังรถไปนานแล้วครับ ไม่ง้อ
ใครจะแบกพัดลม แบกตู้เย็นเล็ก แบกกาต้มน้ำ แบกกล่องใส่เสื้อใส่ผ้า กล่องรองเท้า(หลายคู่)
กล่องใส่หนังสือ ฯลฯ แบกของที่ไม่ใช่ของตัวเองขึ้น-ลง หลายรอบล่ะครับ
เรื่องไรจะมาเหนื่อยแบกของหลายรอบซ้อนBB ล่ะ ขนรอบเดียวก็ไม่หมด
เรื่องไรเค้าจะมาเหนื่อยกับผม
แก้ไข ---- ไม่มีคำไหนบอกว่า ผมอยากอยุ่หอใน ชอบหอใน มีแต่บอกว่าทนอยุ่ต่อ ไม่มีใครแบกของให้ อีกไม่นาน ออกแล้ว