บันทึกการเดินทางที่อัมพวา

การเดินทางไปอัมพวาเป็นการเดินทางสั้นๆ ที่ใช้เวลาเพียง 1 วันกับ 1 คืนเท่านั้น ฉัน กับพี่สาว พี่วา เราเตรียมการการเที่ยวครั้งนี้ล่วงหน้า 1 อาทิตย์เลยนะ ออกแนวกลัวไม่มีที่พัก วันเสาร์เราออกเดินทางตอนบ่าย 3 โมง ตามที่เขียนไว้ในเนต เค้าบอกว่า 55 นาทีก็ถึงแล้ว เฮ้ย!! แค่ชั่วโมงเดียว สะ บาย มาก เน้นเลยว่าสบายมาก แป๊ปเดียว แต่พอเราขับไปถึงเส้นพระราม 2 ง่ะ รถติด รถติดม๊ากกกก  เห็นแล้วก็อยากจะตะกายกำแพงแล้วข่วนมันเพื่อระบายอารมณ์จริงๆเลย กว่าจะถึงอัมพวาเราใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเดินทาง เอาเข้าจริงๆ ก็พอทำใจได้อ่ะ ถึงราว 5 โมงเศษ พี่วาขับรถไปจอดในลานจอดรถในซอยโรงเจซัมเป้า แล้วเราก็เดินเข้าตรอกเล็กๆ เพื่อที่จะเดินไปให้ถึงริมคลองอัมพวา พอถึงริมคลองความรู้สึกแรกคืออยากให้แม่มาด้วย แม่น่าจะชอบแล้วคงไม่พ้นเล่าเรื่องวัยเด็กที่แม่ล่องเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาแน่ๆ เลย แต่น่าเสียดายระยะที่เดินกับสะพานที่ต้องข้ามไปยังบุบผารีสอร์ทค่อนข้างชัน ถ้าจะพาแม่มาคงต้องสำรวจที่ใหม่ แม้ว่ารีสอร์ทนี้จะอยู่ในทำเลที่เหมาะก็ตาม รีสอร์ทแห่งนี้เป็นตึกแถวเรือนไม้เก่าอายุรวบ 100 ปี ในอดีตรีสอร์ทแห่งนี้เป็นร้านขายยามาก่อน ซึ่งคุณตาของเจ้าของคนปัจจุบันเป็นเจ้าของร้าน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วันนี้จึงเหลือแต่ป้ายร้านไว้ให้ระลึกถึงเท่านั้น

ฝั่งตรงข้ามของตึกแถวที่ฉันพักเป็นบ้านเดิมของขุนนิกร นายอำเภอคนสุดท้ายที่มีตำแหน่งเป็นขุนคนสุดท้ายของอัมพวา บ้านขุนนิกรเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ในอดีตเป็นสีชมพูหม่นๆหน่อย (พนักงงานรีสอร์ทเล่าให้ฟัง และให้ฉันดูรูปในอดีต) แต่ปัจจุบันบ้านของท่านกลายเป็นรีสอร์ทและร้านอาหารไปซะแล้ว โดยเจ้าของร้านเป็นผู้เช่าบ้านผ่านมูลนิธิที่ท่านตั้งไว้ก่อนที่ท่านจะเสีย เท่าที่รู้ท่านไม่มีลูกหลายไว้สืบทอดจึงได้สร้างมูลนิธิไว้เป็นการกุศล  วันนี้บ้านถูกตบแต่งจนทันสมัยขึ้นแม้จะเป็นโครงบ้านเดิม แต่ก็เห็นความทันสมัยสอดแทรกอยู่ในความโบราณนั้น  

หลังจากฉันคุยกับพนักงานของรีสอร์ทอยู่สักพัก พี่วากับฉันก็ตัดสินใจนั่งเรือไปดูหิ่งห้อยกัน  ค่าใช้จ่ายในการนั่งเรือต่อคนเพียง 60 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จ่ายได้ เรานั่งเรือจากคลองอัมพวาออกไปสู่แม่น้ำแม่กลอง ในช่วงแรกของการนั่งเรือ เราถ่ายรูปตามริมคลอง และรูปพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แต่น่าเสียดายที่พระอาทิตย์ตกอยู่ด้านหลังเรา เราจึงเห็นแต่แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ เพียงเท่านี้ก็นับว่าสวยงามเมื่อได้ถ่ายคู่กับแม่น้ำแม่กลองที่ยังคงสะอาดและสวยงาม

ระหว่างการนั่งเรือ ฉันจะเห็นคนลงไปอยู่ในน้ำมีแต่หัวโผล่มา ฉันก็สงสัยไปงมอะไรกันนะ พี่วาบอกว่าที่นี่เป็นป่าโกงกางมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นน้ำกร่อย ทำให้มีกุ้งอยู่จำนวนมาก ฟังแล้วสายตาลุกวาว นั่น! นั่น! แปลว่าที่นี่มีกุ้งแม่น้ำให้ฉันสอยแน่นอน รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีอิอิ  
พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ความมืดมิดเข้ามาแทนที่ สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้เห็นก็ปรากฏตัวขึ้น มันคือหิ่งห้อย ฉันเห็นตั้ง 2 ตัวแน๊ะ เยอะม๊ากกก แอบคิดในใจทันทีว่าสมัยเรียนข้างหอพักเห็นเยอะกว่านี้อีกอ่ะ มาไมเนี่ย 2 ตัว ไม่รู้จักหน้าที่ซะเลย 555 แต่ไม่นานนักหลังจากเรือแล่นไปไม่ถึง 5 นาที ฉันก็ได้เห็นหิ่งห้อยเต็มต้นไม้ มันระยิบระยับเหมือนกับไฟวันคริสมาสเลย แต่หิ่งห้อยสวยกว่าเพราะมันมีชีวิต มันจะเคลื่อนไหวไปมา ความระยิบระยับของมันเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ฉันว่าฉันเป็นคนไทยเคยเห็นมามากแล้วนะ ท่านหิ่งห้อยเนี่ย แต่พอได้เห็นในบรรยากาศเย็นสบาย มีลมพัดเอื้อยๆ มีสายน้ำอยู่ตรงหน้า และมีหิ่งห้อยที่สวยงานบินไปมา มันให้ความรู้สึกสบายใจสงบเงียบ เหมือนกับเราได้จมไปสู่อีกโลกที่ไม่มีความรีบร้อนเอาซะเลย ทุกอย่างปล่อยไปเรื่อยๆ ในขณะที่ฉันกำลังมีความสุขกับการมองดูหิ่งห้อย ฉันก็ได้ยินเสียงชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่งคุยกัน จากน้ำเสียงเธอทั้ง 2 คนตื่นเต้นมากที่เห็นมัน  ในขณะที่ฉันแค่รู้สึกสงบและสวยงามไม่ได้ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น จากปฏิกิริยาของเธอทั้งสองคน มันทำให้ฉันนึกถึงตอนฉันเห็นแมวน้ำ และอีกัวน่าครั้งแรกที่กาลาปาโกสเลย มันคงจะเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นสุดๆ
การนั่งเรือเพื่อชมทิวทัศน์และหิ่งห้อยใช้เวลาอยู่ประมาณ 45 นาที เมื่อเรือแล่นกลับมายังท่า ฉันกับพี่วาก็เริ่มออกเดินไปตามริมคลอง ถ่ายรูปเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน พี่วามีความสามารถในการเซลฟี้มา ในขณะที่ฉันจับกล้องแบบพี่เค้าไม่เป็น เลยได้ทียืนห่างกล้องทำให้ตัวเองดูเล็กลงซะเลยอิอิ เราเดินดูของกันไปเรื่อยๆ มีทั้งขนมสายไหม ขนมไทย ไอติมกรวยเล็กๆน่ารักมาก ขายอยู่ตามทาง ถ้าจะให้เปรียบว่าที่อัมพวาให้ความรู้สึกคล้ายที่ไหน คงต้องบอกว่าคล้ายเชียงคานในปัจจุบัน คล้ายไนบราซ่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อน (อุ้ย!!! เผลอบอกความแก่เขาซะแล้วอิอิ) สิ่งที่ต่างจากเชียงคนน่าจะเป็นความหลากหลายของสินค้า และแสงสีที่มีมากกว่า อย่างอื่นนับว่ายังพอคล้ายๆอยู่บ้าง  ฉันเดินเล่นไปถ่ายรูปไปเรื่อย จนสุดท้ายฉันก็ได้พบเป้าหมายของตัวเอง กุ้งแม่น้ำ ที่นี่ขายจานละ 500 บาท แพงพอตัว แต่ฉันกินไม่มาก(โปรดเชื่อนนะว่ากินไม่มาก555) เลยต่อรองขอแค่ไม่กี่ตัวเลยเสียไป 150 บาท พร้อมกับซื้อหอยอีก 3 จาน จานละชนิด คือแมลงภู่ เชลล์ ส่วนอีกตัวไม่รู้จักอ่ะ รู้แต่ว่าอร่อยหมด มื้อนี้เลยกินจนมึนไปหมด กินเกินอิ่มเลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่อาหารมันลงไปอยู่ในท้องฉัน ส่วนพี่สาวฉันกินไม่เยอะในช่วงเย็น (ก็คนเริ่มมีอายุก็อย่ากินเยอะเลย เปลือง 555 แอบนินทา)
พออิ่มก็เดินเล่นต่อไป เราเห็นเสื้ออัมพวา เราก็ซื้อกันคนละตัว ประมาณว่ามาถึงละขอซื้อเป็นของที่ระลึกละกัน แล้วเราก็เดินต่อไปไปซื้อขนมไทยที่ดูสวยงาม แพคเกตจิ้งให้ความเป็นไทยสุดๆ ก็เข้าใส่ตะโก้และชนมอื่นๆ ในเครื่องปั่นดินเผาเล็กๆน่ารัก ได้ของหวานมาแล้วเราก็เดินกลับไปยังที่พัก เราเลือกที่จะนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านริมคลองที่มีโต๊ะไม้กลมเล็กๆ กับเก้าอี้ไม้มีพนักและที่ท้าวแขน เราซื้อน้ำหวานมากินกับตะโก้และมองดูทิวทัศน์ พร้อมฟังเพลงสบายๆที่ร้องอยู่ฟังตรงข้ามอย่างสบายอารมณ์ เราไม่ต้องไปเสียเงินซื้อของกินในร้านให้แพง แต่ก็ได้ฟังเพลงที่ไม่ดังจนเจ็บหูและมีลมเย็นๆพัดผ่านตัวเรา พร้อมกับขนมที่เราอยากกิน แต่ความฝันอันสวยงามอย่างที่กล่าวมาเหมือนจะครบถ้วนสมบูรณ์แล้วเชียว ถ้าขนมที่ซื้อมาไม่ทำให้เรารู้สึกแย่ อย่างที่บอกหน้าตาขนมดี แพกเกตจิ้งดี เสียอย่างเดียวจริงๆเลย เสียปากอ่ะ มันเสียปากอย่างแรง แต่ก็ช่างเหอะ องค์ประกอบอื่นๆยังดีอยู่ จนกระทั้ง 3 ทุ่มกว่าองค์ประกอบอันสวยงามเริ่มเพี้ยนอีกครั้ง เมื่อร้านที่อยู่ติดกัน 2 ร้าน มีนักร้องทั้งคู่และต่างคนต่างร้อง ร้านแรกร้องเพลงลูกทุ่ง ร้านที่ 2 ร้องเพลงเพื่อชีวิต ฉันเลยนั่งฟังเพลงตีกันวุ่นวานไปหมด มันได้อีกอรรถรสจริงๆเลย ยังนั่งนึกอยู่เลยว่านักร้องจะยกพวกตีกันป่าวนะ เล่นต่างคนต่างร้อง ต่างคนต่างดัง ไม่สนใจคนฟังเลย (ฟังไม่เสียตังค์แล้วบ่นอ่ะอิอิ) นั่งเล่นจนสี่ทุ่มกว่า ความง่วงเริ่มคืบคลานเข้ามา เราเลยต้องคืบคลานกลับห้องเพื่อที่จะเตรียมตัวนอนกัน เพื่อเช้าวันต่อไปเราจะได้มีแรงเดินทางต่อไป



เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าเพื่อมาตักบาตรตามที่พี่ฉันชอบ พี่วาว่าอยู่กรุงเทพไม่ค่อยได้ตักบาตร มาต่างจังหวัดก็ตักบาตรสักทีก็แล้วกัน ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ดีนะใส่บาตรทำบุญ ตื่นเช้าชมวิว ถ่ายรูปความสงบของคลองอัมพวาสักหน่อยก็ดี เราเลยตื่นกันตั้งแต่ตี 5 ครึ่งเพื่อทำภารกิจนี้ พระที่นี่มีทั้งพายเรือมาและเดินบิณฑบาต ฉันได้ตักข้าวใส่บาตรทั้งที่เดินทางมาทางเรือและที่เดินมา แต่คนเรามันบุญวาสนาไม่เท่ากัน พี่วาใส่บาตรได้รับพระจากหลวงพ่อด้วย ส่วนในไม่ได้อ่ะ บังเอิญฉันใส่หมดซะก่อนอดเลยอ่ะ เกือบเสียใจละ ดีนะไม่สะสมพระ พอ 7 โมงกว่าฉันกับพี่ก็กลับเข้าห้องไปนอนต่อ แล้วฟื้นกันขึ้นมาอีกทีก็ 9 โมง เราเตรียมเก็บของเพื่อที่จะเช็คเอ๊าท์แล้วออกเดินทางไปยังวัดต่างๆแถวนั้น ขณะที่เราไปเช็คเอ๊าท์เราพบว่าที่นี่มีอาหารเช้าให้พวกเรากินด้วย มันคือก๋วยเตี๋ยวเรือ ที่พายมาตามคลอง ทางรีสอร์ทจะผู้ก๋วยเตี๋ยวให้มาจอดท่าหน้าเป็นเวลาในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ แขกที่มาพักจะกินเท่าไหร่กี่ชามก็ได้ คือให้กินจนอิ่มนั่นแหละ โดยราคาที่ขายชามละ 10 บาทเท่านั้น นับว่าถูกมาก ฉันกินไปได้ชามเดียวก็อิ่มแล้ว กินมากไม่ได้ละ เดี๋ยวอ้วน (พูดเหมือนผอมเลย 555) จากการสัมภาษณ์ ออกแนวสอดรู้สอดเห็นของฉัน ทำให้ฉันได้รู้ว่าเจ้าของเรือที่ขายก๋วยเตี๋ยวจะมีชามเก็บไว้ในเรือลำน้อยของเค้า 700 ชามและจะขายหมดทุกวันด้วย คิดเองนะว่ารายได้เท่าไหร่ต่อวัน และถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็จะมีเรือ 2 ลำ เป็นของภรรยาลำ สามีลำ รายได้ของพวกเค้าดีกว่าผู้จัดการบางคนด้วยซ้ำไปนะเนี่ย สองสามีภรรยาในอดีตทำงานโรงงานแต่เนื่องจากงานเหนื่อยเงินเดือนน้อย เลยตัดสินใจลาออกมา พายเรือขายอาหารแทน นับว่าเป็นการเลือกที่ถูกต้องจริงๆ


    เมื่ออิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปเยี่ยมชมอุทยาน ร 2 วัดต่างๆ และตลาดร่มหุบ เราเริ่มจากอุทยาน ร2 ที่ที่มีอุทยาน ร 2 อยู่ที่นี่เพราะพระองค์ทรงพระราชสมภพที่ในปี 2310 ถ้าจำไม่ผิดเป็นปีที่เราเสียกรุงศรีอยุธยา พระทรงเกิดและเติบโตอยู่ที่นี่จนกระทั้งอายุได้ 8 ชันษา จนได้ไปอยู่กับร 1 เพื่อร่วมสงคราม อุทยานฯนี้ จะมีบ้านเรือนไทยที่ทำจากปูน อยู่หลายเรือน แต่ละเรือนจะมีวิถีชีวิตไทย และพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ให้เราได้เรียนรู้ จริงๆที่นี่สวยและบรรยายกาศดีนะ แต่ขอแนะนำให้มาช่วงเย็นหน่อยจะดีกว่า (ที่นี่ปิด 5 โมงเย็น) เพราะอากาศช่วงกลางวันร้อนมาก เหงื่อเต็มตัวเลย

    จากอุทยานฯ เราก็ไปค่ายบางกุ้ง หรือวัดบางกุ้ง วัดนี่มีสิ่งน่าสนใจถือว่าเป็น Unseen Thailand เพราะที่นี่มีอุโบสถโบราณที่ถูกต้นโพธิ์ล้อมไว้ รากของต้นจะยึดเกาะติดกับตัวอุโบสถเลย สวยและแปลกตา หากใครมีเวลาน่าจะมาชมนะ ฉันใช้ความพยายามในการถ่ายพระในอุโบสถผ่านหน้าตางอยู่ 10 กว่านาทีก็ไม่สำเร็จเพราะมีคนต่อคิวขึ้นบันไดและต้องเดินผ่านช่องหน้าตาไปติดทองพระประธานกันตลอดเวลา สุดท้ายทนไม่ได้ เจอผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินผ่าน ฉันเลยขอให้เค้าหยุดให้ฉันถ่ายสักแป๊ปหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างดี จากนั้นพี่สาวผู้ใจดีของฉันก็แอบไปต่อแถวให้เพื่อที่จะหยุดยืนให้ฉันถ่ายรูป ในที่สุดฉันก็ได้รูปมาแม้จะติดคนบ้าง แต่ทำไงได้ คนเยอะมากจริงๆอ่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่