เมื่อต้นปีที่ผ่านมาอารมณ์หน้ามืดเข้าครอบงำ กดจองตั๋วไปเที่ยวญี่ปุ่น ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้หาข้อมูลเท่าไหร่แล้วก็ไม่มีใครไปด้วย ทริปนี้เลยต้องลุยเดี่ยว ระยะเวลา 6 วัน 5 คืน ซึ่งส่วนใหญ่ในโตเกียวเห็นมีคนมารีวิวบ่อยแล้ว เราเลยอยากพาไปเที่ยวฮาโกเน่ บ้าง ซึ่งเป็นเมืองที่หลายคนเลือกเป็นทางผ่านเพื่อจะไปชมภูเขาไฟฟูจิแล้วต่อไปเส้นทางอื่น แต่เรามาฮาโกเน่แบบไปกลับโตเกียว one day trip ซึ่งเป็นการเที่ยวแบบวงกลมตามเส้นทางของHakone Pass ตั๋วเดินทางแบบบุฟเฟ่ต์
เป้าหมายในการเดินทางมาฮาโกเน่ของเราในครั้งนี้ไม่ใช่แค่มาดูฟูจิ หรือมาชิมไข่ดำที่หุบเขากำมะถัน แต่เป็นการมาตามหาพิพิธภัณฑ์ Musee Du Petit Prince De Saint-Exupery A Hakone ชื่อยาวหน่อย อาจจะเรียกสั้นๆว่า พิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อย ที่นี่รวบรวมลายเส้น ต้นฉบับและประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับหนังสือดังเรื่องนี้ไว้ นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบรองลงมาจากที่ฝรั่งเศสที่เป็นต้นกำเนิด ในฐานะสาวกเจ้าชายน้อยจึงไม่พลาดที่จะตามหาเจ้าชายผมสีทองในผ้าคลุมที่อยู่ ณ ฮาโกเน่
ตกหลุมรัก ฮาโกเน่ Backpackเดี่ยว ตามหาเจ้าชายน้อย
เป้าหมายในการเดินทางมาฮาโกเน่ของเราในครั้งนี้ไม่ใช่แค่มาดูฟูจิ หรือมาชิมไข่ดำที่หุบเขากำมะถัน แต่เป็นการมาตามหาพิพิธภัณฑ์ Musee Du Petit Prince De Saint-Exupery A Hakone ชื่อยาวหน่อย อาจจะเรียกสั้นๆว่า พิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อย ที่นี่รวบรวมลายเส้น ต้นฉบับและประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับหนังสือดังเรื่องนี้ไว้ นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบรองลงมาจากที่ฝรั่งเศสที่เป็นต้นกำเนิด ในฐานะสาวกเจ้าชายน้อยจึงไม่พลาดที่จะตามหาเจ้าชายผมสีทองในผ้าคลุมที่อยู่ ณ ฮาโกเน่
เริ่มออกเดินทาง.....เรานั่งรถไฟของบริษัทโอดาคิว ที่สถานีชินจูกุ โดยซื้อบัตรฮาโกเน่พาส เป็นเงิน 5200 เยน ซึ่งบัตรนี้จะทำให้เราสามารถนั่งพาหนะทุกอย่างในฮาโกเน่ได้แบบบุฟเฟต์เลย ตั้งแต่รถราง รถไฟ กระเช้าลอยฟ้า ล่องเรือ รถเมล์ จนถึงรถไฟขากลับ จากชินจูกุ นั่งรถไฟมาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งมาลงที่สถานีโอดาวารา ตลอดทางจะผ่านภูเขา ลำธาร ทุ่งหญ้า ให้เราได้ถ่ายรูปบ้าง แม้จะเป็นฤดูหนาวที่ทุกอย่างดูแห้งแล้ง
จากนั้นต่อรถไฟฮาโกเน่ ยามามุโตะ เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถราง เหมือนเป็นรถไฟท้องถิ่นเล็กๆน่ารักมาก เพื่อขึ้นไปตามเส้นทางหาฟูจิ รถรางจะพาไต่ระดับภูเขาสูงมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งต้องมาเปลี่ยนรถรางแบบเคเบิ้ลพาเราเทียบท่ากระเช้าลอยฟ้า ที่จะพาไปชมฟูจิ ระหว่างทางจะผ่านหุบเขาที่ทำเหมืองกำมะถัน ซึ่งเป็นจุดชิมไข่สีดำ มีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด
ด้วยความที่พาหนะทุกอย่างเป็นไปด้วยความล่าช้า เราจึงทำเวลาด้วยการไม่แวะไปเสียเวลาที่ไหนมากนัก เนื่องจากพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยจะปิดเวลา 17.00น. ซึ่งตอนนี้ก็ถึงเวลาบ่ายสองกว่าแล้วระหว่างที่กระเช้ากำลังจะลงจอดที่ทะเลสาบอาชิ เราก็เห็นเมฆก้อนขนาดใหญ่มาบังฟูจิไว้ ซึ่งนั่นทำให้เรามาแบบเสียเที่ยวและอดเห็นสาวน้อยขี้อายแห่งแดนญี่ปุ่น.....
ไม่รอช้าเมื่อกระเช้าจอดเรารีบต่อลงเรือโจรสลัดล่องไปตามทะเลสาบอาชิ วิวด้านหลังเป็นภูเขา อากาศหนาวประทะใบหน้าเอาซะทนความเย็นไม่ได้ เรือลำนี้จะแล่นไปอีกฟากแล้วกลับมาฝั่งเดิมใช้เวลาประมาณ70 นาที
แต่ด้วยความรีบ เราเลยไม่นั่งเรือกลับและลงเรือต่อรถเมล์ ซึ่งเราต้องนั่งรถเมล์กลับมาที่สถานีรถไฟที่มาตอนแรก พร้อมกับต่อรถเมล์อีกสายเพื่อนั่งไปอีก 20กว่าป้าย เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง รถเมล์ขับขึ้นเขา ผ่านถนนสายเล็กๆ ผ่านมาไกลจากเขตเมืองมาก ผู้คนน้อยลงทุกที เป็นเมืองที่เงียบสงบ จนกระทั่งบนรถเมล์เหลือเราแค่คนเดียว
แต่สุดท้ายก็ถึงพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อย อาคารทรงฝรั่งเศสหลังเล็กๆ มีรั้วประดับรูปภาพที่คุ้นเคยต้อนรับให้เราเข้าไป เมื่อซื้อตั๋วเราก็พร้อมเข้าสู่สิ่งที่เรามาตามหานั่นคือเจ้าชายน้อยนั่นเอง....ดูเหมือนอากาศหนาวทำให้สวนที่นี่ดูแห้งเหี่ยวไป
แต่ก็ยังมีคุณป้าคอยดูแลสวน และคอยดูแลความเรียบร้อยและต้อนรักผู้มาเยือน ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ แต่ทุกคนมาด้วยใจและเต็มไปด้วยรอยยิ้มกันทั้งหมด นอกจากรูปปั้นเจ้าชายน้อยที่ซ่อนตามส่วนต่างๆในสวนแล้วยังมีโถงนิทรรศการใหญ่จัดเป็นห้องๆ เกี่ยวกับประวัติผู้เขียน กว่าจะเป็นลายเส้นเจ้าชายน้อย ห้องทำงาน และเรื่องราวต่างๆที่ทำให้เราเดินเพลินและยิ้มไปกับมัน
ก่อนที่จะบอกลากับเพื่อนตัวน้อยจากในหนังสือ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เราต้องนั่งรถกลับไปทางเดิม แต่คราวนี้รู้สึกมันเป็นหนทางที่ไม่ไกลอีกแล้ว รถไฟจากฮาโกเน่ ยามามุโตะ พาเราไปส่งถึงรถไฟที่จะนั่งเข้าเมืองไปชินจูกุ ภาพค่อยๆเปลี่ยนผ่านจากเมืองเล็กๆ สงบๆ เป็นความวุ่นวายตามแบบฉบับของโตเกียวแต่มันก็มีเสน่ห์ ใครไปญี่ปุ่นอยากให้ลองแวะสักนิด ฮาโกเน่ เมืองเล็กๆ เที่ยวไม่ยาก
แผนการเดินทางแบบวงกลมของฮาโกเน่ เราเที่ยวตามนี้เลย ส่วนรายละเอียดการท่องเที่ยวอื่นๆในเมืองตามได้ที่ >>> http://www.hakonenavi.jp/