นิยาย สวรรค์บาป ตอนที่ 1
บทประพันธ์ ชลิตา
"พี่นนท์"
เสียงเรียกเบาๆดังมาจากระเบียง ทำให้ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษผู้กำลังเดินผ่านห้องโถง ต้องหยุดชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง และแทนที่เขาจะเดินพาตัวเองขึ้นไปชั้นบนตามความตั้งใจเดิม เขากลับก้าวเลยออกมาสู่ระเบียงด้านของของตัวตึก ซึ่ง ณ ที่นั้น สุทธิ์นันท์ ชญากร กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยท่วงทีตามสบาย และด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดหน่อยๆอย่างมีเรื่องกังวลใจ
"ผมรอพี่นนท์ตั้งเกือบชั่วโมงแล้วครับ ถ้ารู้ว่าวันนี้พี่นนท์กลับมาจากโรงพยาบาลช้า ผมจะโทรไปนัดพี่นนท์ก่อนก็ดี"
สีหน้าแสดงอาการเคร่งเครียดของสุทธิ์นันท์ เปลี่ยนเป็นสดชื่นขึ้นเมื่อกล่าวปรารภต่อไปดังๆ ชานนท์ยิ้ม เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามน้องชายพลางถามว่า
"มีธุระอะไรกับพี่หรือตาสุทธิ์?"
"พี่นนท์ช่างรู้ใจผมดีจริง" สุทธิ์นันท์ว่าพลางหัวเราะเจื่อนๆ
"เรื่องง่ายๆน่ะสุทธิ์ เพราะถ้าสุทธิ์ไม่มีธุระอะไรกับพี่ล่ะก็ บางทีเดือนทั้งเดือนเรายังไม่ได้เจอหน้ากันเลย ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกันจริงไหม?"
"จริงฮะพี่นนท์" สุทธิ์นันท์รับเสียงอ่อนๆ "เอ้อ วันนี้ผมมีธุระกับพี่อีกตามเคยล่ะฮะ อ้อ...ทานของว่างเสียก่อนเถอะครับพี่นนท์ ผมน่ะทานเรียบร้อยแล้วล่ะ" สุทธิ์นันท์เปลี่ยนเรื่องในตอนท้ายเมื่อเด็กรับใช้นำถาดอาหารว่าง พร้อมด้วยน้ำส้มคั้นเย็นเฉียบมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของ ชานนท์ ธนายุทธิ์
พูดพลาง สุทธินันท์ก็หลับตาลงเอื้อมมือไปเปิดเพลงจากเครื่องเล่นซีดี เขาเปิดเพลงสากลที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนั้น เขาเปิดฟังเบาๆ อย่างสบายใจขึ้น
ในระหว่างที่ชานนท์จัดการกับอาหารว่างอย่างเงียบๆ
ความจริงบุรุษหนุ่มทั้งสองไม่ใช่พี่น้องกัน แต่เขาทั้งสองก็มีความสัมพันธ์และถูกอบรมเลี้ยงดูมาด้วยกันดุจพี่น้องคลานตามกันมา จากนาย ศักดิ์ชัย ชญากร ผู้เป็นบิดาแท้ๆของสุทธิ์นันท์
เหตุผลที่ชานนท์ต้องอยู่ในความดูแลของบิดาสุทธิ์นันท์เนื่องจากเขาเป็นกำพร้าบิดามารดา...บิดาและมารดาของชานนท์เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ขณะเดินทางไปดูงานทางการค้าที่ประเทศฝรั่งเศส บิดาและมารดาของเขาได้ฝากเขาไว้กับนายศักดิ์ชัย ผู้เป็นเพื่อนรัก ครั้นต่อมาบิดาและมารดาของเขาเสียชีวิต เขาจึงต้องเลี้ยงดูชานนท์เหมือนลูกแท้ๆโดยที่ไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย
จวบจนกระทั่งเขาเติบโตเป็นชายหนุ่มใหญ่ในปัจจุบันนี้...ชานนท์มีความเป็นอยู่ตลอดจนการศึกษาที่เท่าเทียมกับสุทธิ์นันท์ผู้เป็นบุตรโดยแท้อย่างเท่าเทียมเสมอมา...และมีความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าสติปัญญาและความประพฤติของชานนท์ เหนือกว่าสุทธิ์นันท์มาก ถึงแม้จะมีวัยที่แก่กว่าสุทธิ์นันท์ถึงห้าปีก็ตาม
"วันนี้ทนายความของคุณพ่อมากวนใจผมอีกแล้วพี่นนท์"
สุทธิ์นันท์เริ่มเรื่อง ในภายหลังที่ชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆของเขารับประทานอาหารว่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และโดยที่ไม่รอให้ชานนท์ซักไซ้ไล่เรียงต่อไป สุทธิ์นันท์ก็รีบกล่าวต่อไปอย่างรวดเร็ว
"ทนายประยุทธิ์มาเร่งรัดให้ผมไปที่บ้านเกียรติยานนท์ ตามคำเชิญของคุณนายตรีรัตน์ เฮ้อผมนี่กลุ้มใจจริงๆฮะ ไม่รู้พ่อจะทำพินัยกรรมบ้าๆนี้ขึ้นมาทำไม ถ้าเรื่องที่ให้ผมไปแต่งงานหลอกๆกับสาวบ้านนอก นี่ก็พอจะทำใจฮะ แต่นี่ผมจะต้องไปแต่งงานกับกะเทย...ผมทำใจไม่ได้จริงๆ"
ผู้แก่วัยกว่าฟังอยู่นิ่ง สุทธิ์นันท์ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ กล่าวอย่างร้อนรนกระวายใจต่อไป
"จริงๆนะฮะพี่นนท์ ให้ผมตายซะดีกว่าที่จะต้องมาแต่งงานกับกะเทยอย่างชลิตาอะไรนั่น พี่นนท์ช่วยผมคิดหน่อยซีฮะว่าจะทำอย่างไรดี ผมจึงจะไม่ต้องแต่งงานกับกะเทย ผมนี่ขนลุกไปหมดแล้วครับ"
"ทำไมเธอไม่ไปปรึกษาคุณแม่ดูล่ะ" ชานนท์ย้อนถาม
"คุณแม่น่ะหรือฮะ" สุทธิ์นันท์ยักไหล่อย่างระอา "คุณแม่ก็ดีแต่เดินตามรอยคุณพ่อ ท่านช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก ยิ่งถ้าผมไม่แต่งงานนะฮะ แม่ขู่ไว้ว่าจะไม่ได้สมบัติของพ่อเลยแม่แต่บาทเดียว พ่อตายไปแล้วผมนึกว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่ท่านก็ทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้ผม แม่ว่าถึงอย่างไรชลิตาก็เป็นลูกคนเดียวของเศรษฐีนีของจังหวัดชุมพร ลองแต่งงานไปก็ไม่เสียหาย แต่ผมนี่คิดว่าโคตรเสียหายเลยฮะ"
สุทธิ์นันท์กล่าวอย่างอดไม่ได้ที่จะต่อว่าบิดาที่เสียชีวิตของตนเอง นายศักดิ์ชัย เจ้าสัวใหญ่เจ้าของเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งได้เสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา
ชานนท์นิ่งไปอีกครั้ง และอันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สุทธิ์นันท์ผู้เป็นน้องชายได้มาปรึกษาปัญหานี้กับเขา ชานนท์ได้ทราบมานานแล้วว่าคุณนายตรีรัตน์เป็นอดีตภรรยาเก่าของบิดา และท่านผู้นี้ก็เป็นผู้ช่วยให้บิดาบุญธรรมของเขาได้มีโรงงานและเป็นผู้มั่งคั่งในปัจจุบัน และดังนั้นทั้งสองจึงได้ทำสัญญาขึ้นมาร่วมกันว่าให้บุตรของแต่ละฝ่ายมาแต่งงานกันในอนาคต
แต่ไม่รู้ว่าเวรหรือกรรม...ทั้งสองฝ่ายมีลูกชายด้วยกันทั้งคู่ และเวรกรรมคูณสองขึ้นไปอีก เมื่อต่างฝ่ายไม่ได้รับรู้เรื่องราวของกันและกัน ดังนั้นในพินัยกรรมจึงยังระบุให้ทั้งสองจะต้องแต่งงานกัน โดยที่เรื่องราวที่ว่าต่างฝ่ายต่างมีบุตรชายนั้นไม่มีฝ่ายใดได้รับรู้ จนถึงวันที่เปิดพินัยกรรม...
อย่างไรก็ดีการหมั้นหมายที่จะให้ ชลิตา เกียรติยานนท์ ลูกสาวหรือลูกชายในอดีตจะต้องได้แต่งงานกับสุทธิ์นันท์ยังคงเป็นไปตามเดิม
ชานนท์เขาก็ได้รู้เรื่องราวนี้มาบ้างจากปากมารดาบุญธรรมของเขา ว่าท่านก็ไม่ได้อยากจะให้ลูกชายคนเดียวของท่านจะต้องไปแต่งงานกับสาวประเภทสอง และท่านเคยโทรไปสอบถามเรื่องราวนี้กับคุณนายตรีรัตน์ว่าหากไม่มีปัญหาอะไรนั้น อยากให้ยกเลิกสัญญาฉบับนี้ซะ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่
แต่ทางคุณนายตรีรัตน์ไม่ยอม ท่านกล่าวว่าในอดีตสัญญาได้ทำเอาไว้และไม่ได้ระบุว่าห้ามแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน และท่านก็บอกว่าความจริงการจะแต่งงานกันไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทางฝ่ายเรามีแต่ได้กับได้...ด้วยเหตุนี้มารดาบุญธรรมของเขาจึงไม่อาจจะขัดขวางอะไรได้
"ทนายประยุทธิ์บอกว่า คุณนายตรีรัตน์โทรมาเร่งหลายครั้งแล้วฮะพี่นนท์" หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะสุทธิ์นันท์ก็เอ่ยขึ้น "เห็นทนายยุทธิ์บอกว่านอกจากคุณนายตรีรัตน์อยากจะเจอผมแล้ว ก็ยังจะได้ปรึกษาเรื่องการหมั้นและแต่งงานอีก คุณนายต้องการที่จะให้ผมกับชลิตาไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เมืองนอกด้วย โอ....ผมนี่ไม่อยากไปเลยครับพี่...ผมอยากจะตายเสียให้ได้ และผมก็รักแค่กาญน์กนกคนเดียว และการจะต้องมีเมียเป็นกะเทยนั้นมันเป็นสิ่งที่น่าอับอายอย่างมาก พี่นนท์ฮะ พี่ต้องหาทางช่วยผมด้วย เพราะผมไม่มีวันจะไปบ้านเกียรติยานนท์ และไม่มีวันจะแต่งงานกับไอ้กะเทยนั้นเป็นอันขาด"
เสียงฝีเท้าเบาๆของใครคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา ซึ่งในวินาทีต่อมาก็ปรากฎว่าเป็นคุณนายลีลาวดีผู้เป้นมารดาของสองชายหนุ่ม ซึ่งได้เข้ามาสมทบ ณ ที่นั้นอีกคนหนึ่ง
"อ้อ อยู่ที่นี่ นี่เองสองหนุ่ม ตาสุทธิ์กำลังกวนใจแกเรื่องอะไรอีกล่ะ ตานนท์? เรื่องหนูตาใช่มั๊ย" คุณลีลาวดีถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี พลางทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
"ฮะคุณแม่" สุทธิ์นันท์รับพลางถอนใจเฮือกใหญ่ "ผมกำลังอ้อนวอนพี่นนท์ให้หาหนทางช่วยผมอยู่ครับ ในการหลีกเลี่ยงที่จะแต่งงานกับกะเทย"
"โธ่เอ้ย...แกนี่วุ่นวายจริงๆนะตาสุทธิ์" คุณลีลาวดีบ่นบุตรชายด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก "พ่อนนท์เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหนูตาสักหน่อย ทำไมแกต้องไปกวนใจพี่เขาด้วย"
"โถ...คุณแม่ก็...." สุทธิ์นันท์แกล้งลากเสียงอุทานตามมารดาบ้าง "คุณแม่อยากมีสะใภ้เป็นกะเทยหรือยังไงฮะ คุณแม่ไม่อยากมีหลานหรอกหรือฮะ"
"แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในพินัยกรรมของพ่อแก และถ้าแกไม่ทำตาม มรดกทั้งหมดรวมทั้งโรงงานจะตกเป็นของคุณนายนั่น แกจะยอมเหรอ?"
"ผมไม่เคยคิดเลยว่าคุณพ่อจะทิ้งปัญหาไว้หลังจากการตาย ความจริงคุณพ่อไม่น่าตายเลยนะฮะน่าจะอยู่นานๆจนกะเทยชลิตาอะไรนั่นตายๆไปก่อน แต่โอ...ผมนึกออกแล้วว่าผมจะทำยังไงดีกับเรื่องนี้" ตอนท้ายชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี นัยน์ตาวาวโรจน์ขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความหวัง
"สุทธิ์จะทำอย่างไร?" ชานนท์ซึ่งเป็นบุคคลที่พูดน้อยที่สุดในวงสนทนาเอ่ยถามเสียงเรียบ สุทธิ์นันท์ดีดนิ้วเปาะอย่างร่าเริง และตอบทันทีว่า
"พี่นนท์ปลอมตัวเป็นผมเสียก็สิ้นเรื่อง คือผมหมายความว่าให้พี่นนท์ไปที่บ้านเกียรติยานนท์แทนผม แต่ไปในนาม สุทธิ์นันท์ ชญากร อย่างไรเล่าฮะ"
"ตาสุทธิ์!!" คุณลีลาวดี และผู้เปรียบเสมือนมารดาแท้ๆของชานนท์อุทานออกมาอย่างตกใจ
"คุณแม่กับพี่นนท์ล่ะก็ทำเป็นตกใจไปได้"
"ตาสุทธิ์!" คุณลีลาวดีเรียกชื่อบุตรชายอีกครั้งแต่คราวนี้หล่อนกล่าวด้วยเสียงสำเนียงตกใจ "นี่แกแนะอะไรพิเรนๆอย่างนี้ล่ะ ถ้าขืนทำไปจริงๆแล้วคุณนายตรีรัตน์เขารู้ทีหลังจะมาถอนหงอกฉันได้ รู้ไว้บ้างซีตาสุทธิ์"
"ถึงรู้ที่หลังจะเป็นไรฮะ ลูกแกได้แต่งงานกับพี่นนท์นับว่าโชคดีด้วยซ้ำไปซิครับคุณแม่ พี่นนท์ทั้งรูปหล่อหน้าตาดี เรียบร้อยอีกต่างหาก เสียตรงไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคุณตรีรัตน์เท่านั้นแหละ" สุทธิ์นันท์พูดครึ่งเล่นครึ่งจริง
"ฉันไม่ยอมให้แกทำตามใจแกหรอกนะตาสุทธิ์" คุณลีลาวดีเอ็ดขึ้นอีกครั้ง "แกต้องคิดว่า..."
"โธ่...คุณแม่ก็...นิ่งๆเถอะฮะ" บุตรชายยักไหล่ทำเสียงรำคาญหน่อยๆ "ผมกำลังจะทำความตกลงกับพี่นนท์ ขืนคุณแม่ตุกติกไปเดี๋ยวความลับก็แตกหมด"
"ตานนท์" คุณลีลาวดีเบนสายตามาที่ชายหนุ่มที่นิ่งเงียบอยู่ตรงหน้า "เธออย่าตามใจตาสุทธิ์เชียวนะ ดูเข้าเถอะแกคอยแต่จะตามใจตาสุทธิ์มาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ผลมันเป็นยังไงดูเอาเถอะ"
ชานนท์ยิ้มนิดๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในความรู้สึกเขานั้น ชานนท์เคารพคุณลีลาวดีดุจมารดาบังเกิดเกล้าของเขาเอง เช่นเดียวกับที่เขารักสุทธิ์นันท์ดุจน้องชายร่วมสายโลหิต ความรักและความปราถนาดีที่เขาได้รับจากครอบครัวตระกูล ชญากร ซึ่งรวมทั้ง ชญามินธิ์ น้องสาวคนเดียวของสุทธิ์นันท์ ทำให้เขาพร้อมที่จะแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อทุกคนด้วยใจอันบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าในบางสิ่งบางอย่าง มันจะเป็นสิ่งที่ขัดจิตขัดใจของเขาบ้างก็ตาม
"แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะฮะคุณแม่ ถึงยังไงผมก็ไม่มีวันไปบ้านเกียรติยานนท์แน่ๆ" สุทธิ์นันท์ทำเสียงขึงขังอย่างดื้อรั้น "ใครจะทนได้ที่จะต้องแต่งงานกับกะเทย ที่ไม่รู้ว่าแปลงเพศด้วยหรือยัง ผมนี่ร้องไห้เยอะมากฮะ"
"พี่สุทธิ์ แฟนโทรมาแน่ะ" เสียงแจ๋วๆดังขึ้นครั้นแล้วสาวร่างสมส่วนของชญามินธิ์น้องสาวคนเดียวของสุทธิ์นันท์ก็ถลาเข้ามายังที่นั้นด้วยท่าทีอันร่าเริงแจ่มใสของสาววัยแรกรุ่น "เสียงว๊านนนนนนหวานค่ะพี่สุทธิ์ น่ากลัวจะเป็นคุณกาญน์กนกที่พี่สุทธิ์กำลังคลั่งเขาอยู่นั่นแหละ"
สุทธิ์นันท์ผลุนผลันลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่จะพาตัวเองออกไปที่โทรศัพท์มือถือ ที่ตนเองลืมวางไว้ที่ห้องรับแขกภายในตัวบ้านนั้น เขาก็อดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็นน้องสาวไม่ได้
"ใครว่าพี่คลั่ง พี่นี่หลงมากเลยล่ะ...แล้วโทรศัพท์พี่น่ะเดินผ่านมาไปหยิบให้หน่อยก็ไม่ได้นะ!"
ชญามินธิ์หัวเราะ
"อ้าว...ก็ตัวเองให้ไปเอาไอโฟนหกสีทอง ทองแท้ซะด้วย ถ้าหากมินธิ์ทำหล่นเดี๋ยวมีหวังโดนหักค่าขนมแน่เลย อีกอย่างใครจะไปกล้ารับโทรศัพท์ตัวเองล่ะ"
"แนะยายมินธิ์ แกพูดว่าไม่ได้รับแล้วรู้ได้ไงว่าใครโทรมา อ้อ แกอยากได้ไอโฟนหกแบบพี่ก็บอกมาเถอะ...เอามั๊ยล่ะเดี๋ยวพี่ซื้อให้ แต่ต้องสอบให้ได้เกรดสี่ทุกวิชานะแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดังที่สุดของเมืองไทยให้ได้ แล้วพี่จะซื้อให้"
"แหม...พี่สุทธิ์ พี่พูดเหมือนมันแพงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงมากอย่างนั้นแหละ...โธ่ถ้ามินธิ์ทำได้อย่างที่พี่บอก มินธิ์ขอสิบเครื่องเลยนะคะจะไปแจกเพื่อนๆฉลองวันสอบเข้าได้ ฮ่าๆๆๆ" ชญมินธิ์หัวเราะอย่างน่าเอ็นดู ในบางครั้งชญามินธิ์จะพูดจาต่อล้อต่อเถียงไปบ้าง แต่ก็เพียงในครอบครัวเท่านั้น เพราะชีวิตภายนอกนั้นชญามินธิ์จัดได้ว่าเป็นเด็กนิสัยดีและเรียบร้อยมากคนหนึ่ง
ชญามินธิ์จับพนักเก้าอี้ในท่าก้มๆตัวไม่ยอมนั่ง พลางเบือนหน้ามายังผู้เปรียบเสมือนพี่ชาย "คุณแม่โกรธอะไรพี่สุทธ็หรือคะพี่นนท์?"
"เรื่องของผู้ใหญ่น่ามินธิ์อย่ารู้เลย" ชานนท์ตอบ ซึ่งชญามินธิ์ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยใคร่รู้แต่อย่างใด หล่อนหันมาทางมารดาอีกครั้ง และทำเสียงอ่อนหวานอย่างประจบ
สวรรค์บาป (ตัวเดินเรื่องเป็นสาวประเภทสอง) ตอนที่ 1
บทประพันธ์ ชลิตา
"พี่นนท์"
เสียงเรียกเบาๆดังมาจากระเบียง ทำให้ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษผู้กำลังเดินผ่านห้องโถง ต้องหยุดชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง และแทนที่เขาจะเดินพาตัวเองขึ้นไปชั้นบนตามความตั้งใจเดิม เขากลับก้าวเลยออกมาสู่ระเบียงด้านของของตัวตึก ซึ่ง ณ ที่นั้น สุทธิ์นันท์ ชญากร กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยท่วงทีตามสบาย และด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดหน่อยๆอย่างมีเรื่องกังวลใจ
"ผมรอพี่นนท์ตั้งเกือบชั่วโมงแล้วครับ ถ้ารู้ว่าวันนี้พี่นนท์กลับมาจากโรงพยาบาลช้า ผมจะโทรไปนัดพี่นนท์ก่อนก็ดี"
สีหน้าแสดงอาการเคร่งเครียดของสุทธิ์นันท์ เปลี่ยนเป็นสดชื่นขึ้นเมื่อกล่าวปรารภต่อไปดังๆ ชานนท์ยิ้ม เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามน้องชายพลางถามว่า
"มีธุระอะไรกับพี่หรือตาสุทธิ์?"
"พี่นนท์ช่างรู้ใจผมดีจริง" สุทธิ์นันท์ว่าพลางหัวเราะเจื่อนๆ
"เรื่องง่ายๆน่ะสุทธิ์ เพราะถ้าสุทธิ์ไม่มีธุระอะไรกับพี่ล่ะก็ บางทีเดือนทั้งเดือนเรายังไม่ได้เจอหน้ากันเลย ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกันจริงไหม?"
"จริงฮะพี่นนท์" สุทธิ์นันท์รับเสียงอ่อนๆ "เอ้อ วันนี้ผมมีธุระกับพี่อีกตามเคยล่ะฮะ อ้อ...ทานของว่างเสียก่อนเถอะครับพี่นนท์ ผมน่ะทานเรียบร้อยแล้วล่ะ" สุทธิ์นันท์เปลี่ยนเรื่องในตอนท้ายเมื่อเด็กรับใช้นำถาดอาหารว่าง พร้อมด้วยน้ำส้มคั้นเย็นเฉียบมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของ ชานนท์ ธนายุทธิ์
พูดพลาง สุทธินันท์ก็หลับตาลงเอื้อมมือไปเปิดเพลงจากเครื่องเล่นซีดี เขาเปิดเพลงสากลที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนั้น เขาเปิดฟังเบาๆ อย่างสบายใจขึ้น
ในระหว่างที่ชานนท์จัดการกับอาหารว่างอย่างเงียบๆ
ความจริงบุรุษหนุ่มทั้งสองไม่ใช่พี่น้องกัน แต่เขาทั้งสองก็มีความสัมพันธ์และถูกอบรมเลี้ยงดูมาด้วยกันดุจพี่น้องคลานตามกันมา จากนาย ศักดิ์ชัย ชญากร ผู้เป็นบิดาแท้ๆของสุทธิ์นันท์
เหตุผลที่ชานนท์ต้องอยู่ในความดูแลของบิดาสุทธิ์นันท์เนื่องจากเขาเป็นกำพร้าบิดามารดา...บิดาและมารดาของชานนท์เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ขณะเดินทางไปดูงานทางการค้าที่ประเทศฝรั่งเศส บิดาและมารดาของเขาได้ฝากเขาไว้กับนายศักดิ์ชัย ผู้เป็นเพื่อนรัก ครั้นต่อมาบิดาและมารดาของเขาเสียชีวิต เขาจึงต้องเลี้ยงดูชานนท์เหมือนลูกแท้ๆโดยที่ไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย
จวบจนกระทั่งเขาเติบโตเป็นชายหนุ่มใหญ่ในปัจจุบันนี้...ชานนท์มีความเป็นอยู่ตลอดจนการศึกษาที่เท่าเทียมกับสุทธิ์นันท์ผู้เป็นบุตรโดยแท้อย่างเท่าเทียมเสมอมา...และมีความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าสติปัญญาและความประพฤติของชานนท์ เหนือกว่าสุทธิ์นันท์มาก ถึงแม้จะมีวัยที่แก่กว่าสุทธิ์นันท์ถึงห้าปีก็ตาม
"วันนี้ทนายความของคุณพ่อมากวนใจผมอีกแล้วพี่นนท์"
สุทธิ์นันท์เริ่มเรื่อง ในภายหลังที่ชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆของเขารับประทานอาหารว่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และโดยที่ไม่รอให้ชานนท์ซักไซ้ไล่เรียงต่อไป สุทธิ์นันท์ก็รีบกล่าวต่อไปอย่างรวดเร็ว
"ทนายประยุทธิ์มาเร่งรัดให้ผมไปที่บ้านเกียรติยานนท์ ตามคำเชิญของคุณนายตรีรัตน์ เฮ้อผมนี่กลุ้มใจจริงๆฮะ ไม่รู้พ่อจะทำพินัยกรรมบ้าๆนี้ขึ้นมาทำไม ถ้าเรื่องที่ให้ผมไปแต่งงานหลอกๆกับสาวบ้านนอก นี่ก็พอจะทำใจฮะ แต่นี่ผมจะต้องไปแต่งงานกับกะเทย...ผมทำใจไม่ได้จริงๆ"
ผู้แก่วัยกว่าฟังอยู่นิ่ง สุทธิ์นันท์ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ กล่าวอย่างร้อนรนกระวายใจต่อไป
"จริงๆนะฮะพี่นนท์ ให้ผมตายซะดีกว่าที่จะต้องมาแต่งงานกับกะเทยอย่างชลิตาอะไรนั่น พี่นนท์ช่วยผมคิดหน่อยซีฮะว่าจะทำอย่างไรดี ผมจึงจะไม่ต้องแต่งงานกับกะเทย ผมนี่ขนลุกไปหมดแล้วครับ"
"ทำไมเธอไม่ไปปรึกษาคุณแม่ดูล่ะ" ชานนท์ย้อนถาม
"คุณแม่น่ะหรือฮะ" สุทธิ์นันท์ยักไหล่อย่างระอา "คุณแม่ก็ดีแต่เดินตามรอยคุณพ่อ ท่านช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก ยิ่งถ้าผมไม่แต่งงานนะฮะ แม่ขู่ไว้ว่าจะไม่ได้สมบัติของพ่อเลยแม่แต่บาทเดียว พ่อตายไปแล้วผมนึกว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่ท่านก็ทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้ผม แม่ว่าถึงอย่างไรชลิตาก็เป็นลูกคนเดียวของเศรษฐีนีของจังหวัดชุมพร ลองแต่งงานไปก็ไม่เสียหาย แต่ผมนี่คิดว่าโคตรเสียหายเลยฮะ"
สุทธิ์นันท์กล่าวอย่างอดไม่ได้ที่จะต่อว่าบิดาที่เสียชีวิตของตนเอง นายศักดิ์ชัย เจ้าสัวใหญ่เจ้าของเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งได้เสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา
ชานนท์นิ่งไปอีกครั้ง และอันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สุทธิ์นันท์ผู้เป็นน้องชายได้มาปรึกษาปัญหานี้กับเขา ชานนท์ได้ทราบมานานแล้วว่าคุณนายตรีรัตน์เป็นอดีตภรรยาเก่าของบิดา และท่านผู้นี้ก็เป็นผู้ช่วยให้บิดาบุญธรรมของเขาได้มีโรงงานและเป็นผู้มั่งคั่งในปัจจุบัน และดังนั้นทั้งสองจึงได้ทำสัญญาขึ้นมาร่วมกันว่าให้บุตรของแต่ละฝ่ายมาแต่งงานกันในอนาคต
แต่ไม่รู้ว่าเวรหรือกรรม...ทั้งสองฝ่ายมีลูกชายด้วยกันทั้งคู่ และเวรกรรมคูณสองขึ้นไปอีก เมื่อต่างฝ่ายไม่ได้รับรู้เรื่องราวของกันและกัน ดังนั้นในพินัยกรรมจึงยังระบุให้ทั้งสองจะต้องแต่งงานกัน โดยที่เรื่องราวที่ว่าต่างฝ่ายต่างมีบุตรชายนั้นไม่มีฝ่ายใดได้รับรู้ จนถึงวันที่เปิดพินัยกรรม...
อย่างไรก็ดีการหมั้นหมายที่จะให้ ชลิตา เกียรติยานนท์ ลูกสาวหรือลูกชายในอดีตจะต้องได้แต่งงานกับสุทธิ์นันท์ยังคงเป็นไปตามเดิม
ชานนท์เขาก็ได้รู้เรื่องราวนี้มาบ้างจากปากมารดาบุญธรรมของเขา ว่าท่านก็ไม่ได้อยากจะให้ลูกชายคนเดียวของท่านจะต้องไปแต่งงานกับสาวประเภทสอง และท่านเคยโทรไปสอบถามเรื่องราวนี้กับคุณนายตรีรัตน์ว่าหากไม่มีปัญหาอะไรนั้น อยากให้ยกเลิกสัญญาฉบับนี้ซะ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่
แต่ทางคุณนายตรีรัตน์ไม่ยอม ท่านกล่าวว่าในอดีตสัญญาได้ทำเอาไว้และไม่ได้ระบุว่าห้ามแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน และท่านก็บอกว่าความจริงการจะแต่งงานกันไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทางฝ่ายเรามีแต่ได้กับได้...ด้วยเหตุนี้มารดาบุญธรรมของเขาจึงไม่อาจจะขัดขวางอะไรได้
"ทนายประยุทธิ์บอกว่า คุณนายตรีรัตน์โทรมาเร่งหลายครั้งแล้วฮะพี่นนท์" หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะสุทธิ์นันท์ก็เอ่ยขึ้น "เห็นทนายยุทธิ์บอกว่านอกจากคุณนายตรีรัตน์อยากจะเจอผมแล้ว ก็ยังจะได้ปรึกษาเรื่องการหมั้นและแต่งงานอีก คุณนายต้องการที่จะให้ผมกับชลิตาไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เมืองนอกด้วย โอ....ผมนี่ไม่อยากไปเลยครับพี่...ผมอยากจะตายเสียให้ได้ และผมก็รักแค่กาญน์กนกคนเดียว และการจะต้องมีเมียเป็นกะเทยนั้นมันเป็นสิ่งที่น่าอับอายอย่างมาก พี่นนท์ฮะ พี่ต้องหาทางช่วยผมด้วย เพราะผมไม่มีวันจะไปบ้านเกียรติยานนท์ และไม่มีวันจะแต่งงานกับไอ้กะเทยนั้นเป็นอันขาด"
เสียงฝีเท้าเบาๆของใครคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา ซึ่งในวินาทีต่อมาก็ปรากฎว่าเป็นคุณนายลีลาวดีผู้เป้นมารดาของสองชายหนุ่ม ซึ่งได้เข้ามาสมทบ ณ ที่นั้นอีกคนหนึ่ง
"อ้อ อยู่ที่นี่ นี่เองสองหนุ่ม ตาสุทธิ์กำลังกวนใจแกเรื่องอะไรอีกล่ะ ตานนท์? เรื่องหนูตาใช่มั๊ย" คุณลีลาวดีถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี พลางทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
"ฮะคุณแม่" สุทธิ์นันท์รับพลางถอนใจเฮือกใหญ่ "ผมกำลังอ้อนวอนพี่นนท์ให้หาหนทางช่วยผมอยู่ครับ ในการหลีกเลี่ยงที่จะแต่งงานกับกะเทย"
"โธ่เอ้ย...แกนี่วุ่นวายจริงๆนะตาสุทธิ์" คุณลีลาวดีบ่นบุตรชายด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก "พ่อนนท์เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหนูตาสักหน่อย ทำไมแกต้องไปกวนใจพี่เขาด้วย"
"โถ...คุณแม่ก็...." สุทธิ์นันท์แกล้งลากเสียงอุทานตามมารดาบ้าง "คุณแม่อยากมีสะใภ้เป็นกะเทยหรือยังไงฮะ คุณแม่ไม่อยากมีหลานหรอกหรือฮะ"
"แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในพินัยกรรมของพ่อแก และถ้าแกไม่ทำตาม มรดกทั้งหมดรวมทั้งโรงงานจะตกเป็นของคุณนายนั่น แกจะยอมเหรอ?"
"ผมไม่เคยคิดเลยว่าคุณพ่อจะทิ้งปัญหาไว้หลังจากการตาย ความจริงคุณพ่อไม่น่าตายเลยนะฮะน่าจะอยู่นานๆจนกะเทยชลิตาอะไรนั่นตายๆไปก่อน แต่โอ...ผมนึกออกแล้วว่าผมจะทำยังไงดีกับเรื่องนี้" ตอนท้ายชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี นัยน์ตาวาวโรจน์ขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความหวัง
"สุทธิ์จะทำอย่างไร?" ชานนท์ซึ่งเป็นบุคคลที่พูดน้อยที่สุดในวงสนทนาเอ่ยถามเสียงเรียบ สุทธิ์นันท์ดีดนิ้วเปาะอย่างร่าเริง และตอบทันทีว่า
"พี่นนท์ปลอมตัวเป็นผมเสียก็สิ้นเรื่อง คือผมหมายความว่าให้พี่นนท์ไปที่บ้านเกียรติยานนท์แทนผม แต่ไปในนาม สุทธิ์นันท์ ชญากร อย่างไรเล่าฮะ"
"ตาสุทธิ์!!" คุณลีลาวดี และผู้เปรียบเสมือนมารดาแท้ๆของชานนท์อุทานออกมาอย่างตกใจ
"คุณแม่กับพี่นนท์ล่ะก็ทำเป็นตกใจไปได้"
"ตาสุทธิ์!" คุณลีลาวดีเรียกชื่อบุตรชายอีกครั้งแต่คราวนี้หล่อนกล่าวด้วยเสียงสำเนียงตกใจ "นี่แกแนะอะไรพิเรนๆอย่างนี้ล่ะ ถ้าขืนทำไปจริงๆแล้วคุณนายตรีรัตน์เขารู้ทีหลังจะมาถอนหงอกฉันได้ รู้ไว้บ้างซีตาสุทธิ์"
"ถึงรู้ที่หลังจะเป็นไรฮะ ลูกแกได้แต่งงานกับพี่นนท์นับว่าโชคดีด้วยซ้ำไปซิครับคุณแม่ พี่นนท์ทั้งรูปหล่อหน้าตาดี เรียบร้อยอีกต่างหาก เสียตรงไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคุณตรีรัตน์เท่านั้นแหละ" สุทธิ์นันท์พูดครึ่งเล่นครึ่งจริง
"ฉันไม่ยอมให้แกทำตามใจแกหรอกนะตาสุทธิ์" คุณลีลาวดีเอ็ดขึ้นอีกครั้ง "แกต้องคิดว่า..."
"โธ่...คุณแม่ก็...นิ่งๆเถอะฮะ" บุตรชายยักไหล่ทำเสียงรำคาญหน่อยๆ "ผมกำลังจะทำความตกลงกับพี่นนท์ ขืนคุณแม่ตุกติกไปเดี๋ยวความลับก็แตกหมด"
"ตานนท์" คุณลีลาวดีเบนสายตามาที่ชายหนุ่มที่นิ่งเงียบอยู่ตรงหน้า "เธออย่าตามใจตาสุทธิ์เชียวนะ ดูเข้าเถอะแกคอยแต่จะตามใจตาสุทธิ์มาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ผลมันเป็นยังไงดูเอาเถอะ"
ชานนท์ยิ้มนิดๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในความรู้สึกเขานั้น ชานนท์เคารพคุณลีลาวดีดุจมารดาบังเกิดเกล้าของเขาเอง เช่นเดียวกับที่เขารักสุทธิ์นันท์ดุจน้องชายร่วมสายโลหิต ความรักและความปราถนาดีที่เขาได้รับจากครอบครัวตระกูล ชญากร ซึ่งรวมทั้ง ชญามินธิ์ น้องสาวคนเดียวของสุทธิ์นันท์ ทำให้เขาพร้อมที่จะแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อทุกคนด้วยใจอันบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าในบางสิ่งบางอย่าง มันจะเป็นสิ่งที่ขัดจิตขัดใจของเขาบ้างก็ตาม
"แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะฮะคุณแม่ ถึงยังไงผมก็ไม่มีวันไปบ้านเกียรติยานนท์แน่ๆ" สุทธิ์นันท์ทำเสียงขึงขังอย่างดื้อรั้น "ใครจะทนได้ที่จะต้องแต่งงานกับกะเทย ที่ไม่รู้ว่าแปลงเพศด้วยหรือยัง ผมนี่ร้องไห้เยอะมากฮะ"
"พี่สุทธิ์ แฟนโทรมาแน่ะ" เสียงแจ๋วๆดังขึ้นครั้นแล้วสาวร่างสมส่วนของชญามินธิ์น้องสาวคนเดียวของสุทธิ์นันท์ก็ถลาเข้ามายังที่นั้นด้วยท่าทีอันร่าเริงแจ่มใสของสาววัยแรกรุ่น "เสียงว๊านนนนนนหวานค่ะพี่สุทธิ์ น่ากลัวจะเป็นคุณกาญน์กนกที่พี่สุทธิ์กำลังคลั่งเขาอยู่นั่นแหละ"
สุทธิ์นันท์ผลุนผลันลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่จะพาตัวเองออกไปที่โทรศัพท์มือถือ ที่ตนเองลืมวางไว้ที่ห้องรับแขกภายในตัวบ้านนั้น เขาก็อดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็นน้องสาวไม่ได้
"ใครว่าพี่คลั่ง พี่นี่หลงมากเลยล่ะ...แล้วโทรศัพท์พี่น่ะเดินผ่านมาไปหยิบให้หน่อยก็ไม่ได้นะ!"
ชญามินธิ์หัวเราะ
"อ้าว...ก็ตัวเองให้ไปเอาไอโฟนหกสีทอง ทองแท้ซะด้วย ถ้าหากมินธิ์ทำหล่นเดี๋ยวมีหวังโดนหักค่าขนมแน่เลย อีกอย่างใครจะไปกล้ารับโทรศัพท์ตัวเองล่ะ"
"แนะยายมินธิ์ แกพูดว่าไม่ได้รับแล้วรู้ได้ไงว่าใครโทรมา อ้อ แกอยากได้ไอโฟนหกแบบพี่ก็บอกมาเถอะ...เอามั๊ยล่ะเดี๋ยวพี่ซื้อให้ แต่ต้องสอบให้ได้เกรดสี่ทุกวิชานะแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดังที่สุดของเมืองไทยให้ได้ แล้วพี่จะซื้อให้"
"แหม...พี่สุทธิ์ พี่พูดเหมือนมันแพงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงมากอย่างนั้นแหละ...โธ่ถ้ามินธิ์ทำได้อย่างที่พี่บอก มินธิ์ขอสิบเครื่องเลยนะคะจะไปแจกเพื่อนๆฉลองวันสอบเข้าได้ ฮ่าๆๆๆ" ชญมินธิ์หัวเราะอย่างน่าเอ็นดู ในบางครั้งชญามินธิ์จะพูดจาต่อล้อต่อเถียงไปบ้าง แต่ก็เพียงในครอบครัวเท่านั้น เพราะชีวิตภายนอกนั้นชญามินธิ์จัดได้ว่าเป็นเด็กนิสัยดีและเรียบร้อยมากคนหนึ่ง
ชญามินธิ์จับพนักเก้าอี้ในท่าก้มๆตัวไม่ยอมนั่ง พลางเบือนหน้ามายังผู้เปรียบเสมือนพี่ชาย "คุณแม่โกรธอะไรพี่สุทธ็หรือคะพี่นนท์?"
"เรื่องของผู้ใหญ่น่ามินธิ์อย่ารู้เลย" ชานนท์ตอบ ซึ่งชญามินธิ์ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยใคร่รู้แต่อย่างใด หล่อนหันมาทางมารดาอีกครั้ง และทำเสียงอ่อนหวานอย่างประจบ