Markus Persson หรือที่วงการรู้จักกันในชื่อ "
Notch" ผู้สร้างเกม Minecraft และหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท Mojang ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกกับนิตยสาร Forbes ว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจ
ขายบริษัท Mojang ให้ไมโครซอฟท์เมื่อปีที่แล้ว
เริ่มจากประวัติของ Persson และตำนานการสร้าง Minecraft ก่อนครับ
• Persson เป็นคนสวีเดนที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่หย่ากัน พ่อติดเหล้า น้องสาวหนีออกจากบ้าน ทำให้เขากลายเป็นคนเก็บตัว และใช้เวลากับคอมพิวเตอร์แทน เขาเรียนมัธยมไม่จบ แต่แม่แนะนำให้เรียนเขียนโปรแกรมผ่านเน็ต ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
• เขาได้ทำงานที่บริษัทเกม Midasplayer (ชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการของ King.com) เลยได้รู้จักกับ Jakob Porsér ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Mojang ในอนาคต ทั้งสองร่วมกันพัฒนาเกมของตัวเอง แต่หัวหน้าไม่พอใจที่ทั้งสองทำเกมเองควบคู่ไปกับการทำงาน ทำให้ Persson ลาออกในปี 2009 โดยมาอยู่กับบริษัท Jalbum เว็บไซต์แชร์ภาพถ่ายออนไลน์ ระหว่างนั้นเขาปล่อยโค้ด Minecraft เวอร์ชันแรก เกมได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
• พอถึงปี 2010 Persson และ Porsér ลาออกจากงานประจำ เท่านั้นยังไม่พอ เขาชวนเจ้านาย Carl Manneh ซีอีโอของ Jalbum มาช่วยดูแลธุรกิจให้ (3 คนนี้ถือเป็นผู้ก่อตั้ง Mojang) ชื่อ Mojang มาจากภาษาสวีเดนที่แปลว่า gadget
บทบาทของ Notch กับ Minecraft
• ธุรกิจของ Minecraft ไปได้ดีมาก ทั้งการขายเกมโดยตรง และขายสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ความสำเร็จของ Minecraft มีนักลงทุนสนใจร่วมทุนด้วยมากมาย (Manneh บอกว่าเขาคุยกับบริษัทลงทุนมากกว่า 100 ราย รวมถึง Sean Parker ผู้ก่อตั้ง Napster) แต่สุดท้าย Mojang ไม่รับเงินจากที่ไหนเลยเพราะไม่ต้องการเงิน
• Notch มีตัวตนอยู่ในโลกออนไลน์ทั้งบล็อก เว็บบอร์ด ทวิตเตอร์ เขามีส่วนร่วมกับชุมชน Minecraft อย่างมาก โดยตอบคำถามแฟนๆ ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคำถามทางเทคนิคเกี่ยวกับตัวเกม กระบวนการพัฒนา ไปจนถึงปรัชญาชีวิต ในปี 2011 เขาเลิกยุ่งกับการพัฒนาเกม และหันมาทำงานด้านชุมชนเพียงอย่างเดียว และพยายามหาไอเดียสร้างเกมใหม่
• รูปแบบการตอบคำถามของ Notch ที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา (ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์ EA หรือการที่ Oculus ยอมขายให้ Facebook) ทำให้เขากลายเป็นคนดังของวงการ อย่างไรก็ตาม บทบาทของ Notch ในฐานะ "ศาสดา" ที่ทุกคนเรียกหา กลับสร้างความกดดันให้กับ Persson ที่เป็นคนเก็บตัว ไม่ให้สัมภาษณ์มากนัก นอกจากนี้เขายังมีปัญหาชีวิตคือพ่อฆ่าตัวตาย และหย่ากับภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันได้ปีเดียว
เบื้องหลังการขาย Mojang
• ความกดดันเหล่านี้ทำให้ Notch เริ่มหา "ทางลง" ให้ตัวเอง ในเดือนมิถุนายน 2014 ผู้เล่น Minecraft ประท้วงนโยบายใหม่ของบริษัทที่ห้ามผู้เล่นขายไอเทมที่สร้างขึ้นภายในเกม ทำให้ Notch เซ็งและทวีตบ่นออกไปว่า
Anyone want to buy my share of Mojang so I can move on with my life? Getting hate for trying to do the right thing is not my gig.
• Manneh บอกว่าเขาอยู่ที่บ้านและเห็นข้อความนี้ หลังจากนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นทันที คนที่โทรมาคือผู้บริหารของไมโครซอฟท์ที่ประสานงานกับ Mojang ถามว่า Notch พูดจริงหรือพูดเล่น ซึ่ง Manneh ก็บอกว่าขอเขาถาม Notch ก่อน
• สัปดาห์นั้น Manneh ได้รับการติดต่อมากมายจากทั้ง Microsoft, EA, Activision Blizzard โดยทีมผู้ก่อตั้งมีกระบวนการคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามาซื้อ คัดกรองบริษัทที่ "สร้างเกมด้วยวิธีที่เราไม่ชอบ" ออกไป ซึ่งไมโครซอฟท์ผ่านกระบวนการคัดเลือก
• Manneh เป็นผู้เจรจาหลัก โดยยื่นเงื่อนไขว่าทีมผู้ก่อตั้งจะลาออกจาก Mojang ทันที และห้ามไมโครซอฟท์ปลดพนักงานของ Mojang แบบเดียวกับที่ทำกับโนเกีย (Mojang มีพนักงานแค่ 47 คน) ส่วนตัวแทนฝั่งไมโครซอฟท์คือ Phil Spencer ผู้บริหารสูงสุดของ Xbox
• การเจรจาจบด้วยมูลค่าการขายกิจการ 2.5 พันล้านดอลลาร์ Persson เล่าว่าเขาคิดว่าจะโดนด่าเยอะจนต้องปิดบัญชีทวิตเตอร์หนี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือแฟนๆ
อ่านคำอธิบายของเขาแล้วเข้าใจความต้องการของเขามากกว่าที่คิด
• พนักงานของ Mojang กลับเป็นฝ่ายที่ผิดหวังในตัวผู้ก่อตั้งที่ขายบริษัทโดยไม่บอกกล่าว พนักงานบางคนทำตัวเหินห่างกับ Persson ไปเลย
ก้าวต่อไปของ Notch
• Persson กับ Porsér เปิดบริษัทใหม่ชื่อ Rubberbrain แต่ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันมากนัก ตอนนี้ Persson อยู่ในช่วงใช้ชีวิตจากเงินที่ได้มา เข้าไนท์คลับราคาแพง ซื้อบ้านราคาแพง เล่นโซเชียลไปเรื่อยๆ (เขาบอกว่าเป็นการชดเชยช่วงวัยรุ่นที่ไม่ได้ทำอย่างอื่นนอกจากเขียนโปรแกรม) เมื่อเกิดไอเดียสร้างเกมใหม่ก็ทดลองมาทำกันดู แต่ไม่นานก็กลับไปนั่งเล่นเกมเหมือนเดิม
• เขายอมรับว่ายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก แต่ก็ยืนยันว่าการขาย Minecraft ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
• Persson บอกว่าถ้าชีวิตนี้เขาสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ฮิตอย่าง Minecraft ได้เพียงครั้งเดียว แล้วไม่สามารถทำอย่างอื่นที่ได้รับความนิยมแบบเดียวกันได้อีก เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ตอนนี้รวยแล้วและไม่ต้องแบกภาระของการเป็นผู้นำโลกเสมือนอีกแล้ว
ที่มา -
Forbes ผ่าน
Blognone
Notch ผู้สร้างเกม Minecraft เปิดใจ อะไรคือเหตุผล ที่ต้องขายบริษัท Mojang ให้ Microsoft
Markus Persson หรือที่วงการรู้จักกันในชื่อ "Notch" ผู้สร้างเกม Minecraft และหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท Mojang ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกกับนิตยสาร Forbes ว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจขายบริษัท Mojang ให้ไมโครซอฟท์เมื่อปีที่แล้ว
เริ่มจากประวัติของ Persson และตำนานการสร้าง Minecraft ก่อนครับ
• Persson เป็นคนสวีเดนที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่หย่ากัน พ่อติดเหล้า น้องสาวหนีออกจากบ้าน ทำให้เขากลายเป็นคนเก็บตัว และใช้เวลากับคอมพิวเตอร์แทน เขาเรียนมัธยมไม่จบ แต่แม่แนะนำให้เรียนเขียนโปรแกรมผ่านเน็ต ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
• เขาได้ทำงานที่บริษัทเกม Midasplayer (ชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการของ King.com) เลยได้รู้จักกับ Jakob Porsér ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Mojang ในอนาคต ทั้งสองร่วมกันพัฒนาเกมของตัวเอง แต่หัวหน้าไม่พอใจที่ทั้งสองทำเกมเองควบคู่ไปกับการทำงาน ทำให้ Persson ลาออกในปี 2009 โดยมาอยู่กับบริษัท Jalbum เว็บไซต์แชร์ภาพถ่ายออนไลน์ ระหว่างนั้นเขาปล่อยโค้ด Minecraft เวอร์ชันแรก เกมได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
• พอถึงปี 2010 Persson และ Porsér ลาออกจากงานประจำ เท่านั้นยังไม่พอ เขาชวนเจ้านาย Carl Manneh ซีอีโอของ Jalbum มาช่วยดูแลธุรกิจให้ (3 คนนี้ถือเป็นผู้ก่อตั้ง Mojang) ชื่อ Mojang มาจากภาษาสวีเดนที่แปลว่า gadget
บทบาทของ Notch กับ Minecraft
• ธุรกิจของ Minecraft ไปได้ดีมาก ทั้งการขายเกมโดยตรง และขายสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ความสำเร็จของ Minecraft มีนักลงทุนสนใจร่วมทุนด้วยมากมาย (Manneh บอกว่าเขาคุยกับบริษัทลงทุนมากกว่า 100 ราย รวมถึง Sean Parker ผู้ก่อตั้ง Napster) แต่สุดท้าย Mojang ไม่รับเงินจากที่ไหนเลยเพราะไม่ต้องการเงิน
• Notch มีตัวตนอยู่ในโลกออนไลน์ทั้งบล็อก เว็บบอร์ด ทวิตเตอร์ เขามีส่วนร่วมกับชุมชน Minecraft อย่างมาก โดยตอบคำถามแฟนๆ ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคำถามทางเทคนิคเกี่ยวกับตัวเกม กระบวนการพัฒนา ไปจนถึงปรัชญาชีวิต ในปี 2011 เขาเลิกยุ่งกับการพัฒนาเกม และหันมาทำงานด้านชุมชนเพียงอย่างเดียว และพยายามหาไอเดียสร้างเกมใหม่
• รูปแบบการตอบคำถามของ Notch ที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา (ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์ EA หรือการที่ Oculus ยอมขายให้ Facebook) ทำให้เขากลายเป็นคนดังของวงการ อย่างไรก็ตาม บทบาทของ Notch ในฐานะ "ศาสดา" ที่ทุกคนเรียกหา กลับสร้างความกดดันให้กับ Persson ที่เป็นคนเก็บตัว ไม่ให้สัมภาษณ์มากนัก นอกจากนี้เขายังมีปัญหาชีวิตคือพ่อฆ่าตัวตาย และหย่ากับภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันได้ปีเดียว
เบื้องหลังการขาย Mojang
• ความกดดันเหล่านี้ทำให้ Notch เริ่มหา "ทางลง" ให้ตัวเอง ในเดือนมิถุนายน 2014 ผู้เล่น Minecraft ประท้วงนโยบายใหม่ของบริษัทที่ห้ามผู้เล่นขายไอเทมที่สร้างขึ้นภายในเกม ทำให้ Notch เซ็งและทวีตบ่นออกไปว่า
• Manneh บอกว่าเขาอยู่ที่บ้านและเห็นข้อความนี้ หลังจากนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นทันที คนที่โทรมาคือผู้บริหารของไมโครซอฟท์ที่ประสานงานกับ Mojang ถามว่า Notch พูดจริงหรือพูดเล่น ซึ่ง Manneh ก็บอกว่าขอเขาถาม Notch ก่อน
• สัปดาห์นั้น Manneh ได้รับการติดต่อมากมายจากทั้ง Microsoft, EA, Activision Blizzard โดยทีมผู้ก่อตั้งมีกระบวนการคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามาซื้อ คัดกรองบริษัทที่ "สร้างเกมด้วยวิธีที่เราไม่ชอบ" ออกไป ซึ่งไมโครซอฟท์ผ่านกระบวนการคัดเลือก
• Manneh เป็นผู้เจรจาหลัก โดยยื่นเงื่อนไขว่าทีมผู้ก่อตั้งจะลาออกจาก Mojang ทันที และห้ามไมโครซอฟท์ปลดพนักงานของ Mojang แบบเดียวกับที่ทำกับโนเกีย (Mojang มีพนักงานแค่ 47 คน) ส่วนตัวแทนฝั่งไมโครซอฟท์คือ Phil Spencer ผู้บริหารสูงสุดของ Xbox
• การเจรจาจบด้วยมูลค่าการขายกิจการ 2.5 พันล้านดอลลาร์ Persson เล่าว่าเขาคิดว่าจะโดนด่าเยอะจนต้องปิดบัญชีทวิตเตอร์หนี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือแฟนๆ อ่านคำอธิบายของเขาแล้วเข้าใจความต้องการของเขามากกว่าที่คิด
• พนักงานของ Mojang กลับเป็นฝ่ายที่ผิดหวังในตัวผู้ก่อตั้งที่ขายบริษัทโดยไม่บอกกล่าว พนักงานบางคนทำตัวเหินห่างกับ Persson ไปเลย
ก้าวต่อไปของ Notch
• Persson กับ Porsér เปิดบริษัทใหม่ชื่อ Rubberbrain แต่ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันมากนัก ตอนนี้ Persson อยู่ในช่วงใช้ชีวิตจากเงินที่ได้มา เข้าไนท์คลับราคาแพง ซื้อบ้านราคาแพง เล่นโซเชียลไปเรื่อยๆ (เขาบอกว่าเป็นการชดเชยช่วงวัยรุ่นที่ไม่ได้ทำอย่างอื่นนอกจากเขียนโปรแกรม) เมื่อเกิดไอเดียสร้างเกมใหม่ก็ทดลองมาทำกันดู แต่ไม่นานก็กลับไปนั่งเล่นเกมเหมือนเดิม
• เขายอมรับว่ายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก แต่ก็ยืนยันว่าการขาย Minecraft ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
• Persson บอกว่าถ้าชีวิตนี้เขาสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ฮิตอย่าง Minecraft ได้เพียงครั้งเดียว แล้วไม่สามารถทำอย่างอื่นที่ได้รับความนิยมแบบเดียวกันได้อีก เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ตอนนี้รวยแล้วและไม่ต้องแบกภาระของการเป็นผู้นำโลกเสมือนอีกแล้ว
ที่มา - Forbes ผ่าน Blognone