นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ปรับเกณฑ์อัตราลดหย่อนการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัย ตามร่าง พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับคนชั้นกลางมากเกินไป จากเดิมที่กำหนดอัตราลดหย่อน กรณีบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี เพิ่มเป็นบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทไม่ต้องเสียภาษี ขณะเดียวกัน บ้านที่ราคา 1-3 ล้านบาทจากเดิมที่จะจัดเก็บในอัตรา 50% ของอัตราภาษีที่ 0.1% ของราคาประเมิน ก็มีจะปรับเพิ่มวงเงินเป็น 1-4 ล้านบาทเสียภาษี 50% ส่วนบ้านที่ราคาเกิน 5 ล้านบาท ยังคงจัดเก็บที่อัตราเดิมที่ 0.1%
ทั้งนี้ การเว้นภาษีให้บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และลดหย่อนภาษีบ้านราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท ที่จะจัดเก็บในอัตรา 50% ของอัตราภาษีที่ 0.1% ของราคาประเมินนั้น จะลดหย่อนเฉพาะ เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยนั้น โดยจะที่มีชื่ออยู่ในสำมะโนครัว หรือ ทะเบียนบ้าน เท่านั้นและได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพียงบ้านหลังเดียวเท่านั้น ไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้ กรณีที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 หลัง โดยบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไปจะต้องเสียภาษีเต็มอัตราที่ 0.1% ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอาจจะโอนให้ภรรยาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพื่อลดหย่อนภาษีแทน
สำหรับการเก็บภาษีที่ดิน ที่ใช้สำหรับเพาะปลูกและการเกษตรนั้น อยู่ระหว่างการสรุปแนวทางจัดเก็บภาษี เบื้องต้นคาดว่าที่ดินเกษตรไม่เกิน 15 ไร่ รวมที่อยู่อาศัย หรือมีมูลค่าไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี เหมือนกันที่เว้นภาษีให้ที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 ล้านบาท
นายสมหมาย กล่าวว่า ยืนยันว่าภาษีที่ดินไม่ใช่กฎหมายใหม่ ที่รัฐบาลจะนำมาเก็บภาษีจากประชาชน ที่ผ่านมามีการจัดเก็บภาษี ทั้งในส่วนที่เป็น ภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนและที่ดิน อยู่แล้ว โดยจัดเก็บได้ปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท แต่ภาษีที่ดินใหม่ จะทำให้รัฐจัดเก็บได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 200,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ จะสามารถนำไปใช้พัฒนา ซ่อมแซมถนน คูน้ำ สาธารณูปโภคได้มากขึ้น ทั้งในส่วนที่เป็นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นและกรุงเทพฯ
http://www.dailynews.co.th/Content/economic/306345/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+1.5+%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5
สรุปเป็นรูปให้ดูง่ายๆ จากของเดิมและอันใหม่นะครับ
รูปมาจาก
http://www.springnews.co.th/economics/193381
ถ้าลงซ้ำต้องขออภัยด้วยนะครับ
คลังเปลี่ยนใจขยับราคาบ้านเป็น 1.5 ล้านไม่เสียภาษี
ทั้งนี้ การเว้นภาษีให้บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และลดหย่อนภาษีบ้านราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท ที่จะจัดเก็บในอัตรา 50% ของอัตราภาษีที่ 0.1% ของราคาประเมินนั้น จะลดหย่อนเฉพาะ เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยนั้น โดยจะที่มีชื่ออยู่ในสำมะโนครัว หรือ ทะเบียนบ้าน เท่านั้นและได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพียงบ้านหลังเดียวเท่านั้น ไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้ กรณีที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 หลัง โดยบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไปจะต้องเสียภาษีเต็มอัตราที่ 0.1% ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอาจจะโอนให้ภรรยาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพื่อลดหย่อนภาษีแทน
สำหรับการเก็บภาษีที่ดิน ที่ใช้สำหรับเพาะปลูกและการเกษตรนั้น อยู่ระหว่างการสรุปแนวทางจัดเก็บภาษี เบื้องต้นคาดว่าที่ดินเกษตรไม่เกิน 15 ไร่ รวมที่อยู่อาศัย หรือมีมูลค่าไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี เหมือนกันที่เว้นภาษีให้ที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 ล้านบาท
นายสมหมาย กล่าวว่า ยืนยันว่าภาษีที่ดินไม่ใช่กฎหมายใหม่ ที่รัฐบาลจะนำมาเก็บภาษีจากประชาชน ที่ผ่านมามีการจัดเก็บภาษี ทั้งในส่วนที่เป็น ภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนและที่ดิน อยู่แล้ว โดยจัดเก็บได้ปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท แต่ภาษีที่ดินใหม่ จะทำให้รัฐจัดเก็บได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 200,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ จะสามารถนำไปใช้พัฒนา ซ่อมแซมถนน คูน้ำ สาธารณูปโภคได้มากขึ้น ทั้งในส่วนที่เป็นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นและกรุงเทพฯ
http://www.dailynews.co.th/Content/economic/306345/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+1.5+%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5
สรุปเป็นรูปให้ดูง่ายๆ จากของเดิมและอันใหม่นะครับ
รูปมาจาก http://www.springnews.co.th/economics/193381
ถ้าลงซ้ำต้องขออภัยด้วยนะครับ