สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
SAT ไม่ง่ายเลยนะ เลขอาจจะง่าย แต่ critical reading กับ writing ค่อนข้างยาก เพราะแม้แต่คนที่เป็นเจ้าของภาษายังลำบากเลย เพราะสองอันนี้เค้าไม่ได้เทสต์ในสิ่งที่คุณเรียนมาตอน ม.ปลาย จริงอยู่ที่ตอนเรียนมันก็มีเขียนอ่าน แต่ข้อสอบใน SAT มันต้องเป็นคนคิดเก่ง คิดได้ตรงประเด็น และรอบคอบ ซึ่งในโรงเรียนจะไม่ค่อยได้ฝึกละเอียดในเรื่องนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมเด็กถึงต้องไปกวด SAT กัน
อีกทั้งศัพท์ส่วนมากที่ใช้ใน SAT จะไม่ค่อยได้ยินในชีวิตประจำวันเลย พูดง่ายๆคือไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน ถ้านอกจากอ่านเจอจากพวก academic paper แล้ว ก็ไม่น่าจะเห็นหรือได้ใช้ศัพท์พวกนี้อีกเลย
ส่วน SAT subject tests เราเคยสอบเคมี กับเลข ก็ยังไม่ยากเท่า สองพาร์ตบน เพราะอันนี้มันเป็นเลขกับวิทย์ที่ค่อนข้างตรง ไม่ต้องใช้ความคิดมาก
เราว่า SAT มันเป็น aptitude test มากกว่า สำคัญสำหรับมหาลัยท็อปๆ เพราะนักเรียนที่สมัครล้วนได้ 4.0 หรือมากกว่า แค่นี้เค้าก็รู้แล้วว่าทุกคนเก่งในห้องเรียนพอๆกัน แต่คนไหนคิดเก่งกว่า ฉลาดกว่า ก็เอา SAT มาเป็นตัวเลือกด้วย (บางทีก็ยากเพราะนักเรียนส่วนใหญ่ที่เข้ามหาลัยพวกนี้ก็ 2100 up ทั้งนั้น) ซึ่งก็ยังมีส่วนอื่นๆอีกเยอะนอกจากคะแนนสอบที่สำคัญไม่แพ้กันเลย
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมการเข้าไอวี่ลีค ถึงยากกว่าการเข้าเบอร์หนึ่งในประเทศไทยมากๆๆๆๆๆ ก็เป็นเพราะ เค้าไม่ได้ดูแค่เกรด ไม่ได้ดูแค่คะแนนสอบ ไม่ได้ต้องการคนที่เก่งมากๆอย่างเดียว เพราะประชากรเค้าเยอะ คนที่เก่งก็มาก ฉะนั้นจึงต้องเอาด้านอื่นๆมาประกอบด้วย เช่น การทำงาน อาสาสมัคร ประสบการณ์ด้านอื่นๆ การแข่งขันในและนอกโรงเรียน กีฬา รางวัลที่ได้รับ เวลาว่างทำอะไร ชีวิตเป็นยังไง ปิดเทอมได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมรึเปล่า สิ่งเหล่านี้สามารถเขียนลงไปในเรียงความที่ส่งไปกับใบสมัคร เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวเอง สิ่งเหล่านี้เราว่ายากมากๆ ยากกว่าการได้เกรดดีๆอีก เพราะคนเหล่านี้ต้องแบ่งเวลาทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียนควบคู่กันไปด้วย นอกจากเรียนให้ดีแล้ว ยังต้องเป็นคนที่ขยันไขว่คว้าโอกาสพวกนี้ให้ตัวเอง และอดทนสูงมากๆ
ไม่เคยสอบของประเทศไทย แต่เคยถามอาจารย์ที่ไทยว่า ทำไมข้อสอบเข้า ม.ต้น ต้องสอบเนื้อหา ม.ปลาย ด้วย อย่างนี้เด็กจะไปรู้ได้ยังไง ต้องคนที่เรียนพิเศษกวดเท่านั้นถึงรู้ อาจารย์บอกว่า ก็ถ้าทำง่ายๆตรงระดับความรู้เด็ก ทุกคนก็จะทำได้ ในขณะที่โรงเรียนต้องการนักเรียนที่เก่งที่สุด
เราว่าความยากมากๆของข้อสอบไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพการเรียนการสอนหรือคุณภาพเด็กนะ คือคุณจะทำข้อสอบยากเว่อๆๆๆๆขนาดไหนก็ได้ คุณอาจได้นักเรียนที่เก่งที่สุด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเข้าไปเรียนแล้วคุณภาพการสอนก็ยังย่ำอยู่กับที่ นักเรียนยังลอกการบ้านกัน ก็อปวาง จ้างทำรายงาน ข้อสอบยากจริงแต่ถ้าด้านอื่นง่อยมันก็ไปไม่รอดนะ ต้องแก้ที่ค่านิยมการศึกษาไทยที่ผิดๆก่อนเลย
อีกทั้งศัพท์ส่วนมากที่ใช้ใน SAT จะไม่ค่อยได้ยินในชีวิตประจำวันเลย พูดง่ายๆคือไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน ถ้านอกจากอ่านเจอจากพวก academic paper แล้ว ก็ไม่น่าจะเห็นหรือได้ใช้ศัพท์พวกนี้อีกเลย
ส่วน SAT subject tests เราเคยสอบเคมี กับเลข ก็ยังไม่ยากเท่า สองพาร์ตบน เพราะอันนี้มันเป็นเลขกับวิทย์ที่ค่อนข้างตรง ไม่ต้องใช้ความคิดมาก
เราว่า SAT มันเป็น aptitude test มากกว่า สำคัญสำหรับมหาลัยท็อปๆ เพราะนักเรียนที่สมัครล้วนได้ 4.0 หรือมากกว่า แค่นี้เค้าก็รู้แล้วว่าทุกคนเก่งในห้องเรียนพอๆกัน แต่คนไหนคิดเก่งกว่า ฉลาดกว่า ก็เอา SAT มาเป็นตัวเลือกด้วย (บางทีก็ยากเพราะนักเรียนส่วนใหญ่ที่เข้ามหาลัยพวกนี้ก็ 2100 up ทั้งนั้น) ซึ่งก็ยังมีส่วนอื่นๆอีกเยอะนอกจากคะแนนสอบที่สำคัญไม่แพ้กันเลย
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมการเข้าไอวี่ลีค ถึงยากกว่าการเข้าเบอร์หนึ่งในประเทศไทยมากๆๆๆๆๆ ก็เป็นเพราะ เค้าไม่ได้ดูแค่เกรด ไม่ได้ดูแค่คะแนนสอบ ไม่ได้ต้องการคนที่เก่งมากๆอย่างเดียว เพราะประชากรเค้าเยอะ คนที่เก่งก็มาก ฉะนั้นจึงต้องเอาด้านอื่นๆมาประกอบด้วย เช่น การทำงาน อาสาสมัคร ประสบการณ์ด้านอื่นๆ การแข่งขันในและนอกโรงเรียน กีฬา รางวัลที่ได้รับ เวลาว่างทำอะไร ชีวิตเป็นยังไง ปิดเทอมได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมรึเปล่า สิ่งเหล่านี้สามารถเขียนลงไปในเรียงความที่ส่งไปกับใบสมัคร เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวเอง สิ่งเหล่านี้เราว่ายากมากๆ ยากกว่าการได้เกรดดีๆอีก เพราะคนเหล่านี้ต้องแบ่งเวลาทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียนควบคู่กันไปด้วย นอกจากเรียนให้ดีแล้ว ยังต้องเป็นคนที่ขยันไขว่คว้าโอกาสพวกนี้ให้ตัวเอง และอดทนสูงมากๆ
ไม่เคยสอบของประเทศไทย แต่เคยถามอาจารย์ที่ไทยว่า ทำไมข้อสอบเข้า ม.ต้น ต้องสอบเนื้อหา ม.ปลาย ด้วย อย่างนี้เด็กจะไปรู้ได้ยังไง ต้องคนที่เรียนพิเศษกวดเท่านั้นถึงรู้ อาจารย์บอกว่า ก็ถ้าทำง่ายๆตรงระดับความรู้เด็ก ทุกคนก็จะทำได้ ในขณะที่โรงเรียนต้องการนักเรียนที่เก่งที่สุด
เราว่าความยากมากๆของข้อสอบไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพการเรียนการสอนหรือคุณภาพเด็กนะ คือคุณจะทำข้อสอบยากเว่อๆๆๆๆขนาดไหนก็ได้ คุณอาจได้นักเรียนที่เก่งที่สุด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเข้าไปเรียนแล้วคุณภาพการสอนก็ยังย่ำอยู่กับที่ นักเรียนยังลอกการบ้านกัน ก็อปวาง จ้างทำรายงาน ข้อสอบยากจริงแต่ถ้าด้านอื่นง่อยมันก็ไปไม่รอดนะ ต้องแก้ที่ค่านิยมการศึกษาไทยที่ผิดๆก่อนเลย
แสดงความคิดเห็น
ทำไมมหาลัยท็อปของโลกที่อันดับสูงกว่ามหาลัยในไทยมากถึงใช้คะแนน SAT ในการยื่นคะ ทั้งๆที่มันง่ายกว่าข้อสอบเอนท์ของไทยซะอีก?
ตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้ว่า SAT คืออะไรค่ะ แต่เราอยากไปเรียนต่อต่างประเทศมากค่ะ อยากไปเปิดโลก ไม่อยากเรียนในประเทศ ไปทุนตัวเองนี่แหละ
และก็ดูมหาวิทยาลัยเอาไว้หลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเอเชียอย่างในฮ่องกง สิงคโปร์ หรือในยุโรป อเมริกาบางแห่ง
เราค้นพบว่ามหาลัยหลายๆ แห่งใข้คะแนน SAT สอบเข้าค่ะ และหลายๆ แห่งเป็นมหาวิทยาลัยติด Top 100 ของโลกเลยก็ว่าได้
และเพิ่งมารู้ทีหลังว่าข้อสอบ SAT คล้ายๆ เป็นข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเด็กต่างชาตินั่นเอง
พออ่านหนังสือ SAT ไปทั้ง SAT 1และ SAT II คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
ก็ได้ค้นพบว่า ทำไมมันง่ายอย่างงี้ ง่ายกว่าข้อสอบเอนท์ของไทยอีก ทั้ง Math ใน SAT I และ SAT II คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
ง่ายกว่า 7 วิขาสามัญมากๆ ข้อสอบ 7 วิชาสามัญยังยากกว่าอีก และยิ่ง Pat 1 Pat 2 อย่าเอาไปเทียบเลย มาดูข้อสอบ SAT กลายเป็นง่ายแบบขี้ๆ มาก
แต่ยกเว้นพาร์ท Critical Reading และ Writing ความยากประมาณ 7 วิชาสามัญเลยค่ะ
และสิ่งที่เราสงสัยก็คือ มหาวิทยาลัยท็อประดับโลกใช้คะแนน SAT เป็นคะแนนมาตรฐานที่ง่ายกว่าข้อสอบเอนท์ในไทยมากๆ ในการรับนักเรียนเข้าไปเรียน
แต่ทำไมมหาลัยเขาถึงติดอันดับโลกคะ และมหาวิทยาลัยของไทยที่ใข้ข้อสอบเอนท์ยากกว่าถึงอยู่อันดับที่สองร้อยกว่าๆ ห่างจากมหาวิทยาลัยท็อปพวกนั้นมาก
ถ้าเทียบกันตามจริง เด็กไทยก็ต้องเก่งกว่าแน่นอนเพราะข้อสอบเข้ายากกว่ามาก โดยเฉพาะ Pat 1 นี่นรกสุดๆ
สงสัยค่ะ
ทำไมมหาวิทยาลัยเขาถึงติดอันดับขนาดนั้นทั้งๆ ที่ข้อสอบ SAT ง่ายกว่าข้อสอบเอนท์ในไทยมากๆ ?
อยากทราบจริงๆ ขอบคุณค่ะ