การเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆโดยใช้บริการรถไฟไทย เป็นอะไรที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ มักเลือกนั่งริมหน้าต่างโบกี้ของขบวนรถไฟ แล้วปล่อยให้สายลมไหลผ่านใบหน้า ได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนบนขบวนรถ รวมทั้งที่ขึ้น-ลงตามสถานีรถไฟต่างๆรายทาง มันช่างเป็นอะไรที่ประทับใจไม่รู้ลืมในทุกครั้งที่ผมเดินทางไปท่องเที่ยวมา มีเจ้ากล้อง DSLR Like ราคาสบายกระเป๋า เก็บภาพประทับใจตลอดทุกช่วงของการเดินทาง โดยปล่อยให้ภาพที่ถ่ายได้เล่าเรื่องราวที่พบเห็นมาให้ทุกท่านได้ชมกัน ตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางจนจบสิ้นการเดินทางในแต่ละครั้ง “เน้นเที่ยวเมืองไทย ใกล้ไกลยังไงก็คุ้ม”
ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ได้มีโอกาสนั่งขบวนรถไฟฟรีมาเที่ยว จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมืองเล็กๆที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้อยากย้อนกลับมาเที่ยวอีกครั้ง ตัวเมืองห่างจากกรุงเทพฯไม่ถึง 300 กิโลเมตร ถือว่าไม่ไกลมากนัก ช่วยประหยัดทั้งค่ารถไฟ,ค่ากินและค่าที่พัก สามารถเดินทางไปและกลับกรุงเทพได้สะดวกมากๆทีเดียว มีทางเลือกมากมายให้เราได้เลือกเดินทางกัน เช่น รถไฟ,รถตู้ ,รถโดยสารบริษัทขนส่งจำกัด(บขส.)และรถทัวร์ปรับอากาศ ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการแบบไหน
แผนง่ายๆของผมก็คือ นั่งขบวนรถไฟฟรีจากสถานีรถไฟธนบุรี ประมาณเวลา 7.30 น. ถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็ราวประมาณเกือบๆบ่าย 2 โมง ที่นี้ก็ Walk -in หาที่พักซุกหัวนอนก่อนเป็นลำดับแรก แล้วเดินเท้าหารถจักรยานให้เช่า ก่อนปั่นจักรยานไปเดินขึ้นเขาช่องกระจก และปั่นจักรยานเข้าไปในกองบิน 5 พักผ่อนเก็บภาพสวยๆของชายหาดอ่าวมะนาว พอบ่ายแก่ๆค่อยปั่นจักรยานเลียบชายหาดผ่านที่พักฟ้าชมคลื่นของกองบิน 5 ไปไหว้เจ้าพ่อเขาล้อมหมวก เก็บภาพน่ารักๆของค่างแว่น แล้วปั่นจักรยานกลับมาที่พัก อาบน้ำให้สบายตัว ประมาณทุ่มกว่าๆก็ออกไปเดินเที่ยวตลาดถนนคนเดิน ซึ่งมีเฉพาะวันศุกร์และวันเสาร์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เดินไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องที่ตลาดโต้รุ่ง กลับมานอนพักผ่อนเอาแรงไว้เพื่อปีนยอดเขาล้อมหมวกในรุ่งขึ้น
เช้ามืดของวันต่อมา ราวๆประมาณตี 4 ตื่นขึ้นมาจัดการธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานออกไปหาอาหารเช้าให้อิ่มท้องกันที่ตลาดในตัวเมือง หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานต่อเข้าสู่กองบิน 5 เดินเท้าขึ้นเขาล้อมหมวกจนสุดบันได ต่อด้วยการดึงเชือกปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาล้อมหมวก ไหว้รอยพระพุทธบาทเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและถ่ายภาพวิวที่สวยงามของทั้ง 2 อ่าว คือ อ่าวประจวบคีรีขันธ์และอ่าวมะนาว สัมผัสม่านหมอกและกระแสลมเย็นๆบนยอดเขา ถือว่าเป็นการผจญภัยเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ ด้วยความสูงเสียดฟ้าขนาดนี้ แค่เอื้อมมือก็แตะขอบฟ้าได้แล้ว หายใจให้เต็มปอดทั้ง 2 ข้าง ก่อนไต่เชือกกลับลงมาสู่เบื้องล่าง ปั่นจักรยานกลับที่พักเพื่อ Check - out ให้ทันก่อนเที่ยง นั่งรถตู้ที่คิวในเมืองไปให้ทันขบวนรถไฟฟรี(หัวหิน – กรุงเทพฯ) ซึ่งจะออกจากหัวหิน เวลาประมาณบ่าย 2.10 น. เดินทางกลับกรุงเทพฯ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หัวเข่าของผม มีปัญหาเรื้อรังมายาวนานร่วม 3 ปีแล้ว ตั้งแต่พากลุ่มน้องๆ ประมาณ 7 – 8 คน ไปผจญภัยสำรวจถ้ำลึก แถวๆ จ.สระบุรี ด้วยการเดินเท้าขึ้นเขาสูงไปก่อน แล้วค่อยๆปีนป่ายมุดลงไปในถ้ำลึกอีกที ซึ่งต้องใช้กำลังขาและหัวเข่าที่ต้องเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเคยชินที่เคยเดินขึ้น-ลงถ้ำแห่งนี้หลายครั้งหลายหนเมือสิบกว่าปีที่แล้ว จนลืมนึกถึงวัยที่เพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป ทำให้มีอาการเอ็นหัวเข่าอักเสบ หลังจากกลับมาก็เริ่มมีปัญหาอาการปวดขัดหัวเข่าและปวดตึงบริเวณน่องขามาก พยายามกินยาและนวดยาเท่าไหร่ก็ไม่หายขาดสักที จนต้องเลือกใช้วิธีวิ่งเบาๆสลับกับการเดินในระยะสั้นๆ โดยยึดหลักว่า หากวิ่งไปสักระยะหนึ่งเมื่อเริ่มปวดและตึงน่อง ก็จะหยุดวิ่งแล้วเปลี่ยนสลับมาแทนด้วยการเดิน วันละ 3 รอบๆ 700 เมตร ปรากฏว่าอาการค่อยๆดี เลยอยากจะทดสอบว่า ถ้าหากต้องเดินขึ้นยอดเขาสูงอีกครั้งหนึ่ง มันจะยังไหวอยู่ไหม? ถึงจะรู้ว่ามันค่อนข้างเสี่ยงต่อการเดี้ยงหนักขึ้นไปอีก แต่คนอย่างผมไม่ค่อยจะเข็ดหลาบสักเท่าไหร่ ชอบทำอะไรที่มันเสี่ยงๆอยู่เสมอ จนกลายเป็นนิสัยถาวรไปแล้ว
เล่าความย้อนยาวไปนิด เลยเป็นที่มาของ Trip ในครั้งนี้ ไปดูครับว่า ระหว่างสังขารหัวเข่ากับความใจถึงอะไรจะแน่กว่ากัน ตามไปเที่ยวด้วยกันได้เลยครับ
[CR] ยอดเขาล้อมหมวก (กองบิน 5) “ บททดสอบสังขารของหัวเข่ากับความใจถึง ” ปี 2558
การเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆโดยใช้บริการรถไฟไทย เป็นอะไรที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ มักเลือกนั่งริมหน้าต่างโบกี้ของขบวนรถไฟ แล้วปล่อยให้สายลมไหลผ่านใบหน้า ได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนบนขบวนรถ รวมทั้งที่ขึ้น-ลงตามสถานีรถไฟต่างๆรายทาง มันช่างเป็นอะไรที่ประทับใจไม่รู้ลืมในทุกครั้งที่ผมเดินทางไปท่องเที่ยวมา มีเจ้ากล้อง DSLR Like ราคาสบายกระเป๋า เก็บภาพประทับใจตลอดทุกช่วงของการเดินทาง โดยปล่อยให้ภาพที่ถ่ายได้เล่าเรื่องราวที่พบเห็นมาให้ทุกท่านได้ชมกัน ตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางจนจบสิ้นการเดินทางในแต่ละครั้ง “เน้นเที่ยวเมืองไทย ใกล้ไกลยังไงก็คุ้ม”
ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ได้มีโอกาสนั่งขบวนรถไฟฟรีมาเที่ยว จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมืองเล็กๆที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้อยากย้อนกลับมาเที่ยวอีกครั้ง ตัวเมืองห่างจากกรุงเทพฯไม่ถึง 300 กิโลเมตร ถือว่าไม่ไกลมากนัก ช่วยประหยัดทั้งค่ารถไฟ,ค่ากินและค่าที่พัก สามารถเดินทางไปและกลับกรุงเทพได้สะดวกมากๆทีเดียว มีทางเลือกมากมายให้เราได้เลือกเดินทางกัน เช่น รถไฟ,รถตู้ ,รถโดยสารบริษัทขนส่งจำกัด(บขส.)และรถทัวร์ปรับอากาศ ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการแบบไหน
แผนง่ายๆของผมก็คือ นั่งขบวนรถไฟฟรีจากสถานีรถไฟธนบุรี ประมาณเวลา 7.30 น. ถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็ราวประมาณเกือบๆบ่าย 2 โมง ที่นี้ก็ Walk -in หาที่พักซุกหัวนอนก่อนเป็นลำดับแรก แล้วเดินเท้าหารถจักรยานให้เช่า ก่อนปั่นจักรยานไปเดินขึ้นเขาช่องกระจก และปั่นจักรยานเข้าไปในกองบิน 5 พักผ่อนเก็บภาพสวยๆของชายหาดอ่าวมะนาว พอบ่ายแก่ๆค่อยปั่นจักรยานเลียบชายหาดผ่านที่พักฟ้าชมคลื่นของกองบิน 5 ไปไหว้เจ้าพ่อเขาล้อมหมวก เก็บภาพน่ารักๆของค่างแว่น แล้วปั่นจักรยานกลับมาที่พัก อาบน้ำให้สบายตัว ประมาณทุ่มกว่าๆก็ออกไปเดินเที่ยวตลาดถนนคนเดิน ซึ่งมีเฉพาะวันศุกร์และวันเสาร์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เดินไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องที่ตลาดโต้รุ่ง กลับมานอนพักผ่อนเอาแรงไว้เพื่อปีนยอดเขาล้อมหมวกในรุ่งขึ้น
เช้ามืดของวันต่อมา ราวๆประมาณตี 4 ตื่นขึ้นมาจัดการธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานออกไปหาอาหารเช้าให้อิ่มท้องกันที่ตลาดในตัวเมือง หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานต่อเข้าสู่กองบิน 5 เดินเท้าขึ้นเขาล้อมหมวกจนสุดบันได ต่อด้วยการดึงเชือกปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาล้อมหมวก ไหว้รอยพระพุทธบาทเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและถ่ายภาพวิวที่สวยงามของทั้ง 2 อ่าว คือ อ่าวประจวบคีรีขันธ์และอ่าวมะนาว สัมผัสม่านหมอกและกระแสลมเย็นๆบนยอดเขา ถือว่าเป็นการผจญภัยเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ ด้วยความสูงเสียดฟ้าขนาดนี้ แค่เอื้อมมือก็แตะขอบฟ้าได้แล้ว หายใจให้เต็มปอดทั้ง 2 ข้าง ก่อนไต่เชือกกลับลงมาสู่เบื้องล่าง ปั่นจักรยานกลับที่พักเพื่อ Check - out ให้ทันก่อนเที่ยง นั่งรถตู้ที่คิวในเมืองไปให้ทันขบวนรถไฟฟรี(หัวหิน – กรุงเทพฯ) ซึ่งจะออกจากหัวหิน เวลาประมาณบ่าย 2.10 น. เดินทางกลับกรุงเทพฯ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้