บทความโดย: สมฤทธิ์ ลือชัย
สืบเนื่องจากการต่อต้านมัสยิดของชาวเมืองน่าน(ส่วนหนึ่ง)เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุผลว่าเมืองน่านเป็นเมืองพุทธ เป็นดินแดนที่สงบสุข จึงไม่ต้องการให้มีการสร้างมัสยิดเพราะอาจนำไปสู่ความเดือนร้อนวุ่นวายเหมือน ๓ จังหวัดภาคใต้ ผมว่าเรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจโดยใช้ทั้งปัญญาและเมตตา มิฉะนั้นจะกลายเป็นประเด็นบาดหมางระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม
ลักษณะหนึ่งของความเป็นพุทธคือความใจกว้าง อันเป็นผลมาจากเรื่องเมตตาที่ทางพุทธศาสนาให้ความสำคัญ ในอดีตเป็นที่รับรู้กันว่าใครเดือดเนื้อร้อนใจ อยู่ในแผ่นดินตนไม่ได้ก็หนีมาอาศัยที่อยุธยา อยุธยาจะเปิดรับไม่ปิดกั้น ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นพุทธ คริสต์หรืออิสลาม อยุธยาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งก็เพราะอาศัยชาวต่างชาติต่างศาสนาเหล่านี้ กล่าวโดยสรุปก็คือความใจกว้างของอยุธยานำผลดีมาสู่อยุธยามากกว่าผลเสีย
พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้เป็นต้นแบบของธรรมราชา ได้กล่าวถึงเรื่องความใจกว้างเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของศาสนิกชนต่างๆ ดังปรากฏในจารึกหลักที่ 7 ที่ว่า
“...ขอศาสนิกชนแห่งลัทธิศาสนาทั้งหลายทั้งปวงจงอยู่ร่วมกันเถิด เพราะศาสนิกชนทั้งปวงนั้น ล้วนปรารถนาความสำรวมตนและความบริสุทธิ์แห่งชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น...”
นอกจากนี้ในจารึกหลักที่ 12 ของพระองค์ ยังได้ให้แนวปฏิบัติต่อลัทธิศาสนาอื่นเพื่อมิให้ “ยกตนข่มท่าน” ว่า
“...ก็ความเจริญงอกงามแห่งสารธรรมนี้มีอยู่มากมายหลายประการ แต่ส่วนที่เป็นรากฐานแห่งความเจริญงอกงามอันนั้นได้แก่สิ่งนี้คือ การสำรวมระวังวาจา ระวังอย่างไร? คือไม่พึงมีการยกย่องลัทธิศาสนาของตนและการตำหนิลัทธิศาสนาของผู้อื่น...อันบุคคลผู้ยกย่องลัทธิศาสนาของตนและกล่าวติเตียนลัทธิศาสนาของผู้อื่นนั้น ย่อมทำการทั้งปวงนั้นลงไปด้วยความภักดีต่อลัทธิศาสนาของตนนั่นเอง ข้อนั้นอย่างไร? คือด้วยความตั้งใจว่า “เราจะแสดงความดีเด่นแห่งลัทธิศาสนาของเรา” แต่เมื่อเขากระทำลงไปดังนั้น ก็กลับเป็นการทำอันตรายแก่ลัทธิศาสนาของตนหนักลงไปอีก ด้วยเหตุฉะนั้นการสังสรรค์ปรองดองกันนั่นแลเป็นสิ่งดีงามแท้ จะทำอย่างไร? คือ จะต้องรับฟังและยินดีรับฟังธรรมของกันและกัน...”
ในทางพุทธศาสนาถือว่า “อวิชชา” เป็นปฐมเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เมื่อเกิดอวิชชาก็จะเกิดอคติและอธรรมตามมา อคติที่ว่ามุสลิมเป็นกลุ่มชนที่โหดร้าย วุ่นวาย ไม่สงบสุข ก็ล้วนเกิดจากอวิชชาทั้งสิ้น ถ้าเราอ่านจารึกของพระเจ้าอโศกนี้แล้วนำมาใคร่ครวญด้วยปัญญาก็จะเห็นว่า “การปรองดองนั่นแลเป็นสิ่งดีงามแท้” และการปรองดองจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรา “ยินดีรับฟังธรรมของกันและกัน” เราต้องยอมรับว่าสังคมไทยไม่ว่าที่เมืองน่านหรือที่ไหนๆล้วนมีผู้คนต่างลัทธิศาสนาอยู่ร่วมกันทั้งสิ้น ดังนั้นหากนำเอานโยบายที่พระเจ้าอโศกประกาศไว้มาเป็นหลักปฏิบัติแล้ว เราควรเปิดรับไม่ใช่ปิดกั้นลัทธิศาสนาอื่น แต่ถ้าปฏิบัติในทางตรงข้ามนอกจากทำลายลัทธิศาสนาอื่นแล้วยังทำลายลัทธิศาสนาของตนด้วย ข้อนี้ขอให้ชาวเมืองน่านที่ต่อต้านมัสยิดพึงใคร่ครวญให้จงดี
เรื่องความใจกว้างนี้ในทางพุทธศาสนาถือเป็นหลักธรรมที่สำคัญ ใครทำได้ก็จะเป็นสุข แต่ถ้าใครทำไม่ได้ก็จะเป็นทุกข์ เรื่องนี้มีกล่าวไว้ใน “สังโยชน์ 10" (ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์) ธรรมที่ว่านี้ต้องข้ามให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะจ่มอยู่ในกองทุกข์ หนึ่งในธรรมที่ว่านี้คือ “มัจฉริยะ” หมายถึง ความตระหนี่ หวงแหน ใจแคบ ซึ่งมีอยู่ 5 ประการ และหนึ่งในธรรมข้อนี้ก็คือ “อาวาสมัจฉริยะ” คือ ความตระหนี่ หวงแหน ใจแคบ ในเรื่องที่อยู่อาศัย ถ้าเอาหลักธรรมข้อนี้มาวิเคราะห์จะเห็นว่าการที่ชาวเมืองน่านต่อต้านมัสยิด โดยอ้างว่าเมืองน่านเป็นของชาวพุทธเท่านั้น ดังนั้นถ้าท่านเป็นพุทธแท้ พึงข้ามมัจฉริยะข้อนี้ให้พ้นเสียเร็ววัน พูดตรงๆชัดๆคือชาวเมืองน่านต้องไม่ใจแคบครับ
พูดถึงความใจกว้าง ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากร 300 ล้านคน มีชาวพุทธเพียง 1 เปอร์เซ็นต์หรือราว 3 ล้านคน แต่ประเทศอินโดนีเซียประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศมุสลิมแบบเคร่งครัด(Fundamentalism) เขาก็ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ ที่นี้หันมามองเมืองไทยบ้าง เราเคยมีวันหยุดให้ศาสนิกชนอื่นบ้างไหม? ไม่มีเลย เหตุใดเราถึงคับแคบเช่นนี้ ทั้งๆที่พุทธศาสนาที่เราอ้างว่าเป็นศาสนาหลักของเราก็สอนให้เราใจกว้าง ไม่คับแคบ แต่ความเป็นจริงเราใจกว้างเฉพาะตัวเรา ศาสนาเรา แต่ใจแคบต่อคนอื่น ศาสนาอื่น สิ่งที่เกิดที่เมืองน่านเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมาก็คือภาพสะท้อนของความเป็นไทยที่แท้จริงนั่นเอง
ชาวเมืองน่านที่ต่อต้านมัสยิดอ้างว่าเมืองน่านเป็นเมืองพุทธ เป็นเมืองที่สงบสุข คำถามที่ปะทุขึ้นมาทันทีก็คือ จริงหรือ? เมืองน่านมีแต่พุทธใช่ไหม? คำตอบไม่ใช่ เพราะที่นี่มีทั้งพุทธ คริสต์ มุสลิม ผี ฯ ในอดีตพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งแปลกแยกของที่นี่มาก่อน เจ้าของพื้นที่เดิมคือพวกลัวะนั้นนับถือผี พุทธเพิ่งเข้ามาไม่เกิดพุทธศตวรรษที่ 19 ถ้าพวกลัวะทำอย่างคนเมืองน่านทำกับชาวมุสลิมตอนนี้ พุทธศาสนาคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่ หรือตอนที่พุทธศาสนาเข้ามาในสุวรรณภูมิถ้าคนพื้นเมืองเดิมปิดกั้น เดินขบวนประท้วงต่อต้าน พุทธศาสนาก็คงไม่ได้สถาปนามาจนทุกวันนี้ นับประสาอะไรกับในชมพูทวีปตอนที่พุทธศาสนาเกิดนั้น พุทธศาสนาก็เป็นสิ่งแปลกแยกของชมพูทวีปเช่นกันเพราะคนดั่งเดิมของเขานับถือศาสนาพราหมณ์ เอาเข้าจริงเราต่างแปลกแยกซึ่งกันและกัน แต่เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ ถ้าเราเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ดังคำประกาศในจารึกของพระเจ้าอโศกที่ยกมาอ้างข้างต้น
และที่อ้างว่าเมืองน่านสงบสุข ถ้าเป็นปัจจุบันก็ไม่เถียง แต่อดีตเมื่อไม่นานมานี้เมืองน่านโดยเฉพาะแถวชายแดนแถบอ.ทุ่งช้าง บ่อเกลือ นั่นหาได้สงบไม่ มีการสู้รบกันตลอด บางพื้นที่เป็นเขตต้องห้าม เข้าไปไม่ได้ จะว่าไปเหตุการณ์ก็ไม่ต่างกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบันเท่าไรหรอก จนเมื่อปัญหาเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองหมดไป เมืองน่านกลับมาสงบสุขอีกครั้ง จึงได้ตั้งชื่ออำเภอชายแดนแห่งหนึ่งว่า “อ.สันติสุข” นัยยะก็คือเดิมไม่สงบสุขมาก่อนนั่นเอง และตอนที่ไม่สงบสุขนั้นก็ยังไม่มีมัสยิดในเมืองน่านไม่ใช่หรือ?
ที่พุทธคยา สถานที่เกิดของพุทธศาสนา รายรอบเจดีย์มหาโพธิ์ทุกวันนี้ มีชุมชนชาวฮินดูและวัดพุทธของชาติต่างๆอยู่รายรอบ ด้านหนึ่งมีมัสยิดของชาวมุสลิม ตอนเช้าตรู่ทุกวันจะมีเสียงสวดมนต์จากเจดีย์มหาโพธิ์และเสียงละหมาดจากมัสยิดที่อยู่ใกล้กัน ทั้งพุทธและมุสลิมก็อยู่ด้วยกันได้ ครั้งหนึ่งได้ยินคนไทยคนหนึ่งบ่นว่าหนวกหูเสียงละหมาด พระที่วัดไทยพุทธคยาก็บอกคนไทยคนนั้นว่าเสียงละหมาดก็คือเสียงสวดมนต์ ถ้าเราหนวกหูเขา เขาก็คงหนวกหูเราเหมือนกัน แต่เขาไม่เคยพูด ดังนั้นเราควรฟังเสียงละหมาดเป็นเสียงสวดมนต์ก็จะใช้เจริญสติได้เหมือนเสียงสวดมนต์ (ซึ่งเราก็ฟังไม่รู้เรื่องพอๆกัน) เรื่องนี้บอกเราให้รู้ว่า อคตินี้มันแรงจริงๆครับ
ที่เขียนมานี้ก็เพื่อเตือนสติชาวเมืองน่านและชาวพุทธที่หลงในศาสนาของตน รังเกียจศาสนาอื่นโดยเฉพาะอิสลาม การรักในศาสนาของตนเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ต้องรักด้วยปัญญา เมื่อใช้ปัญญาในศาสนาของตนแล้วก็ต้องใช้เมตตากับศาสนาอื่น ถ้าทำไม่ได้นอกจากจะทำลายศาสนาอื่นแล้วยังทำร้ายศาสนาของตนอีกด้วย ขอให้ท่านจงมาเป็นพุทธที่แท้จริง เจริญรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช ขจัด “มัจฉริยะ” ธรรมที่มัดท่านไว้กับกองทุกข์นี้เสีย เปิดใจให้กว้างแล้วเมืองน่านจะสันติสุข(โดยไม่จำเป็นต้องมีอำเภอชื่อสันติสุขก็ได้) ตราบใดที่ใจยังไม่กว้าง ไม่ต้องอ้างว่าเป็นพุทธแท้.
จากพระเจ้าอโศกถึงชาวเมืองน่านในเรื่องความใจกว้าง..กรณีไม่เอามัสยิด
สืบเนื่องจากการต่อต้านมัสยิดของชาวเมืองน่าน(ส่วนหนึ่ง)เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุผลว่าเมืองน่านเป็นเมืองพุทธ เป็นดินแดนที่สงบสุข จึงไม่ต้องการให้มีการสร้างมัสยิดเพราะอาจนำไปสู่ความเดือนร้อนวุ่นวายเหมือน ๓ จังหวัดภาคใต้ ผมว่าเรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจโดยใช้ทั้งปัญญาและเมตตา มิฉะนั้นจะกลายเป็นประเด็นบาดหมางระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม
ลักษณะหนึ่งของความเป็นพุทธคือความใจกว้าง อันเป็นผลมาจากเรื่องเมตตาที่ทางพุทธศาสนาให้ความสำคัญ ในอดีตเป็นที่รับรู้กันว่าใครเดือดเนื้อร้อนใจ อยู่ในแผ่นดินตนไม่ได้ก็หนีมาอาศัยที่อยุธยา อยุธยาจะเปิดรับไม่ปิดกั้น ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นพุทธ คริสต์หรืออิสลาม อยุธยาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งก็เพราะอาศัยชาวต่างชาติต่างศาสนาเหล่านี้ กล่าวโดยสรุปก็คือความใจกว้างของอยุธยานำผลดีมาสู่อยุธยามากกว่าผลเสีย
พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้เป็นต้นแบบของธรรมราชา ได้กล่าวถึงเรื่องความใจกว้างเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของศาสนิกชนต่างๆ ดังปรากฏในจารึกหลักที่ 7 ที่ว่า
“...ขอศาสนิกชนแห่งลัทธิศาสนาทั้งหลายทั้งปวงจงอยู่ร่วมกันเถิด เพราะศาสนิกชนทั้งปวงนั้น ล้วนปรารถนาความสำรวมตนและความบริสุทธิ์แห่งชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น...”
นอกจากนี้ในจารึกหลักที่ 12 ของพระองค์ ยังได้ให้แนวปฏิบัติต่อลัทธิศาสนาอื่นเพื่อมิให้ “ยกตนข่มท่าน” ว่า
“...ก็ความเจริญงอกงามแห่งสารธรรมนี้มีอยู่มากมายหลายประการ แต่ส่วนที่เป็นรากฐานแห่งความเจริญงอกงามอันนั้นได้แก่สิ่งนี้คือ การสำรวมระวังวาจา ระวังอย่างไร? คือไม่พึงมีการยกย่องลัทธิศาสนาของตนและการตำหนิลัทธิศาสนาของผู้อื่น...อันบุคคลผู้ยกย่องลัทธิศาสนาของตนและกล่าวติเตียนลัทธิศาสนาของผู้อื่นนั้น ย่อมทำการทั้งปวงนั้นลงไปด้วยความภักดีต่อลัทธิศาสนาของตนนั่นเอง ข้อนั้นอย่างไร? คือด้วยความตั้งใจว่า “เราจะแสดงความดีเด่นแห่งลัทธิศาสนาของเรา” แต่เมื่อเขากระทำลงไปดังนั้น ก็กลับเป็นการทำอันตรายแก่ลัทธิศาสนาของตนหนักลงไปอีก ด้วยเหตุฉะนั้นการสังสรรค์ปรองดองกันนั่นแลเป็นสิ่งดีงามแท้ จะทำอย่างไร? คือ จะต้องรับฟังและยินดีรับฟังธรรมของกันและกัน...”
ในทางพุทธศาสนาถือว่า “อวิชชา” เป็นปฐมเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เมื่อเกิดอวิชชาก็จะเกิดอคติและอธรรมตามมา อคติที่ว่ามุสลิมเป็นกลุ่มชนที่โหดร้าย วุ่นวาย ไม่สงบสุข ก็ล้วนเกิดจากอวิชชาทั้งสิ้น ถ้าเราอ่านจารึกของพระเจ้าอโศกนี้แล้วนำมาใคร่ครวญด้วยปัญญาก็จะเห็นว่า “การปรองดองนั่นแลเป็นสิ่งดีงามแท้” และการปรองดองจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรา “ยินดีรับฟังธรรมของกันและกัน” เราต้องยอมรับว่าสังคมไทยไม่ว่าที่เมืองน่านหรือที่ไหนๆล้วนมีผู้คนต่างลัทธิศาสนาอยู่ร่วมกันทั้งสิ้น ดังนั้นหากนำเอานโยบายที่พระเจ้าอโศกประกาศไว้มาเป็นหลักปฏิบัติแล้ว เราควรเปิดรับไม่ใช่ปิดกั้นลัทธิศาสนาอื่น แต่ถ้าปฏิบัติในทางตรงข้ามนอกจากทำลายลัทธิศาสนาอื่นแล้วยังทำลายลัทธิศาสนาของตนด้วย ข้อนี้ขอให้ชาวเมืองน่านที่ต่อต้านมัสยิดพึงใคร่ครวญให้จงดี
เรื่องความใจกว้างนี้ในทางพุทธศาสนาถือเป็นหลักธรรมที่สำคัญ ใครทำได้ก็จะเป็นสุข แต่ถ้าใครทำไม่ได้ก็จะเป็นทุกข์ เรื่องนี้มีกล่าวไว้ใน “สังโยชน์ 10" (ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์) ธรรมที่ว่านี้ต้องข้ามให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะจ่มอยู่ในกองทุกข์ หนึ่งในธรรมที่ว่านี้คือ “มัจฉริยะ” หมายถึง ความตระหนี่ หวงแหน ใจแคบ ซึ่งมีอยู่ 5 ประการ และหนึ่งในธรรมข้อนี้ก็คือ “อาวาสมัจฉริยะ” คือ ความตระหนี่ หวงแหน ใจแคบ ในเรื่องที่อยู่อาศัย ถ้าเอาหลักธรรมข้อนี้มาวิเคราะห์จะเห็นว่าการที่ชาวเมืองน่านต่อต้านมัสยิด โดยอ้างว่าเมืองน่านเป็นของชาวพุทธเท่านั้น ดังนั้นถ้าท่านเป็นพุทธแท้ พึงข้ามมัจฉริยะข้อนี้ให้พ้นเสียเร็ววัน พูดตรงๆชัดๆคือชาวเมืองน่านต้องไม่ใจแคบครับ
พูดถึงความใจกว้าง ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากร 300 ล้านคน มีชาวพุทธเพียง 1 เปอร์เซ็นต์หรือราว 3 ล้านคน แต่ประเทศอินโดนีเซียประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศมุสลิมแบบเคร่งครัด(Fundamentalism) เขาก็ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ ที่นี้หันมามองเมืองไทยบ้าง เราเคยมีวันหยุดให้ศาสนิกชนอื่นบ้างไหม? ไม่มีเลย เหตุใดเราถึงคับแคบเช่นนี้ ทั้งๆที่พุทธศาสนาที่เราอ้างว่าเป็นศาสนาหลักของเราก็สอนให้เราใจกว้าง ไม่คับแคบ แต่ความเป็นจริงเราใจกว้างเฉพาะตัวเรา ศาสนาเรา แต่ใจแคบต่อคนอื่น ศาสนาอื่น สิ่งที่เกิดที่เมืองน่านเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมาก็คือภาพสะท้อนของความเป็นไทยที่แท้จริงนั่นเอง
ชาวเมืองน่านที่ต่อต้านมัสยิดอ้างว่าเมืองน่านเป็นเมืองพุทธ เป็นเมืองที่สงบสุข คำถามที่ปะทุขึ้นมาทันทีก็คือ จริงหรือ? เมืองน่านมีแต่พุทธใช่ไหม? คำตอบไม่ใช่ เพราะที่นี่มีทั้งพุทธ คริสต์ มุสลิม ผี ฯ ในอดีตพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งแปลกแยกของที่นี่มาก่อน เจ้าของพื้นที่เดิมคือพวกลัวะนั้นนับถือผี พุทธเพิ่งเข้ามาไม่เกิดพุทธศตวรรษที่ 19 ถ้าพวกลัวะทำอย่างคนเมืองน่านทำกับชาวมุสลิมตอนนี้ พุทธศาสนาคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่ หรือตอนที่พุทธศาสนาเข้ามาในสุวรรณภูมิถ้าคนพื้นเมืองเดิมปิดกั้น เดินขบวนประท้วงต่อต้าน พุทธศาสนาก็คงไม่ได้สถาปนามาจนทุกวันนี้ นับประสาอะไรกับในชมพูทวีปตอนที่พุทธศาสนาเกิดนั้น พุทธศาสนาก็เป็นสิ่งแปลกแยกของชมพูทวีปเช่นกันเพราะคนดั่งเดิมของเขานับถือศาสนาพราหมณ์ เอาเข้าจริงเราต่างแปลกแยกซึ่งกันและกัน แต่เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ ถ้าเราเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ดังคำประกาศในจารึกของพระเจ้าอโศกที่ยกมาอ้างข้างต้น
และที่อ้างว่าเมืองน่านสงบสุข ถ้าเป็นปัจจุบันก็ไม่เถียง แต่อดีตเมื่อไม่นานมานี้เมืองน่านโดยเฉพาะแถวชายแดนแถบอ.ทุ่งช้าง บ่อเกลือ นั่นหาได้สงบไม่ มีการสู้รบกันตลอด บางพื้นที่เป็นเขตต้องห้าม เข้าไปไม่ได้ จะว่าไปเหตุการณ์ก็ไม่ต่างกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบันเท่าไรหรอก จนเมื่อปัญหาเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองหมดไป เมืองน่านกลับมาสงบสุขอีกครั้ง จึงได้ตั้งชื่ออำเภอชายแดนแห่งหนึ่งว่า “อ.สันติสุข” นัยยะก็คือเดิมไม่สงบสุขมาก่อนนั่นเอง และตอนที่ไม่สงบสุขนั้นก็ยังไม่มีมัสยิดในเมืองน่านไม่ใช่หรือ?
ที่พุทธคยา สถานที่เกิดของพุทธศาสนา รายรอบเจดีย์มหาโพธิ์ทุกวันนี้ มีชุมชนชาวฮินดูและวัดพุทธของชาติต่างๆอยู่รายรอบ ด้านหนึ่งมีมัสยิดของชาวมุสลิม ตอนเช้าตรู่ทุกวันจะมีเสียงสวดมนต์จากเจดีย์มหาโพธิ์และเสียงละหมาดจากมัสยิดที่อยู่ใกล้กัน ทั้งพุทธและมุสลิมก็อยู่ด้วยกันได้ ครั้งหนึ่งได้ยินคนไทยคนหนึ่งบ่นว่าหนวกหูเสียงละหมาด พระที่วัดไทยพุทธคยาก็บอกคนไทยคนนั้นว่าเสียงละหมาดก็คือเสียงสวดมนต์ ถ้าเราหนวกหูเขา เขาก็คงหนวกหูเราเหมือนกัน แต่เขาไม่เคยพูด ดังนั้นเราควรฟังเสียงละหมาดเป็นเสียงสวดมนต์ก็จะใช้เจริญสติได้เหมือนเสียงสวดมนต์ (ซึ่งเราก็ฟังไม่รู้เรื่องพอๆกัน) เรื่องนี้บอกเราให้รู้ว่า อคตินี้มันแรงจริงๆครับ
ที่เขียนมานี้ก็เพื่อเตือนสติชาวเมืองน่านและชาวพุทธที่หลงในศาสนาของตน รังเกียจศาสนาอื่นโดยเฉพาะอิสลาม การรักในศาสนาของตนเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ต้องรักด้วยปัญญา เมื่อใช้ปัญญาในศาสนาของตนแล้วก็ต้องใช้เมตตากับศาสนาอื่น ถ้าทำไม่ได้นอกจากจะทำลายศาสนาอื่นแล้วยังทำร้ายศาสนาของตนอีกด้วย ขอให้ท่านจงมาเป็นพุทธที่แท้จริง เจริญรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช ขจัด “มัจฉริยะ” ธรรมที่มัดท่านไว้กับกองทุกข์นี้เสีย เปิดใจให้กว้างแล้วเมืองน่านจะสันติสุข(โดยไม่จำเป็นต้องมีอำเภอชื่อสันติสุขก็ได้) ตราบใดที่ใจยังไม่กว้าง ไม่ต้องอ้างว่าเป็นพุทธแท้.