[CR] อยากเล่า พกไป 3,000 ลุยเดี่ยว เมาเบียร์ เสียหลัก อยู่ วังเวียง

สวัสดีเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกท่าน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิปเลยครับ
หลังจากที่ซุ่มดูเพื่อนๆ เที่ยววังเวียงกันอยู่นาน มันก็ถึงเวลาเดินทางของผมบ้างแล้วหล่ะนะ
ขอบอกก่อนว่ารูปแบบการเที่ยวของผมเป็นแบบ สบ๊าย สบาย กินง่ายอยู่ง่าย นอนไหนก็ได้ไม่มากเรื่อง
ทริปนี้ไม่มีอยู่ดี กินหรู กินแพงที่สุดคือค่าเบียร์นั้นแหละครับ อิอิ
พร้อมกันแล้วใช่มั้ย เชิญไปเที่ยววังเวียงกับผมได้เลยครับ

แล้วก็ ถ้าผมเล่าเรื่องสนุก ช่วย + ในนี้ หรือช่วยกด Like Ment Share เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคร้าบ ที่
https://www.facebook.com/HnaklomOface
จะได้มีแรงฮึด ฮึด ฮึด เดินทางต่อ ขอบพระคุณคร้าบบบบบ



ก่อนออกจากบ้านคนในครอบครัวถามว่าจะไปไหน?
ผม: ไปวังเวียงครับ
ครอบครัว: จังหวัดอะไรหรอลูก?
ผม: ประเทศลาวครับ
ครอบครัว: ไปวันไหนจ๊ะ?
ผม: ไปคืนนี้หล่ะครับ
จากนั้นคำถามมาเป็นชุดครับ ทำไมไปคนเดียวหล่ะ? เคยไปมาแล้วหรอ? มีเพื่อนที่โน้นหรอ? บลา บลา บลา..
บอกได้คำเดียวครับ "พิษรักระทม" จังหวะนั้นไม่กลัวอะไรแล้ว ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า

วันอังคารที่ 13 มกราคม 2558
การเดินทางไปวังเวียงของผมเริ่มต้นที่หัวลำโพง ด้วยรถไฟฟรีจากภาษีประชาชน เป็นรถไฟชั้น 3 รอบ 20.45 น. เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังหนองคาย การรับตั๋วฟรีก็ง่ายๆ เพียงแค่คุณมีบัตรประชาชน แสดงบัตรก็สามารถรับตั๋วได้ทันที




**ทำไมผมถึงเลือกรถไฟฟรี**
ในหัวผมแต่ก่อนไม่เคยสนใจรถไฟฟรี จนกระทั่งผมเริ่มเดินทาง หาความจริงของชีวิต มันทำให้ผมลดอัตตา ความเป็นตัวตนของผมลง อยู่ง่าย กินง่าย ลดความถือตัว หรูหราลง แค่เหตุผลอีกอย่างก็ง่ายๆ ครับ "มันฟรี"

รถไฟหมายเลย 4506 ทำเอาผมใจไม่สู้ดีนัก ด้วยกิตติศัพท์ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ของการรถไฟไทย แต่ก็อุ่นใจเมื่อเห็นการเข้าแถวเตรียมความพร้อมของตำรวจรถไฟ ก่อนที่รถไฟทุกขบวนจะออกเดินทาง อย่างน้อยผมก็มั่นใจได้ว่า ค่ำคืนนี้คงไม่มีใครมาตีหัวเวลาผมหลับแน่นอน




ก่อนขึ้นรถไฟ ผมเติมพลังด้วยข้าวเหนียวหมูปิ้ง เตรียมน้ำเปล่าไว้หนึ่งขวด และเบียร์อีก หนึ่งแพ็ค ก่อนที่จะมารู้ทีหลังว่า เดี๋ยวนี้เค้าห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์บนรถไฟแล้ว แต่พี่ตำรวจรถไฟก็ใจดีไม่ได้ปรับหรือเชิญตัวผมลงแต่อย่างใด แค่บอกให้ผมดื่มให้หมด (สองป๋องรวด) แล้วก็เอากระป๋องปล่าวลงไปทิ้งซะ ซึ่งผมก็ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัดแม้มันจะทำให้ผมตึงๆ เลยก็ตาม
การนอนบนรถไฟเป็นเรื่องยากสำหรับ ผู้ชายร่างใหญ่แบบผม ที่ไม่สามารถนอนขดตัวได้ ขาของผมมักจะยื่นเลยเก้าอี้ เป็นที่สนุกสนานของคนอื่น เวลาคนเดินไปเดินมา ซึ่งมักจะใช้อวัยวะบางส่วนกระทบปลุกผมคืนละหลายๆ รอบ บวกกับอากาศที่หนาวสุดๆ ลมแรงๆ เล่นเอานอนไม่หลับเลย

วันพุธที่ 14 มกราคม 2558
ถึงแม้แดดจะออกแล้ว แต่อากาศตอนนี้ก็เย็นซะจนทำให้ ผู้คนที่เหลือบนรถไฟเลือกที่จะย้ายมานั่งฝั่งที่แดดส่องลงมา ฝั่งตรงข้ามผมคือหญิงชราสูงวัย ผมสีดอกเลา(รึเปล่า ม่วงชัดๆ) แกเดินทางคนเดียว ด้วยอายุขนาดนี้ คงไม่ได้เดินทางหาความจริงอะไรแบบผมหรอก แล้วลูกหลานแกไปไหนล่ะ ผมนั่งปล่อยใจไปเรื่อยจนกระทั่ง เวลา 9.33น. รถไฟเทียบท่าสถานีหนองคายแล้ว ทำเวลาได้ดีทีเดียว ทันใดนั้นรถสองแถวสีขาวก็วิ่งมาจอดทันที รถคันนี้จะมาเฉพาะตอนที่รถไฟเทียบท่าเท่านั้น เพื่อรับผู้โดยสารไปยัง บขส.หนองคาย ด้วยอัตราค่าโดยสาร 20 บาทต่อคน ถ้าพลาดหรือมัวโอ้เอ้ ท่านอาจจะตกรถได้




ผมนั้นต้องรีบทำเวลาเพื่อที่จะไปรอรถ อุดร-หนองคาย-วังเวียง รอบ 10.00น. ซึ่งรถสองแถวก็ทำเวลาได้ดี มากๆ นำผมมาถึง บขส.ที่เวลา 9.50น. แต่โชคร้ายที่ว่ารถที่จะไปวังเวียง ออกไปตั้งแต่ 9.40น. (ไอ้เราอุส่าทำเวลา ให้ตายซิ แหม๋)
ผมจึงต้องหาหนทางใหม่ โดยอาจจะนั่งรถสกายแล็ปไปลงสะพานมิตรภาพ แล้วต่อรถเข้าเวียงจันท์อีกที เพราะรถเข้าเวียงจันท์รอบต่อไปออกตั้ง 12.40น. พอดีว่าเจอน้องคนนึงจะไปเวียงจันท์เช่นกันในร้านข้าวแกง ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายในประเทศไทย ของผมในวันนี้ หากผมรู้ว่าอาหารที่ลาวแพงขนาดนี้ผมจะซื้อของตุนไปเยอะๆเลย




กินข้าวเสร็จ เราตกลงที่จะหารค่ารถกัน เพื่อไปลงด่านตรวจคนเข้าเมือง ตกคนละ 50 บาท
น้องชายคนนี้มาเที่ยวลาวหลายครั้งแล้ว เค้าดูคล่องแคล้วเมื่อเขียนบัตรผ่านและการเดินไปแต่ละจุดเพื่อตรวจเอกสาร ผมจ่ายค่าผ่านแดนไป 5 บาท ค่ารถข้ามแดนอีก 15 บาท พอได้คุยกับน้องเค้าถึงรู้ว่า เค้ามาหาที่เงียบๆ เพื่อเขียนเรซูเม่ไปสมัครงาน สาขาที่น้องเค้าจบมาคือ วิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยสีชมพูนั้นเอง (ถ้าพี่โฟรไฟล์ขนาดน้อง พี่ว่าพี่หลับตาเขียนงานก็วิ่งเข้าหาครับ) ในขณะที่เดินข้ามฝั่งน้องชายคนนั้นชี้ให้เห็นรถ อุดร-หนองคาย-วังเวียง จอดรอผู้โดยสารทำเรื่องข้ามแดนอยู่ เป็นโชคดีอย่างที่สุดเลยหล่ะ ผมไม่รอช้าที่จะเข้าไปถามหาที่ว่าง ปรากฎว่าพอจะมีอีกสองสามที่ เลยขอเวลาไปแลกเงินกีบ(40บาท เท่ากับ 10,000กีบ) ซะ 3,000 บาท แล้วขอติดรถไปด้วยเลย พี่เค้าคิดค่าโดยสาร 270 บาท ราคาปรกติไม่มีบวก ไม่มีลบ



รถบัสสองชั้น ออกจากด่านประเทศลาว มุ่งหน้าสู่วังเวียง กับถนนที่เลี้ยวลด คดเคี้ยว ทำเอาพี่สาวข้างๆผม วินเวียน อาเจียน กันเลยทีเดียว ส่วนผมหรอ ชิวๆ สาวๆ เกาหลี เต็มรถเลย จะแสดงท่าทีอ่อนแอได้ไงหล่ะ ประกอบกับเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ ถ้าไม่นับตอนตื่นมาเพราะได้ยินเสียง โฮก ฮาก ของพี่สาวคนข้างๆ ผมนี้หลับยาวจนถึงจุดพักรถเลยหล่ะ จุดพักรถอยู่ที่ร้านเปเล่ครับ อาหารไม่ค่อยแซ่บ ห้องน้ำไม่ค่อยได้ แนะนำว่าอดใจไปวังเวียงทุกสิ่งอย่างจะดีกว่า



สรุประยะเวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.กว่าๆ เห็นจะได้ รถบัสก็นำผมมาถึงสถานีขนส่งวังเวียง ดูไปดูมาก็หน้าตาคล้ายๆ โรงสีนะเนี้ยไอ้เจ้าขนส่งเนี้ย ผมตัดสินใจจองตั๋วกลับในเช้าวันเสาร์ 10.00น. สนนค่าตั๋ว 200 บาท(บอกเลยดีนะที่จ่ายก่อนเพราะอะไรหน่ะหรอ รอดูกันต่อไปครับ) จุดหมายปลางทาง นครหลวงเวียงจันท์



จากนั้นจึงเดินเข้าไปในตัววังเวียง ประมาณ 2km จากจุดจอดรถ ปฏิเสธที่จะนั่งรถรับจ้างเข้าไปเพราะคิดว่าไม่จำเป็น ขอดื่มด่ำบรรยากาศ ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย นั่งรถมาตั้งนาน แล้วก็เดินผ่านสะพาน ข้ามแม่น้ำ เก็บรูปแม่น้ำซอง ก่อนเข้าพักที่ "เมอร์ลิน" ตามที่คุณบอล Ball Naresuan เพื่อนสมาชิกในพันทิปได้รีวิวไว้




อ๋อ จะบอกว่า พยายามข้ามสะพานที่ข้ามฟรีนะครับ หาไม่ยากเลย อยู่โซนโรงแรมเยอะๆ เดินๆ ไปเถอะยังไงก็หาเจอ ถือว่าสำรวจเมืองไปด้วย
แต่ถ้าไปเจอสะพานที่เสียเงิน ให้เพื่อนๆ กลับหลังหันครับ เดินตรงไป เจอสามแยกเลี้ยวซ้าย เดินตรงดิ่งไปเรื่อยๆ เจอสามแยกที่เป็นโซนนักท่องเที่ยวเยอะๆ มุ่งซ้ายลงหาด แล้วจะเจอสะพานไม้ข้ามฟรีครับ
ชื่อสินค้า:   วังเวียง เวียงจันทน์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่