เป็นบรรยากาศวันซ้อมรับปริญญาที่ชื่นมื่นไม่แพ้มหาวิทยาลัยอื่นๆ เลยทีเดียวสำหรับ สำหรับ ชาวลูกพ่อขุนรามคำแหง ที่วันนี้แม้จะเป็นซ้อมใหญ่เพื่อที่จะไปรับจริงในสัปดาห์หน้า วันที่ 2 - 6 มีนาคม 2558 แต่เหล่าบัณฑิตที่ได้ไปรายงานตัวในชุดครุยก็ภาคภูมิใจกันสุดๆ จนล่าสุด หนุ่มบัณฑิตคนนึงได้แชร์ความรู้สึกที่อัดอั้นตั้งใจในความยากลำบากของชะตาชีวิตกับการมุมานะเรียนในเฟซบุ้คที่มีชื่อว่า รัฐศาสตร์ รามคำแหงรุ่นที่ 40 ที่ได้โพสต์เรื่องราวชีวิตของ นายอาณัติ มานพ นิติศาสตร์บัณฑิต รุ่น 40 ที่ได้ออกมาเผยถึงชีวิตที่ลำบากเคยเป็นยาม และทำงานมาแล้วหลากหลายอาชีพแต่ในที่สุดก็คว้าปริญญาตามที่ฝันจนวันนี้เป็นวันแห่งความสำเร็จ
ข้อความว่าด้วยดังนี้
"ครอบครัวมีปัญหา พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังแบเบาะ ตอนเด็กๆแม่ทำงานก่อสร้าง พอหลังเลิกเรียนช่วงค่ำๆผมกับแม่จะไปเดินขายมะม่วงตามบาร์ที่พัทยา พอโตขึ้นหน่อยผมก็ไปทำงานร้านขายของส่งได้วันละ 50 บาท แต่ช่วงปิดเทอมแม่จะให้ไปบวชเณรภาคฤดูร้อนทุกปีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเรียนทางธรรมไปด้วย พอขึ้นมัธยมผมก็ไปทำงานเซเว่นหลังเลิกเรียน ได้ชั่วโมงละ 25 บาท หลังจากจบมัธยมปลายก็ไม่ได้แอดมิสชั่นเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหนเลยเพราะค่าใช้จ่ายสูง จึงมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ไม่รู้จะเรียนคณะอะไรดี จึงตัดสินใจเลือกคณะนิติศาสตร์เพราะทำอาชีพได้หลากหลาย
ระหว่างนั้นผมทำงานเป็นยาม เข้างาน 1 ทุ่ม เลิก 6โมงเช้า ระหว่างทำงานก็แอบเอาหนังสือไปอ่านด้วย ต้องแอบอ่านเพราะเจ้านายเป็นชาวต่าวชาติไม่ชอบให้ทำเรื่องส่วนตัวเวลางาน ผมไม่เคยได้เข้าเรียนเลย ปกติจะซื้อตำราจากสำนักพิมพ์มาอ่านเพราะราคาถูกกว่าชีทหน้ารามมาก ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะ เล่มนึงก็ประมาณ 50-70 บาท ผมไม่ได้เรียนเพื่อจะสอบให้ผ่านเท่านั้น แต่อ่านเพื่อต้องการความรู้จริงๆ ถ้าวันไหนมีสอบ พอเลิกงานผมก็รีบขึ้นรถโดยสารจากพัทยามารามฯทันที ระยะทาง 120 กิโลเมตร มาสายแค่ 5 นาทีก็ไม่ได้เข้าห้องสอบแล้ว เสียค่ารถฟรีๆวันนึงสามร้อยกว่าบาท เงินเดือนแค่ 7,500 บาทเอง ถ้าวันไหนมีสอบบ่ายจะเป็นวันที่ทรมานที่สุดเพราะต้องอดนอนข้ามวันข้ามคืน สมองล้ามากๆ พอสอบเสร็จก็ต้องรีบนั่งรถกลับมาทำงานต่อ
ถ้ามาช้าก็โดนหักเงินเดือนอีก สุดท้ายผมโดนไล่ออกจากงานเพราะเอาหนังสือมาอ่าน ชาวต่างชาติเขาต้องการยามมืออาชีพที่รักษาความปลอดภัยไม่ใช่มานั่งอ่านหนังสือ ท้อมากครับเหนื่อยจนร้องไห้พยายามบอกตัวเองว่าโชคชะตากำลังพิสูจน์ตัวเราอยู่ "จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องเป็นผู้ตามที่ดีมาก่อน คือเรียนรู้จากจุดที่ต่ำที่สุดมาก่อน" เวลาท้อมองคนที่เขาลำบากกว่า ผมเห็นยายแก่ๆเดินคุ้ยถังขยะมาขายประทังชีวิต ชีวิตเขาลำบากกว่าเรามาก ผมเชื่อเรื่องบาปบุญเพราะบวชมาตั้งแต่เด็กใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามาตลอด พยายามทำแต่กรรมดีเพื่อให้สุขภาพจิตดีขึ้นและต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ หลังจากโดนไล่ออกจากยามผมก็ไม่ได้ไปสอบที่รามฯอีกเลย 1 ปีเต็มๆที่ขาดสอบ
หลังจากนั้นผมก็ไปทำงานอื่นอีกหลายที่ เช่น ผู้ช่วยทันตแพทย์ประจำโรงพยาบาล ผู้ช่วยฝ่ายบุคคล คนงานทั่วไปของเทศบาล จนกระทั่งผมเรียนจบในภาค 1/56 ทันทีที่ผมจบก็มุ่งสอบหางานนิติกรตามสถานที่ราชการต่างๆเพราะมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะได้มีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ปัจจุบันผมทำงานเป็นนิติกร โครงการจัดทำแบบกฎหมายและวิเคราะห์แบบกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอบคุณมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่คนที่ไม่มีโอกาส เพียงหน่วยกิตละ 25 บาท สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ เป็นดังคำว่า "เปลวเทียวให้แสง รามคำแหงให้ทาง"
อาณัติ มานพ
นิติศาสตร์บัณฑิต รุ่น 40
เอ้า ทั้งซึ้งและน่าชื่นชม เป็นข้อคิดดีๆกับวัยรุ่นในโลกออนไลน์ ให้หันมาเห็น ความสำคัญของการศึกษาที่จะสามารถผลิกผันเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองได้ สุดยอดไปเลยค่ะ ชาวแคมปัสขอปรบมือให้ดังๆ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก รัฐศาสตร์รามคำแหงรุ่นที่ 40
และ คุณอาณัติ มานพ มาใน ณ ที่นี้
เครดิต
http://www.truelife.com/
อ่านแล้วนึกถึงตัวเอง ทำไมมันยากเย็นแสนเข็นอย่างนี้กว่าจะเรียนจบป.ตรี คือมันเหนื่อยมากๆ มันท้อ ทำงานลำบากดิ้นรนสุดๆ
แต่ทุกวันนี้มันคุ้มค่าที่เรียนจนจบ บอกเลยชีวิตดี๊ดี น้องๆที่กำลังเรียนอยู่พ่อแม่ส่งให้เรียนสบายๆ ตั้งใจเรียนนะคะ พี่อิฉฉามาก
จาก.....ยาม....สู่นิติกร สุดยอดบัณฑิตสู้ชีวิต ม.รามฯ ใครขี้เกียจดูเค้าเป็นตัวอย่าง
ข้อความว่าด้วยดังนี้
"ครอบครัวมีปัญหา พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังแบเบาะ ตอนเด็กๆแม่ทำงานก่อสร้าง พอหลังเลิกเรียนช่วงค่ำๆผมกับแม่จะไปเดินขายมะม่วงตามบาร์ที่พัทยา พอโตขึ้นหน่อยผมก็ไปทำงานร้านขายของส่งได้วันละ 50 บาท แต่ช่วงปิดเทอมแม่จะให้ไปบวชเณรภาคฤดูร้อนทุกปีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเรียนทางธรรมไปด้วย พอขึ้นมัธยมผมก็ไปทำงานเซเว่นหลังเลิกเรียน ได้ชั่วโมงละ 25 บาท หลังจากจบมัธยมปลายก็ไม่ได้แอดมิสชั่นเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหนเลยเพราะค่าใช้จ่ายสูง จึงมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ไม่รู้จะเรียนคณะอะไรดี จึงตัดสินใจเลือกคณะนิติศาสตร์เพราะทำอาชีพได้หลากหลาย
ระหว่างนั้นผมทำงานเป็นยาม เข้างาน 1 ทุ่ม เลิก 6โมงเช้า ระหว่างทำงานก็แอบเอาหนังสือไปอ่านด้วย ต้องแอบอ่านเพราะเจ้านายเป็นชาวต่าวชาติไม่ชอบให้ทำเรื่องส่วนตัวเวลางาน ผมไม่เคยได้เข้าเรียนเลย ปกติจะซื้อตำราจากสำนักพิมพ์มาอ่านเพราะราคาถูกกว่าชีทหน้ารามมาก ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะ เล่มนึงก็ประมาณ 50-70 บาท ผมไม่ได้เรียนเพื่อจะสอบให้ผ่านเท่านั้น แต่อ่านเพื่อต้องการความรู้จริงๆ ถ้าวันไหนมีสอบ พอเลิกงานผมก็รีบขึ้นรถโดยสารจากพัทยามารามฯทันที ระยะทาง 120 กิโลเมตร มาสายแค่ 5 นาทีก็ไม่ได้เข้าห้องสอบแล้ว เสียค่ารถฟรีๆวันนึงสามร้อยกว่าบาท เงินเดือนแค่ 7,500 บาทเอง ถ้าวันไหนมีสอบบ่ายจะเป็นวันที่ทรมานที่สุดเพราะต้องอดนอนข้ามวันข้ามคืน สมองล้ามากๆ พอสอบเสร็จก็ต้องรีบนั่งรถกลับมาทำงานต่อ
ถ้ามาช้าก็โดนหักเงินเดือนอีก สุดท้ายผมโดนไล่ออกจากงานเพราะเอาหนังสือมาอ่าน ชาวต่างชาติเขาต้องการยามมืออาชีพที่รักษาความปลอดภัยไม่ใช่มานั่งอ่านหนังสือ ท้อมากครับเหนื่อยจนร้องไห้พยายามบอกตัวเองว่าโชคชะตากำลังพิสูจน์ตัวเราอยู่ "จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องเป็นผู้ตามที่ดีมาก่อน คือเรียนรู้จากจุดที่ต่ำที่สุดมาก่อน" เวลาท้อมองคนที่เขาลำบากกว่า ผมเห็นยายแก่ๆเดินคุ้ยถังขยะมาขายประทังชีวิต ชีวิตเขาลำบากกว่าเรามาก ผมเชื่อเรื่องบาปบุญเพราะบวชมาตั้งแต่เด็กใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามาตลอด พยายามทำแต่กรรมดีเพื่อให้สุขภาพจิตดีขึ้นและต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ หลังจากโดนไล่ออกจากยามผมก็ไม่ได้ไปสอบที่รามฯอีกเลย 1 ปีเต็มๆที่ขาดสอบ
หลังจากนั้นผมก็ไปทำงานอื่นอีกหลายที่ เช่น ผู้ช่วยทันตแพทย์ประจำโรงพยาบาล ผู้ช่วยฝ่ายบุคคล คนงานทั่วไปของเทศบาล จนกระทั่งผมเรียนจบในภาค 1/56 ทันทีที่ผมจบก็มุ่งสอบหางานนิติกรตามสถานที่ราชการต่างๆเพราะมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะได้มีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ปัจจุบันผมทำงานเป็นนิติกร โครงการจัดทำแบบกฎหมายและวิเคราะห์แบบกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอบคุณมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่คนที่ไม่มีโอกาส เพียงหน่วยกิตละ 25 บาท สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ เป็นดังคำว่า "เปลวเทียวให้แสง รามคำแหงให้ทาง"
อาณัติ มานพ
นิติศาสตร์บัณฑิต รุ่น 40
เอ้า ทั้งซึ้งและน่าชื่นชม เป็นข้อคิดดีๆกับวัยรุ่นในโลกออนไลน์ ให้หันมาเห็น ความสำคัญของการศึกษาที่จะสามารถผลิกผันเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองได้ สุดยอดไปเลยค่ะ ชาวแคมปัสขอปรบมือให้ดังๆ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก รัฐศาสตร์รามคำแหงรุ่นที่ 40
และ คุณอาณัติ มานพ มาใน ณ ที่นี้
เครดิต http://www.truelife.com/
อ่านแล้วนึกถึงตัวเอง ทำไมมันยากเย็นแสนเข็นอย่างนี้กว่าจะเรียนจบป.ตรี คือมันเหนื่อยมากๆ มันท้อ ทำงานลำบากดิ้นรนสุดๆ
แต่ทุกวันนี้มันคุ้มค่าที่เรียนจนจบ บอกเลยชีวิตดี๊ดี น้องๆที่กำลังเรียนอยู่พ่อแม่ส่งให้เรียนสบายๆ ตั้งใจเรียนนะคะ พี่อิฉฉามาก