จากมติชนออนไลน์
เมื่อพูดถึง "เร แมคโดนัลด์" หลายคนคงนึกถึงพิธีกรหนุ่มมาดกวน ผู้แจ้งเกิดจาก "Teentalk" รายการวัยรุ่นชื่อดังแห่งยุค 90 ที่มีภาพจำติดตาเป็นหนุ่มลูกครึ่งหลงทางแบกเป้ขึ้นหลัง ถ่ายรายการท่องเที่ยวแบบแบ็กเพ็กเกอร์ด้วยสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าเฉพาะตัวมาจนถึงทุกวันนี้
ทว่าภาพจำของลูกครึ่งไทย-สก็อตต์รายนี้ไม่ได้มีแค่พิธีกรเท่านั้น "เร แมคโดนัลด์" ยังเป็นนักแสดงมากความสามารถ ผู้ก้าวขึ้นมาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเวทีสุพรรณหงส์ 2 ปีซ้อนจาก "ฝันบ้าคาราโอเกะ(2540)" และ "รัก-ออกแบบไม่ได้(2541)" ซึ่งเป็นผลงานการแสดง 2 เรื่องแรกในชีวิตของเขา
ด้วยบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ จดจำง่าย บวกกับการแสดงที่พลิกบทบาทได้สมจริงไม่ว่าจะสวมบทบาทใด เราจึงมีผลงานหนังตามมาอีกมากมาย นับได้ 16 เรื่องในรอบ 17 ปี
หนุ่มลูกครึ่งบุคลิกกวนผู้นี้จึงยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเดินทางบนเส้นทางบันเทิงในตอนนี้ ได้ก้าวหน้ามาไกล จนคิดว่าใกล้ถึงปลายทางงานเบื้องหน้าแล้ว เพียงแต่ยังบอกไม่ได้ชัดว่าอีกนานแค่ไหน
แต่ก่อนจะสุดเส้นทางนั้น มาดูในตอนนี้นักแสดงหนุ่มกำลังมีผลงานเรื่องใหม่คือ "บองสรันโอน" หนังรักดราม่าสยองขวัญ ใช้ชื่อเป็นภาษากัมพูชา แปลเป็นไทยว่า "พี่รักน้อง" เรประกบคู่กับ "ซาราย สักขณา" นางเอกสาวซุป′ตาร์ชาวกัมพูชา ซึ่งได้ "ศิวภรณ์ พงษ์สุวรรณ" มารับหน้าที่กำกับเรื่องราวของ ดล (รับบทโดย เร) กราฟิกดีไซเนอร์ ผู้หวนกลับมาเช่าห้องพักเดิมที่เคยอยู่กับแฟนสาวในอดีต เพื่อรำลึกถึงความหลังและรอคอยให้แฟนสาวกลับมา แต่กลับเกิดเหตุการณ์ลึกลับสยองขวัญขึ้นภายในห้อง จนเป็นสาเหตุให้เขาต้องเดินทางไปหาคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดที่กัมพูชา
เร กล่าวถึงการสวมแคแร็กเตอร์ ดล ในเรื่องว่า ต้องเล่นเป็นคนที่มีปมในใจ ทำให้เวลาแสดงออกมาจึงเป็นแบบมินิมอล เล่นน้อย ๆ เน้นอินเนอร์ เพราะบางทีการเล่นเยอะไม่ได้หมายความว่าจะพาวเวอร์ฟูล ตรงกันข้ามบางทีเล่นน้อยอาจจะส่งผลทางความรู้สึกได้มากกว่า
"เคยสังเกตไหมว่านักแสดงบางคนแค่นั่งนิ่ง ๆ ก็สื่ออารมณ์ออกมาได้หลายทาง แต่บอกตรง ๆ เลยว่านี่เป็นทางที่ไม่ค่อยถนัดแต่มันก็มีความท้าทายดีว่า คนดูจะเชื่อและเห็นในสิ่งที่เราแสดงไปหรือเปล่า"
ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ตั้งชื่อเป็นภาษากัมพูชาได้นักแสดงชื่อดังกัมพูชามาร่วมแสดง แถมยังมีซีนสำคัญที่เดินทางไปถ่ายทำถึงกัมพูชา ประกอบกับ เร ยังคงทำรายการท่องเที่ยว "72 ชั่วโมง" พาเที่ยวในละแวกประเทศเพื่อนบ้านในช่วง 3 วัน 2 คืน ทำให้น่าสนใจว่าตัวหนังให้ภาพกัมพูชาไปในทิศทางไหน
"เรื่องนี้ค่อนข้างเซ็นซิทีฟมากทีเดียว ยังไม่ค่อยกล้าตอบมากสักเท่าไหร่ อีกอย่างตอบไปเดี๋ยวมันจะเป็นการสปอยล์หนังด้วย แต่ขอเล่าประสบการณ์ที่เคยไปถ่ายรายการท่องเที่ยวที่กัมพูชาแล้วกัน เพราะไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ได้การต้อนรับอย่างดีเสมอ ไม่ต่อต้าน, รังเกียจ หรือมองคนไทยในแง่ลบ แต่ประเด็นที่มักถูกหยิบมาเป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนตัวคิดว่ามาจากการที่คนทั้ง 2 ประเทศถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมือง เพื่อปลุกปั่นกระแสรักชาติเท่านั้น"
เร เล่าว่า ต่อให้ประเทศในย่านอาเซียนมีปัญหาขัดแย้งกัน สุดท้ายต้องยอมรับว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ถึงอยากย้ายบ้านออกไปก็ทำไม่ได้ ต้องอยู่ติดกันแบบนี้ในท้ายที่สุด ดังนั้นทางที่ดีคือต้องประนีประนอมยอมรับกัน ให้ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้มากขึ้น และมองกันแบบบ้านพี่เมืองน้องให้ได้
นี่คือประสบการณ์ที่นักเดินทางสะท้อนผ่านสายตาที่เขาได้ประสบด้วยตัวเองมาถ่ายทอดให้ฟังพระเอกมาดกวนบรรยายบรรยากาศและอารมณ์ผลงานชิ้นล่าสุดของตัวเองว่า คล้ายคลึงกับการเข้าไปอยู่ในห้องหรือสถานที่เก่า ๆ ได้เจอสิ่งของหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มีความทรงจำเดิมเมื่อครั้งอดีตแฝงอยู่กับสิ่งของเหล่านั้น บางครั้งก็อาจจะพาเรากลับไปยังความจำเดิมที่มีทั้งความสุขและความทุกข์
"ตัวผมเวลาไปเจอสิ่งเตือนความทรงจำเก่า ๆ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยซีเรียสหรือรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ต่อให้ของสิ่งนั้นจะเป็นของแฟนเก่าเราก็ตาม เพราะผมจะคิดถึงแค่ช่วงเวลาที่มีความสุขเท่านั้น อีกอย่างคือไม่รู้ว่าจะซีเรียสไปทำไมในเมื่อมันผ่านมาได้แล้ว แถมยิ่งวันเวลาผ่านไปความซีเรียสมันจะเบาลง จนสุดท้ายก็จะกลายเป็นเรื่องตลก และเป็นบทเรียนหรือบททดสอบบางอย่างในชีวิตของเรา"
เร ย้อนประสบการณ์แย่ ๆ ในอดีตให้ฟังว่า ส่วนมากมักเป็นคำพูดดูถูกหรือสบประมาทจากคนอื่นอย่าง "ทำไม่ได้หรอก"
ที่ช่วงแรกอาจจะรู้สึกไม่ค่อยโอเคมากนัก ทว่าพอเริ่มเติบโตขึ้นมาก็เริ่มมองว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่การดูถูก แต่มองให้เป็นเชื้อเพลิงและแรงกระตุ้นท้าทายตัวเองว่า "เราทำได้"
"สำหรับคำชมคำสรรเสริญที่ได้รับมา ส่วนใหญ่จะปล่อยให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะผมไม่ค่อยเชื่อในสิ่งเหล่านั้นและคิดว่าตัวเองยังด้อยอยู่มาก ดังนั้น เวลามีใครชมเราจะมองว่าเขามารยาทดี แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่คอมเมนต์แย่ ๆ ใส่เรามารยาทไม่ดีนะ เพราะอันนั้นถือเป็นสุดยอดแห่งคอมเมนต์ช่วยทำให้เราเห็นจุดบกพร่องและพัฒนาตัวเองได้ต่อไปอีก แต่ถ้าเงียบกริบนี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันแสดงว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับงานเราเลย"
ความจริงก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 16 ปีก่อน เร เคยได้รับประสบการณ์เงียบกริบมาแล้วกับผลงานลำดับที่ 3 หลังประสบความสำเร็จมากมายจากหนัง 2 เรื่องแรก ทำให้ตัวเขาถึงกับเสียเซลฟ์มาก ถึงขนาดเลือกดูหนังของตัวเองหลังเข้าโรงแล้ว 4 ปีเป็นอย่างน้อย
"อีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่กล้าดูงานของตัวเองในโรง ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่คอนโทรลไม่ได้ เวลาดูมักจะรู้สึกว่าน่าจะทำแก้ตรงนั้นตรงนี้ให้ดีขึ้นตลอด เลยทำให้เรารู้สึกไม่อยากดู ไม่ชอบการแสดงของตัวเอง เราอี๋เลยแหละ แต่ด้วยความที่ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น สุดท้ายจำเป็นต้องดู เพียงแต่ขอเว้นระยะออกไปสักหน่อยเพราะถ้าต้องดูเลยทันทีก็ขอโหลดมาดูอยู่บ้าน ไม่ก็รอแผ่นหน้าแมงป่องลดราคา 19 บาทอะไรอย่างนี้แทน(หัวเราะ)"
เร แสดงความเห็นอย่างเปิดเผยว่า จากแนวคิดเลือกดูหนังของตัวเองจากกระบะลดราคาหน้าร้านดีวีดี สามารถนำมาอธิบายภาพรวมของการเลือกดูหนังในโรงของคนไทยได้ เพราะการตัดสินใจดูหนังไทยในโรงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก หากตั๋วราคาเกือบ 200 บาทเท่ากัน สามารถดูหนังฮอลลีวูดทุนสร้าง 3 หมื่นล้านบาทได้เหมือนกัน
"ความจริงคิดว่าที่คนสมัยนี้เริ่มแขยงหนังไทย มันไม่ได้เกิดจากทุนสร้างที่น้อยกว่าฮอลลีวูดหรอก แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณทำการบ้านมาดีแค่ไหน ได้รีเสิร์ชข้อมูลมาดีหรือยัง ทำซ้ำหรือเปล่า ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ค่ายหนังต้องไปพิจารณากันเอาเอง เราคงไปเรียกใครมาปรับทัศนคติบังคับให้ชอบดูหนังไทยไม่ได้ ถ้าหนังดี หนังโดน คนก็เชื่อถือเข้ามาดูแล้วอิ่มออกไป แต่ไม่ใช่อิ่มป๊อปคอร์นนะ(ฮา) ต้องอิ่มที่ตัวหนัง เราเชียร์ทุกค่ายหนังให้ช่วยกันเรียกศรัทธาคืนมาอีกหน"
ส่วน บองสรันโอน ผลงานเรื่องล่าสุดของ เร แมคโนนัลด์ จะสร้างศรัทธาเรียกคนเข้าโรงได้หรือไม่นั้น เจ้าตัวยอมรับว่ายังคงต้องลุ้นกันต่อไปไม่ให้กระแสเงียบเหมือนเมื่อ 16 ปีก่อนอีกหน
"เร แมคโดนัลด์" เปิดประตูอาเซียน เล่นหนังดราม่า-สยองขวัญกัมพูชา
เมื่อพูดถึง "เร แมคโดนัลด์" หลายคนคงนึกถึงพิธีกรหนุ่มมาดกวน ผู้แจ้งเกิดจาก "Teentalk" รายการวัยรุ่นชื่อดังแห่งยุค 90 ที่มีภาพจำติดตาเป็นหนุ่มลูกครึ่งหลงทางแบกเป้ขึ้นหลัง ถ่ายรายการท่องเที่ยวแบบแบ็กเพ็กเกอร์ด้วยสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าเฉพาะตัวมาจนถึงทุกวันนี้
ทว่าภาพจำของลูกครึ่งไทย-สก็อตต์รายนี้ไม่ได้มีแค่พิธีกรเท่านั้น "เร แมคโดนัลด์" ยังเป็นนักแสดงมากความสามารถ ผู้ก้าวขึ้นมาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเวทีสุพรรณหงส์ 2 ปีซ้อนจาก "ฝันบ้าคาราโอเกะ(2540)" และ "รัก-ออกแบบไม่ได้(2541)" ซึ่งเป็นผลงานการแสดง 2 เรื่องแรกในชีวิตของเขา
ด้วยบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ จดจำง่าย บวกกับการแสดงที่พลิกบทบาทได้สมจริงไม่ว่าจะสวมบทบาทใด เราจึงมีผลงานหนังตามมาอีกมากมาย นับได้ 16 เรื่องในรอบ 17 ปี
หนุ่มลูกครึ่งบุคลิกกวนผู้นี้จึงยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเดินทางบนเส้นทางบันเทิงในตอนนี้ ได้ก้าวหน้ามาไกล จนคิดว่าใกล้ถึงปลายทางงานเบื้องหน้าแล้ว เพียงแต่ยังบอกไม่ได้ชัดว่าอีกนานแค่ไหน
แต่ก่อนจะสุดเส้นทางนั้น มาดูในตอนนี้นักแสดงหนุ่มกำลังมีผลงานเรื่องใหม่คือ "บองสรันโอน" หนังรักดราม่าสยองขวัญ ใช้ชื่อเป็นภาษากัมพูชา แปลเป็นไทยว่า "พี่รักน้อง" เรประกบคู่กับ "ซาราย สักขณา" นางเอกสาวซุป′ตาร์ชาวกัมพูชา ซึ่งได้ "ศิวภรณ์ พงษ์สุวรรณ" มารับหน้าที่กำกับเรื่องราวของ ดล (รับบทโดย เร) กราฟิกดีไซเนอร์ ผู้หวนกลับมาเช่าห้องพักเดิมที่เคยอยู่กับแฟนสาวในอดีต เพื่อรำลึกถึงความหลังและรอคอยให้แฟนสาวกลับมา แต่กลับเกิดเหตุการณ์ลึกลับสยองขวัญขึ้นภายในห้อง จนเป็นสาเหตุให้เขาต้องเดินทางไปหาคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดที่กัมพูชา
เร กล่าวถึงการสวมแคแร็กเตอร์ ดล ในเรื่องว่า ต้องเล่นเป็นคนที่มีปมในใจ ทำให้เวลาแสดงออกมาจึงเป็นแบบมินิมอล เล่นน้อย ๆ เน้นอินเนอร์ เพราะบางทีการเล่นเยอะไม่ได้หมายความว่าจะพาวเวอร์ฟูล ตรงกันข้ามบางทีเล่นน้อยอาจจะส่งผลทางความรู้สึกได้มากกว่า
"เคยสังเกตไหมว่านักแสดงบางคนแค่นั่งนิ่ง ๆ ก็สื่ออารมณ์ออกมาได้หลายทาง แต่บอกตรง ๆ เลยว่านี่เป็นทางที่ไม่ค่อยถนัดแต่มันก็มีความท้าทายดีว่า คนดูจะเชื่อและเห็นในสิ่งที่เราแสดงไปหรือเปล่า"
ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ตั้งชื่อเป็นภาษากัมพูชาได้นักแสดงชื่อดังกัมพูชามาร่วมแสดง แถมยังมีซีนสำคัญที่เดินทางไปถ่ายทำถึงกัมพูชา ประกอบกับ เร ยังคงทำรายการท่องเที่ยว "72 ชั่วโมง" พาเที่ยวในละแวกประเทศเพื่อนบ้านในช่วง 3 วัน 2 คืน ทำให้น่าสนใจว่าตัวหนังให้ภาพกัมพูชาไปในทิศทางไหน
"เรื่องนี้ค่อนข้างเซ็นซิทีฟมากทีเดียว ยังไม่ค่อยกล้าตอบมากสักเท่าไหร่ อีกอย่างตอบไปเดี๋ยวมันจะเป็นการสปอยล์หนังด้วย แต่ขอเล่าประสบการณ์ที่เคยไปถ่ายรายการท่องเที่ยวที่กัมพูชาแล้วกัน เพราะไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ได้การต้อนรับอย่างดีเสมอ ไม่ต่อต้าน, รังเกียจ หรือมองคนไทยในแง่ลบ แต่ประเด็นที่มักถูกหยิบมาเป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนตัวคิดว่ามาจากการที่คนทั้ง 2 ประเทศถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมือง เพื่อปลุกปั่นกระแสรักชาติเท่านั้น"
เร เล่าว่า ต่อให้ประเทศในย่านอาเซียนมีปัญหาขัดแย้งกัน สุดท้ายต้องยอมรับว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ถึงอยากย้ายบ้านออกไปก็ทำไม่ได้ ต้องอยู่ติดกันแบบนี้ในท้ายที่สุด ดังนั้นทางที่ดีคือต้องประนีประนอมยอมรับกัน ให้ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้มากขึ้น และมองกันแบบบ้านพี่เมืองน้องให้ได้
นี่คือประสบการณ์ที่นักเดินทางสะท้อนผ่านสายตาที่เขาได้ประสบด้วยตัวเองมาถ่ายทอดให้ฟังพระเอกมาดกวนบรรยายบรรยากาศและอารมณ์ผลงานชิ้นล่าสุดของตัวเองว่า คล้ายคลึงกับการเข้าไปอยู่ในห้องหรือสถานที่เก่า ๆ ได้เจอสิ่งของหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มีความทรงจำเดิมเมื่อครั้งอดีตแฝงอยู่กับสิ่งของเหล่านั้น บางครั้งก็อาจจะพาเรากลับไปยังความจำเดิมที่มีทั้งความสุขและความทุกข์
"ตัวผมเวลาไปเจอสิ่งเตือนความทรงจำเก่า ๆ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยซีเรียสหรือรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ต่อให้ของสิ่งนั้นจะเป็นของแฟนเก่าเราก็ตาม เพราะผมจะคิดถึงแค่ช่วงเวลาที่มีความสุขเท่านั้น อีกอย่างคือไม่รู้ว่าจะซีเรียสไปทำไมในเมื่อมันผ่านมาได้แล้ว แถมยิ่งวันเวลาผ่านไปความซีเรียสมันจะเบาลง จนสุดท้ายก็จะกลายเป็นเรื่องตลก และเป็นบทเรียนหรือบททดสอบบางอย่างในชีวิตของเรา"
เร ย้อนประสบการณ์แย่ ๆ ในอดีตให้ฟังว่า ส่วนมากมักเป็นคำพูดดูถูกหรือสบประมาทจากคนอื่นอย่าง "ทำไม่ได้หรอก"
ที่ช่วงแรกอาจจะรู้สึกไม่ค่อยโอเคมากนัก ทว่าพอเริ่มเติบโตขึ้นมาก็เริ่มมองว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่การดูถูก แต่มองให้เป็นเชื้อเพลิงและแรงกระตุ้นท้าทายตัวเองว่า "เราทำได้"
"สำหรับคำชมคำสรรเสริญที่ได้รับมา ส่วนใหญ่จะปล่อยให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะผมไม่ค่อยเชื่อในสิ่งเหล่านั้นและคิดว่าตัวเองยังด้อยอยู่มาก ดังนั้น เวลามีใครชมเราจะมองว่าเขามารยาทดี แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่คอมเมนต์แย่ ๆ ใส่เรามารยาทไม่ดีนะ เพราะอันนั้นถือเป็นสุดยอดแห่งคอมเมนต์ช่วยทำให้เราเห็นจุดบกพร่องและพัฒนาตัวเองได้ต่อไปอีก แต่ถ้าเงียบกริบนี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันแสดงว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับงานเราเลย"
ความจริงก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 16 ปีก่อน เร เคยได้รับประสบการณ์เงียบกริบมาแล้วกับผลงานลำดับที่ 3 หลังประสบความสำเร็จมากมายจากหนัง 2 เรื่องแรก ทำให้ตัวเขาถึงกับเสียเซลฟ์มาก ถึงขนาดเลือกดูหนังของตัวเองหลังเข้าโรงแล้ว 4 ปีเป็นอย่างน้อย
"อีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่กล้าดูงานของตัวเองในโรง ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่คอนโทรลไม่ได้ เวลาดูมักจะรู้สึกว่าน่าจะทำแก้ตรงนั้นตรงนี้ให้ดีขึ้นตลอด เลยทำให้เรารู้สึกไม่อยากดู ไม่ชอบการแสดงของตัวเอง เราอี๋เลยแหละ แต่ด้วยความที่ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น สุดท้ายจำเป็นต้องดู เพียงแต่ขอเว้นระยะออกไปสักหน่อยเพราะถ้าต้องดูเลยทันทีก็ขอโหลดมาดูอยู่บ้าน ไม่ก็รอแผ่นหน้าแมงป่องลดราคา 19 บาทอะไรอย่างนี้แทน(หัวเราะ)"
เร แสดงความเห็นอย่างเปิดเผยว่า จากแนวคิดเลือกดูหนังของตัวเองจากกระบะลดราคาหน้าร้านดีวีดี สามารถนำมาอธิบายภาพรวมของการเลือกดูหนังในโรงของคนไทยได้ เพราะการตัดสินใจดูหนังไทยในโรงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก หากตั๋วราคาเกือบ 200 บาทเท่ากัน สามารถดูหนังฮอลลีวูดทุนสร้าง 3 หมื่นล้านบาทได้เหมือนกัน
"ความจริงคิดว่าที่คนสมัยนี้เริ่มแขยงหนังไทย มันไม่ได้เกิดจากทุนสร้างที่น้อยกว่าฮอลลีวูดหรอก แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณทำการบ้านมาดีแค่ไหน ได้รีเสิร์ชข้อมูลมาดีหรือยัง ทำซ้ำหรือเปล่า ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ค่ายหนังต้องไปพิจารณากันเอาเอง เราคงไปเรียกใครมาปรับทัศนคติบังคับให้ชอบดูหนังไทยไม่ได้ ถ้าหนังดี หนังโดน คนก็เชื่อถือเข้ามาดูแล้วอิ่มออกไป แต่ไม่ใช่อิ่มป๊อปคอร์นนะ(ฮา) ต้องอิ่มที่ตัวหนัง เราเชียร์ทุกค่ายหนังให้ช่วยกันเรียกศรัทธาคืนมาอีกหน"
ส่วน บองสรันโอน ผลงานเรื่องล่าสุดของ เร แมคโนนัลด์ จะสร้างศรัทธาเรียกคนเข้าโรงได้หรือไม่นั้น เจ้าตัวยอมรับว่ายังคงต้องลุ้นกันต่อไปไม่ให้กระแสเงียบเหมือนเมื่อ 16 ปีก่อนอีกหน