ตอนสุดท้าย ปีเตอร์ แพน (Peter Pan)
ผลงานนักประพันธ์ชาวสก็อต J. M. Barrie
เขียนเป็นละครในปี 1904 เขียนเป็นนวนิยายในปี 1911
ทุกค่ำคืน ณ เคนซิงตัน กรุงลอนดอน คุณนายแมรี่ ดาร์ลิ่ง จะคอยเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกๆทั้งสามได้เพลิดเพลินก่อนเข้าสู่นิทรา ปีเตอร์ แพน มักมาคอยแอบฟังตรงหน้าต่างห้องที่เปิดทิ้งไว้ คืนหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ ขณะพยายามดิ้นรนหลบหนี ปีเตอร์ แพนจำต้องยอมทิ้งเงาของตนไว้ในห้องของเด็กๆแล้วหนีจากไป พอสบโอกาสเข้ามาเอาคืน ก็บังเอิญปลุกให้เด็กหญิง เว็นดี้ ดาร์ลิ่ง ลูกคนโตของคุณนายแมรี่ ตื่นขึ้นมาพบ เขารู้ว่าเว็นดี้รู้เรื่องราวนิทานก่อนนอนมากมาย จึงออกอุบายชักชวนเธอไปยัง เนเวอร์แลนด์ ดินแดนซ้อนมิติซึ่งเป็นที่อาศัยของตนและสมัครพรรคพวกกลุ่มเด็กหลง เด็กๆที่ถูกทอดทิ้งไร้ที่พักพิง ด้วยหวังใจว่า เว็นดี้จะยอมเป็นแม่ของเด็กเหล่านั้นและเล่านิทานสนุกๆให้พวกเขาฟัง เว็นดี้ตอบตกลง จึงเดินทางไปกับปีเตอร์ พร้อมด้วยน้องชายอีกสองคน จอห์นและไมเคิล ซึ่งตื่นขึ้นมาร่วมเหตุการณ์พอดี โดยมีภูตสาวตัวน้อย ธิงเคอร์ เบลล์ ผู้คอยติดตามช่วยเหลือปีเตอร์ แพนด้วยหัวใจรักและซื่อสัตย์ ช่วยให้เด็กๆโบยบินทะลุผ่านมิติไป
เรื่องราวการผจญภัยต่างๆเกิดขึ้นตอนเดินทางสู่เนเวอร์แลนด์ เด็กๆถูกห่ากระสุนยิงเข้าใส่ขณะบินอยู่กลางท้องฟ้า เว็นดี้เกือบสิ้นชีพด้วยฝีมือเด็กหลงคนหนึ่ง ครั้นมาถึง ปีเตอร์ แพนและกลุ่มเด็กหลงช่วยกันสร้างบ้านให้เธอ (เป็นลักษณะบ้านหลังเล็กบนต้นไม้ที่เด็กฝรั่งชอบมีตามที่เห็นบ่อยๆในหนัง เรียกว่า เว็นดี้ เฮ้าส์) ไม่นานจอห์นกับไมเคิลก็ปรับตัวเข้ากับกลุ่มเด็กหลงได้อย่างกลมกลืน ปีเตอร์เลี้ยงต้อนรับเว็นดี้ภายในบ้านใต้ดินของเขาและเว็นดี้ยินดีรับบทบาทคุณแม่เล่านิทานก่อนนอน สร้างความสุขแก่เด็กๆ
ปีเตอร์ แพน นำพาพี่น้องดาร์ลิ่งสู่การผจญภัยอีกหลายครั้ง ครั้งที่อันตรายรุนแรงเกิดขึ้น ณ อ่าวนางเงือก สถานที่ซึ่งเขาและเพื่อนๆให้ความช่วยเหลือแก่ ไทเกอร์ ลิลลี่ เจ้าหญิงเผ่าอินเดียนเผ่าหนึ่งบนเกาะ และต้องเข้าไปเกี่ยวข้องสู้รบกับกลุ่มโจรสลัดซึ่งมีกัปตัน เจมส์ ฮุค คู่ปรับเก่าเป็นหัวหน้า ครั้งหนึ่ง ปีเตอร์ แพนเคยทำให้จรเข้กัดกินแขนข้างหนึ่งของเขา เขาจึงต้องใช้ตะขอแขนเทียมแทน สร้างรอยแค้นฝังลึกให้กับกัปตันผู้ชั่วช้าคนนี้ ถึงกับอาฆาตจองเวรตามล่าตามล้างปีเตอร์ แพนไปทุกที่ ขณะเดียวกัน เจ้าจรเข้ตัวนั้นก็ติดใจรสชาติเลือดเนื้อจากแขนข้างนั้น จึงออกติดตามไล่ล่ากัปตันไปทุกหนแห่ง หวังเขมือบกินทุกส่วนร่างกายที่ยังเหลืออยู่ เมื่อตอนที่กลืนแขนกัปตันฮุคลงท้องไป เจ้าจรเข้ยังได้กลืนเอานาฬิกาลงไปด้วย เมื่อไปในที่แห่งไหนก็จะมีเสียงเดิน “ติ๊ก…ต๊ก...ติ๊ก...ต๊ก” ดังเป็นสัญญาณที่รู้กัน ในคราวนี้ ปีเตอร์ แพนพลาดท่าโดนแทงอาการสาหัส คิดว่าคงต้องตายแน่แล้วเมื่อโดนทิ้งไว้บนโขดหินขณะน้ำเอ่อล้นท้วมขึ้นมาเรื่อยๆ โชคดีที่นกยักษ์ตัวหนึ่งช่วยเหลือและให้ใช้รังอาศัยเป็นเรือแล่นกลับไป
เนื่องจากได้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงของเขาเอาไว้ พวกชาวเผ่าอินเดียนจึงยอมสิโรราบต่อปีเตอร์ แพน ช่วยป้องกันดินแดนอันเป็นบ้านจากการรุกรานของพวกโจรสลัด ขณะเดียวกัน เว็นดี้ค่อยๆตกหลุมรักในตัวปีเตอร์ แพน เป็นความรักแรกของเด็กน้อย เธอสอบถามถึงความรู้สึกที่เขามีต่อตน ปีเตอร์ให้คำตอบว่า เขาเหมือนเป็นลูกชายที่ซื่อสัตย์ต่อเธอ วันหนึ่ง ขณะเล่านิทานก่อนนอนให้กลุ่มเด็กหลงและน้องชายฟัง เว็นดี้คิดถึงผู้เป็นพ่อแม่ จึงตัดสินใจพาน้องๆกลับบ้านไปหาพวกเขาในกรุงลอนดอน ระหว่างเดินทางกลับ เว็นดี้และเด็กๆ ถูกจับตัวไว้โดยกัปตันฮุค ผู้พยายามวางยาพิษปีเตอร์ แพนขณะนอนหลับ เมื่อตื่นขึ้น นางฟ้างธิงเคอร์ เบลล์ ปรากฏกาย บอกข่าวการลักพาตัวเว็นดี้และเด็กๆ พร้อมชิงเอายาพิษนั้นมาดื่มเสียเอง ยังผลให้เธอแทบเสียชีวิต เธอบอกกับปีเตอร์ แพนว่า ตราบใดที่เด็กทั้งหลายยังเชื่อและชื่นชมเรื่องราวเทพยดานางฟ้ากันอยู่ เธอก็จะอยู่รอดปลอดภัย
ปีเตอร์ แพน รีบรุดไปยังเรือโจรสลัด ระหว่างทาง ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าจรเข้ “ติ๊ก…ต๊ก” เขาตัดสินใจประดิษฐ์เครื่องทำเสียงเลียนแบบ “ติ๊ก…ต๊ก...ติ๊ก...ต๊ก” ติดตัวไว้ เพื่อที่สัตว์ร้ายต่างๆ จะจำเสียงได้และไม่กร่ำกรายเข้ามาใกล้ โดยลืมไปว่าเสียงนั้นคงดังอยู่ตลอดแม้เมื่อขึ้นไปอยู่บนเรือโจรสลัดแล้ว ฝ่ายกัปตันฮุคเมื่อได้ยินเสียง “ติ๊ก…ต๊ก” ก็เกิดอาการลนลานขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยเข้าใจว่าเป็นจรเข้ตัวร้ายไล่ล่าใกล้เข้ามา ขณะที่โจรสลัดทั้งหลายพยายามค้นหาตัวจรเข้ ปีเตอร์ แพนสบโอกาสลอบเข้าไปในห้องบังคับเรือ ขโมยเอากุญแจห้องจองจำไปไขช่วยทุกคนออกมาสำเร็จ กว่ากัปตันฮุคจะเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ต้นเสียงที่เขาหวาดกลัวมิได้มาจากจรเข้ก็สายเสียแล้ว เขาโดนปีเตอร์ แพนกำราบลงอย่างง่ายดาย โดนถีบส่งลงไปให้เจ้าจรเข้คู่อริที่อ้าปากรออยู่ในน้ำ เมื่อสิ้นกัปตัน ปีเตอร์ แพนได้ควบคุมเรือ แล่นออกทะเลมุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอนพร้อมเหล่าพวกพ้องเด็กหลง
เว็นดี้ตัดสินใจได้ว่าที่ทางของเธอคือบ้านและครอบครัว สร้างความยินดีเป็นล้นพ้นต่อมารดาผู้รอคอยด้วยหัวใจแทบสลาย เว็นดี้พาเด็กหลงทั้งหมดกลับมายังกรุงลอนดอน เว้นปีเตอร์ แพนคนเดียว ก่อนเว็นดี้กับน้องชายจะกลับถึงบ้าน ปีเตอร์ แพนบินล่วงหน้ามาก่อน พยายามปิดหน้าต่างเอาไว้เพื่อให้เว็นดี้เห็นว่า พ่อแม่ได้ลืมเธอเสียแล้ว แต่เมื่อรับรู้ถึงความทุกข์ใจของคุณนายดาร์ลิ่ง เขาจึงปล่อยหน้าต่างเปิดอ้าทิ้งไว้และบินจากไปอย่างขมขื่น ปีเตอร์ แพนกลับมาเพียงชั่วครู่ พบปะกับคุณนายดาร์ลิ่งซึ่งยอมรับเลี้ยงดูเด็กหลงเหล่านั้นเป็นบุตรบุญธรรม เธอยินดีรับปีเตอร์ แพนด้วยเช่นกัน แต่เขาปฏิเสธ ด้วยเกรงว่า “จะถูกจับเลี้ยงดูและให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่” เป็นเหมือนปริศนาให้คิดว่า แมรี่ ดาร์ลิ่ง เคยรู้จัก ปีเตอร์ แพน เมื่อครั้งที่เธอเป็นเด็กน้อย เพราะเธอมีสีหน้าแปรเปลี่ยนยามเมื่อปีเตอร์ แพนจากไป
ปีเตอร์ แพนสัญญาจะกลับมาหาเว็นดี้ทุกๆฤดูใบไม้ผลิ ในฉากสุดท้ายของบทละคร เว็นดี้มองออกไปทางหน้าต่างห้อง กล่าวกระซิปไปในท้องฟ้าว่า “เธอคงไม่ลืมกลับมาหาฉันนะ ปีเตอร์ ขออย่าได้ลืมนะ”
ปีเตอร์ แพนกลับมาตามสัญญา เวลาผ่านไป เขารู้สึกเศร้าโศกและทรมานใจเหมือนโดนทรยศหักหลัง เมื่อได้เห็นเว็นดี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ กระทั่งเด็กหญิง เจน ลูกน้อยของเว็นดี้ตกลงติดตามเขาไปสู่เนเวอร์แลนด์ เป็นคุณแม่คนใหม่ เมื่อเจนเติบใหญ่ขึ้น ปีเตอร์ แพนได้นำลูกของเธอ มาร์กาเร็ต ไปยังเนเวอร์แลนด์ เป็นวงจรหมุนเวียนเรื่อยไปตราบเท่าที่เด็กๆทั้งหลายยังคงมี “ความไร้เดียงสาและจินตนาการ” อยู่ในหัวใจ....
เริ่มต้นจาก พิน็อคคิโอ้ หุ่นไม้แกะสลักที่ไขว่คว้าหาความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ จบลงด้วย ปีเตอร์ แพน สัญลักษณ์แห่งเยาว์วัยไปตลอดกาล เรื่องราวต่างๆถูกขับเคลื่อนด้วยพลังและอารมณ์อันอ่อนไหวไร้มารยาแห่งวัยเยาว์ มุมมองและคุณค่าแห่งความดีงาม ความชั่วร้าย ความรัก ความเกลียดชัง ความอาฆาตเคียดแค้น การให้อภัย และความถูกผิด ในสายตาและการรับรู้ของดัลโพ อินฮา บอมโจ ชันซู ยูเร น่าจะตรงไปตรงมา ไร้การแทรกแซงเจือปนให้เบาบางและแปรเปลี่ยนจากสภาวะที่ควรจะเป็น ตัวตนในภายในของพวกเขาคงอ่อนเยาว์ไม่เติบโต ซื่อตรงและอ่อนไหว เฉกเช่น ปู่และพ่อของอินฮา ผู้อำนวยการข่าวและแค็ปในวายจีเอ็น เฉกเช่น ปีเตอร์ แพน ผู้ยืนหยัดมั่นคงไม่ลาจากเนเวอร์แลนด์ ตลอดไป....
อ้างอิง: ABC's Once Upon a Time
Pinocchio: ชื่อตอนแต่ละตอน ตอนสุดท้าย
ผลงานนักประพันธ์ชาวสก็อต J. M. Barrie
เขียนเป็นละครในปี 1904 เขียนเป็นนวนิยายในปี 1911
ทุกค่ำคืน ณ เคนซิงตัน กรุงลอนดอน คุณนายแมรี่ ดาร์ลิ่ง จะคอยเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกๆทั้งสามได้เพลิดเพลินก่อนเข้าสู่นิทรา ปีเตอร์ แพน มักมาคอยแอบฟังตรงหน้าต่างห้องที่เปิดทิ้งไว้ คืนหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ ขณะพยายามดิ้นรนหลบหนี ปีเตอร์ แพนจำต้องยอมทิ้งเงาของตนไว้ในห้องของเด็กๆแล้วหนีจากไป พอสบโอกาสเข้ามาเอาคืน ก็บังเอิญปลุกให้เด็กหญิง เว็นดี้ ดาร์ลิ่ง ลูกคนโตของคุณนายแมรี่ ตื่นขึ้นมาพบ เขารู้ว่าเว็นดี้รู้เรื่องราวนิทานก่อนนอนมากมาย จึงออกอุบายชักชวนเธอไปยัง เนเวอร์แลนด์ ดินแดนซ้อนมิติซึ่งเป็นที่อาศัยของตนและสมัครพรรคพวกกลุ่มเด็กหลง เด็กๆที่ถูกทอดทิ้งไร้ที่พักพิง ด้วยหวังใจว่า เว็นดี้จะยอมเป็นแม่ของเด็กเหล่านั้นและเล่านิทานสนุกๆให้พวกเขาฟัง เว็นดี้ตอบตกลง จึงเดินทางไปกับปีเตอร์ พร้อมด้วยน้องชายอีกสองคน จอห์นและไมเคิล ซึ่งตื่นขึ้นมาร่วมเหตุการณ์พอดี โดยมีภูตสาวตัวน้อย ธิงเคอร์ เบลล์ ผู้คอยติดตามช่วยเหลือปีเตอร์ แพนด้วยหัวใจรักและซื่อสัตย์ ช่วยให้เด็กๆโบยบินทะลุผ่านมิติไป
เรื่องราวการผจญภัยต่างๆเกิดขึ้นตอนเดินทางสู่เนเวอร์แลนด์ เด็กๆถูกห่ากระสุนยิงเข้าใส่ขณะบินอยู่กลางท้องฟ้า เว็นดี้เกือบสิ้นชีพด้วยฝีมือเด็กหลงคนหนึ่ง ครั้นมาถึง ปีเตอร์ แพนและกลุ่มเด็กหลงช่วยกันสร้างบ้านให้เธอ (เป็นลักษณะบ้านหลังเล็กบนต้นไม้ที่เด็กฝรั่งชอบมีตามที่เห็นบ่อยๆในหนัง เรียกว่า เว็นดี้ เฮ้าส์) ไม่นานจอห์นกับไมเคิลก็ปรับตัวเข้ากับกลุ่มเด็กหลงได้อย่างกลมกลืน ปีเตอร์เลี้ยงต้อนรับเว็นดี้ภายในบ้านใต้ดินของเขาและเว็นดี้ยินดีรับบทบาทคุณแม่เล่านิทานก่อนนอน สร้างความสุขแก่เด็กๆ
ปีเตอร์ แพน นำพาพี่น้องดาร์ลิ่งสู่การผจญภัยอีกหลายครั้ง ครั้งที่อันตรายรุนแรงเกิดขึ้น ณ อ่าวนางเงือก สถานที่ซึ่งเขาและเพื่อนๆให้ความช่วยเหลือแก่ ไทเกอร์ ลิลลี่ เจ้าหญิงเผ่าอินเดียนเผ่าหนึ่งบนเกาะ และต้องเข้าไปเกี่ยวข้องสู้รบกับกลุ่มโจรสลัดซึ่งมีกัปตัน เจมส์ ฮุค คู่ปรับเก่าเป็นหัวหน้า ครั้งหนึ่ง ปีเตอร์ แพนเคยทำให้จรเข้กัดกินแขนข้างหนึ่งของเขา เขาจึงต้องใช้ตะขอแขนเทียมแทน สร้างรอยแค้นฝังลึกให้กับกัปตันผู้ชั่วช้าคนนี้ ถึงกับอาฆาตจองเวรตามล่าตามล้างปีเตอร์ แพนไปทุกที่ ขณะเดียวกัน เจ้าจรเข้ตัวนั้นก็ติดใจรสชาติเลือดเนื้อจากแขนข้างนั้น จึงออกติดตามไล่ล่ากัปตันไปทุกหนแห่ง หวังเขมือบกินทุกส่วนร่างกายที่ยังเหลืออยู่ เมื่อตอนที่กลืนแขนกัปตันฮุคลงท้องไป เจ้าจรเข้ยังได้กลืนเอานาฬิกาลงไปด้วย เมื่อไปในที่แห่งไหนก็จะมีเสียงเดิน “ติ๊ก…ต๊ก...ติ๊ก...ต๊ก” ดังเป็นสัญญาณที่รู้กัน ในคราวนี้ ปีเตอร์ แพนพลาดท่าโดนแทงอาการสาหัส คิดว่าคงต้องตายแน่แล้วเมื่อโดนทิ้งไว้บนโขดหินขณะน้ำเอ่อล้นท้วมขึ้นมาเรื่อยๆ โชคดีที่นกยักษ์ตัวหนึ่งช่วยเหลือและให้ใช้รังอาศัยเป็นเรือแล่นกลับไป
เนื่องจากได้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงของเขาเอาไว้ พวกชาวเผ่าอินเดียนจึงยอมสิโรราบต่อปีเตอร์ แพน ช่วยป้องกันดินแดนอันเป็นบ้านจากการรุกรานของพวกโจรสลัด ขณะเดียวกัน เว็นดี้ค่อยๆตกหลุมรักในตัวปีเตอร์ แพน เป็นความรักแรกของเด็กน้อย เธอสอบถามถึงความรู้สึกที่เขามีต่อตน ปีเตอร์ให้คำตอบว่า เขาเหมือนเป็นลูกชายที่ซื่อสัตย์ต่อเธอ วันหนึ่ง ขณะเล่านิทานก่อนนอนให้กลุ่มเด็กหลงและน้องชายฟัง เว็นดี้คิดถึงผู้เป็นพ่อแม่ จึงตัดสินใจพาน้องๆกลับบ้านไปหาพวกเขาในกรุงลอนดอน ระหว่างเดินทางกลับ เว็นดี้และเด็กๆ ถูกจับตัวไว้โดยกัปตันฮุค ผู้พยายามวางยาพิษปีเตอร์ แพนขณะนอนหลับ เมื่อตื่นขึ้น นางฟ้างธิงเคอร์ เบลล์ ปรากฏกาย บอกข่าวการลักพาตัวเว็นดี้และเด็กๆ พร้อมชิงเอายาพิษนั้นมาดื่มเสียเอง ยังผลให้เธอแทบเสียชีวิต เธอบอกกับปีเตอร์ แพนว่า ตราบใดที่เด็กทั้งหลายยังเชื่อและชื่นชมเรื่องราวเทพยดานางฟ้ากันอยู่ เธอก็จะอยู่รอดปลอดภัย
ปีเตอร์ แพน รีบรุดไปยังเรือโจรสลัด ระหว่างทาง ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าจรเข้ “ติ๊ก…ต๊ก” เขาตัดสินใจประดิษฐ์เครื่องทำเสียงเลียนแบบ “ติ๊ก…ต๊ก...ติ๊ก...ต๊ก” ติดตัวไว้ เพื่อที่สัตว์ร้ายต่างๆ จะจำเสียงได้และไม่กร่ำกรายเข้ามาใกล้ โดยลืมไปว่าเสียงนั้นคงดังอยู่ตลอดแม้เมื่อขึ้นไปอยู่บนเรือโจรสลัดแล้ว ฝ่ายกัปตันฮุคเมื่อได้ยินเสียง “ติ๊ก…ต๊ก” ก็เกิดอาการลนลานขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยเข้าใจว่าเป็นจรเข้ตัวร้ายไล่ล่าใกล้เข้ามา ขณะที่โจรสลัดทั้งหลายพยายามค้นหาตัวจรเข้ ปีเตอร์ แพนสบโอกาสลอบเข้าไปในห้องบังคับเรือ ขโมยเอากุญแจห้องจองจำไปไขช่วยทุกคนออกมาสำเร็จ กว่ากัปตันฮุคจะเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ต้นเสียงที่เขาหวาดกลัวมิได้มาจากจรเข้ก็สายเสียแล้ว เขาโดนปีเตอร์ แพนกำราบลงอย่างง่ายดาย โดนถีบส่งลงไปให้เจ้าจรเข้คู่อริที่อ้าปากรออยู่ในน้ำ เมื่อสิ้นกัปตัน ปีเตอร์ แพนได้ควบคุมเรือ แล่นออกทะเลมุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอนพร้อมเหล่าพวกพ้องเด็กหลง
เว็นดี้ตัดสินใจได้ว่าที่ทางของเธอคือบ้านและครอบครัว สร้างความยินดีเป็นล้นพ้นต่อมารดาผู้รอคอยด้วยหัวใจแทบสลาย เว็นดี้พาเด็กหลงทั้งหมดกลับมายังกรุงลอนดอน เว้นปีเตอร์ แพนคนเดียว ก่อนเว็นดี้กับน้องชายจะกลับถึงบ้าน ปีเตอร์ แพนบินล่วงหน้ามาก่อน พยายามปิดหน้าต่างเอาไว้เพื่อให้เว็นดี้เห็นว่า พ่อแม่ได้ลืมเธอเสียแล้ว แต่เมื่อรับรู้ถึงความทุกข์ใจของคุณนายดาร์ลิ่ง เขาจึงปล่อยหน้าต่างเปิดอ้าทิ้งไว้และบินจากไปอย่างขมขื่น ปีเตอร์ แพนกลับมาเพียงชั่วครู่ พบปะกับคุณนายดาร์ลิ่งซึ่งยอมรับเลี้ยงดูเด็กหลงเหล่านั้นเป็นบุตรบุญธรรม เธอยินดีรับปีเตอร์ แพนด้วยเช่นกัน แต่เขาปฏิเสธ ด้วยเกรงว่า “จะถูกจับเลี้ยงดูและให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่” เป็นเหมือนปริศนาให้คิดว่า แมรี่ ดาร์ลิ่ง เคยรู้จัก ปีเตอร์ แพน เมื่อครั้งที่เธอเป็นเด็กน้อย เพราะเธอมีสีหน้าแปรเปลี่ยนยามเมื่อปีเตอร์ แพนจากไป
ปีเตอร์ แพนสัญญาจะกลับมาหาเว็นดี้ทุกๆฤดูใบไม้ผลิ ในฉากสุดท้ายของบทละคร เว็นดี้มองออกไปทางหน้าต่างห้อง กล่าวกระซิปไปในท้องฟ้าว่า “เธอคงไม่ลืมกลับมาหาฉันนะ ปีเตอร์ ขออย่าได้ลืมนะ”
ปีเตอร์ แพนกลับมาตามสัญญา เวลาผ่านไป เขารู้สึกเศร้าโศกและทรมานใจเหมือนโดนทรยศหักหลัง เมื่อได้เห็นเว็นดี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ กระทั่งเด็กหญิง เจน ลูกน้อยของเว็นดี้ตกลงติดตามเขาไปสู่เนเวอร์แลนด์ เป็นคุณแม่คนใหม่ เมื่อเจนเติบใหญ่ขึ้น ปีเตอร์ แพนได้นำลูกของเธอ มาร์กาเร็ต ไปยังเนเวอร์แลนด์ เป็นวงจรหมุนเวียนเรื่อยไปตราบเท่าที่เด็กๆทั้งหลายยังคงมี “ความไร้เดียงสาและจินตนาการ” อยู่ในหัวใจ....
เริ่มต้นจาก พิน็อคคิโอ้ หุ่นไม้แกะสลักที่ไขว่คว้าหาความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ จบลงด้วย ปีเตอร์ แพน สัญลักษณ์แห่งเยาว์วัยไปตลอดกาล เรื่องราวต่างๆถูกขับเคลื่อนด้วยพลังและอารมณ์อันอ่อนไหวไร้มารยาแห่งวัยเยาว์ มุมมองและคุณค่าแห่งความดีงาม ความชั่วร้าย ความรัก ความเกลียดชัง ความอาฆาตเคียดแค้น การให้อภัย และความถูกผิด ในสายตาและการรับรู้ของดัลโพ อินฮา บอมโจ ชันซู ยูเร น่าจะตรงไปตรงมา ไร้การแทรกแซงเจือปนให้เบาบางและแปรเปลี่ยนจากสภาวะที่ควรจะเป็น ตัวตนในภายในของพวกเขาคงอ่อนเยาว์ไม่เติบโต ซื่อตรงและอ่อนไหว เฉกเช่น ปู่และพ่อของอินฮา ผู้อำนวยการข่าวและแค็ปในวายจีเอ็น เฉกเช่น ปีเตอร์ แพน ผู้ยืนหยัดมั่นคงไม่ลาจากเนเวอร์แลนด์ ตลอดไป....
อ้างอิง: ABC's Once Upon a Time