มีคำกลอนที่คุ้นหูมาตลอดตั้งแต่วัยเยาว์ว่า
“วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย
บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย
บ้านกับวัดผลัดกันช่วยก็อวยชัย
ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง”
มาบัดนี้แม้ห่างคณะสงฆ์มาอยู่เส้นทางฆราวาส แต่จิตก็ยังคิดถึงความเป็นสงฆ์อยู่ด้วยว่าได้อาศัยได้เติบใหญ่มาภายใต้ร่มเหงาของพระศาสนา จนคิดว่านั่นคือบ้าน และเมื่อบ้านมีภัยก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งห่วงหา
นับตั้งแต่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปแนวทาง และมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานขึ้นมาดูเหมือนความวุ่นวายได้แผ่เข้ามาในวงการสงฆ์มากขึ้นตามลำดับ มากกว่าผลดี เพราะบุคคลที่นั่งอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ ไม่มีสักคนเลยที่มีความตั้งใจปรารถนาดีต่อคณะสงฆ์ ยิ่งมองลึกลงไปเท่าไร ก็ยิ่งเห็นว่า ผู้มีอำนาจในทางบ้านเมืองกำลังแบ่งเค้กกัน เหมือนที่เรามองเห็นในอดีตที่รัฐบาลอภิสิทธิ์มอบเค้กให้คนเสื้อเหลือง(คุณกษิต) หรือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มอบเค้กให้คนเสื้อแดง(คุณณัฐวุฒิ) ส่วนนี้เป็นของพุทธอิสระ และสันติอโศก มันทำให้เรามองเห็นว่า สปช.ไม่มีความจริงใจต่อพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานเลย
ไม่ใช่ว่าคณะสงฆ์มองไม่ออกว่าถึงเวลาแล้วที่คณะสงฆ์ควรจะปฏิรูป เพราะคณะสงฆ์เองมองเห็นภัยที่เกิดขึ้นและดำเนินการเรื่องปฏิรูปมาตลอดโดยการเสนอร่าง พรบ.คณะสงฆ์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (มหาคณิสสร) สาระสำคัญในพรบ.ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมนั้นก็คือ ยกฐานะ มส.ให้สูงขึ้นเสมือนเป็นสภาสูง และ แต่งตั้งสภาล่างเป็นสภามหาคณิสสร โดยการเลือกสรรพระภิกษุหนุ่มผู้มีความรู้ความสามารถให้เขามาบริหารงานคณะสงฆ์ การผลักดันร่าง พรบ.คณะสงฆ์ฉบับนี้ไปติดอยู่ในขั้นกฤษฎีกา ทุกยุคทุกสมัยทุกรัฐบาลคณะสงฆ์โดนหมางเมินจากทางบ้านเมืองมาโดยตลอด ก็เข้าใจว่าทุกรัฐบาลวุ่นอยู่กับการเอาตัวเองให้รอดเพราะไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนที่มีเสถียรภาพทางการเมืองเลย ใกล้เคียงที่สุดที่รัฐบาลเคยรับปากว่าจะสนับสนุนยกร่างพรบ.ฉบับนี้ขึ้นมาพิจารณา ก็คือรัฐบาลทักษิณสอง แต่ความหวังของทางคณะสงฆ์ก็หลุดลอยไปกับปลายกระบอกปืนเช่นเคย
มายุคนี้ สปช.บอกว่าเป็นห่วงสถานการณ์ทางคณะสงฆ์หวั่นผู้คนเกิดวิกฤตศรัทธาต่อคณะสงฆ์เลยแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา ทำไมคณะสงฆ์มองว่า ความปรารถนาดีของ สปช.ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัมมาทิฏฐิเลยหนอ อย่าเอาความเคยชินจากการก้าวล่วงประชาธิปไตยมาก้าวล่วงอธิปไตยสงฆ์เลย หากจะแบ่งเค้กให้กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็อย่านำเอาคณะสงฆ์ไปเป็นเค้กเลย และหากหวังดีต่อคณะสงฆ์ก็แค่หยิบ พรบ.คณะสงฆ์ที่อยู่ในขั้นกฤษฎีกาอันนั้นขึ้นมาปรับฝุ่น ปรับแก้ และนำบุคคลที่เป็นสัมมาทิฏฐิออกมาช่วยกันคิดช่วยกันสร้าง ไม่ใช่เอาคนจาก กปปส. เอาคนที่มีธงในการสร้างอนัตริยกรรมมาหักล้างการปกครองทางคณะสงฆ์
ทางคณะสงฆ์เองก็เห็นดีเห็นงามที่จะแก้ไขอยู่แล้ว เพียงแค่ สปช.ใส่ใจและใส่ความเป็นสัมมาทิฏฐิเข้าไปแค่นี้พระพุทธศาสนาของเราก็จะงดงามแล้ว
ขอบคุณครับ
ห่วยใยพระศาสนาครับ
บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย
บ้านกับวัดผลัดกันช่วยก็อวยชัย
ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง”
มาบัดนี้แม้ห่างคณะสงฆ์มาอยู่เส้นทางฆราวาส แต่จิตก็ยังคิดถึงความเป็นสงฆ์อยู่ด้วยว่าได้อาศัยได้เติบใหญ่มาภายใต้ร่มเหงาของพระศาสนา จนคิดว่านั่นคือบ้าน และเมื่อบ้านมีภัยก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งห่วงหา
นับตั้งแต่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปแนวทาง และมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานขึ้นมาดูเหมือนความวุ่นวายได้แผ่เข้ามาในวงการสงฆ์มากขึ้นตามลำดับ มากกว่าผลดี เพราะบุคคลที่นั่งอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ ไม่มีสักคนเลยที่มีความตั้งใจปรารถนาดีต่อคณะสงฆ์ ยิ่งมองลึกลงไปเท่าไร ก็ยิ่งเห็นว่า ผู้มีอำนาจในทางบ้านเมืองกำลังแบ่งเค้กกัน เหมือนที่เรามองเห็นในอดีตที่รัฐบาลอภิสิทธิ์มอบเค้กให้คนเสื้อเหลือง(คุณกษิต) หรือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มอบเค้กให้คนเสื้อแดง(คุณณัฐวุฒิ) ส่วนนี้เป็นของพุทธอิสระ และสันติอโศก มันทำให้เรามองเห็นว่า สปช.ไม่มีความจริงใจต่อพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานเลย
ไม่ใช่ว่าคณะสงฆ์มองไม่ออกว่าถึงเวลาแล้วที่คณะสงฆ์ควรจะปฏิรูป เพราะคณะสงฆ์เองมองเห็นภัยที่เกิดขึ้นและดำเนินการเรื่องปฏิรูปมาตลอดโดยการเสนอร่าง พรบ.คณะสงฆ์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (มหาคณิสสร) สาระสำคัญในพรบ.ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมนั้นก็คือ ยกฐานะ มส.ให้สูงขึ้นเสมือนเป็นสภาสูง และ แต่งตั้งสภาล่างเป็นสภามหาคณิสสร โดยการเลือกสรรพระภิกษุหนุ่มผู้มีความรู้ความสามารถให้เขามาบริหารงานคณะสงฆ์ การผลักดันร่าง พรบ.คณะสงฆ์ฉบับนี้ไปติดอยู่ในขั้นกฤษฎีกา ทุกยุคทุกสมัยทุกรัฐบาลคณะสงฆ์โดนหมางเมินจากทางบ้านเมืองมาโดยตลอด ก็เข้าใจว่าทุกรัฐบาลวุ่นอยู่กับการเอาตัวเองให้รอดเพราะไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนที่มีเสถียรภาพทางการเมืองเลย ใกล้เคียงที่สุดที่รัฐบาลเคยรับปากว่าจะสนับสนุนยกร่างพรบ.ฉบับนี้ขึ้นมาพิจารณา ก็คือรัฐบาลทักษิณสอง แต่ความหวังของทางคณะสงฆ์ก็หลุดลอยไปกับปลายกระบอกปืนเช่นเคย
มายุคนี้ สปช.บอกว่าเป็นห่วงสถานการณ์ทางคณะสงฆ์หวั่นผู้คนเกิดวิกฤตศรัทธาต่อคณะสงฆ์เลยแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา ทำไมคณะสงฆ์มองว่า ความปรารถนาดีของ สปช.ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัมมาทิฏฐิเลยหนอ อย่าเอาความเคยชินจากการก้าวล่วงประชาธิปไตยมาก้าวล่วงอธิปไตยสงฆ์เลย หากจะแบ่งเค้กให้กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็อย่านำเอาคณะสงฆ์ไปเป็นเค้กเลย และหากหวังดีต่อคณะสงฆ์ก็แค่หยิบ พรบ.คณะสงฆ์ที่อยู่ในขั้นกฤษฎีกาอันนั้นขึ้นมาปรับฝุ่น ปรับแก้ และนำบุคคลที่เป็นสัมมาทิฏฐิออกมาช่วยกันคิดช่วยกันสร้าง ไม่ใช่เอาคนจาก กปปส. เอาคนที่มีธงในการสร้างอนัตริยกรรมมาหักล้างการปกครองทางคณะสงฆ์
ทางคณะสงฆ์เองก็เห็นดีเห็นงามที่จะแก้ไขอยู่แล้ว เพียงแค่ สปช.ใส่ใจและใส่ความเป็นสัมมาทิฏฐิเข้าไปแค่นี้พระพุทธศาสนาของเราก็จะงดงามแล้ว
ขอบคุณครับ