สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า จุดประสงค์ที่ตั้งกระทู้นี้ เพื่ออยากให้กำลังใจกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมค่ะ เนื่องมาจาก เมื่อ13ปีที่แล้ว ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ชั้น ม.5 ในโรงเรียนประจำจังหวัด และมาอาศัยอยู่กับป้าในตัวเมือง เย็นวันหนึ่งพ่อโทรมาหาฉันด้วยน้ำเสียงที่เศร้ามาก ฉันยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี พ่อโทรมาบอกว่า แม่เป็นมะเร็งเต้านม (ถ้าจำไม่ผิดอยู่ในระยะ2) ก่อนหน้านั้น แม่มีอาการคันที่หัวนม และมีน้ำข้นๆคล้ายน้ำนมไหลออกมาตลอดเวลา สมัยนั้นแม่เข้าไปรักษาที่รพช.แห่งหนึ่ง รักษาอยู่เกือบปี ตอนแรกหมอจ่ายยาเป็นยาทา และยากิน ผ่านไปไม่หาย แม่ก็เข้าไปหาหมออีก หมอก็จ่ายยาตัวเดิม แม่แจ้งหมอไปว่าอาการไม่ดีขึ้นเลยนะ ขอตรวจมะเร็งเต้านมได้ไหม? หมอและพยาบาลในตอนนั้นตะคอกแม่กลับมาว่า อย่ารู้ดีกว่าหมอ จากนั้นจ่ายยาตัวเดิม แล้วนัด F/U 2 เดือน ผ่านไปไม่ดีขึ้นเลย แม่เข้าไปหาหมออีก ว่าช่วยส่งตัวไปรพ.ในจังหวัดได้ไหม แม่กลัวเป็นมะเร็ง ทางรพช.แจ้งมาว่า ไม่ส่งตัวให้ อยากไป ก็ไปจ่ายตังค์เอาเอง ตอนนั้นบ้านฉันไม่ค่อยมีเงินค่ะ สิทธิ์การรักษาก็ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ ก็เลยต้องยอมรักษาตัวที่รพช.ที่นั่นต่อ ผ่านไปประมาณ 8 เดือน พ่อกับแม่กลับไปพบหมออีก แจ้งหมอว่า ไม่ดีขึ้นเลย ขอตรวจมะเร็งได้ไหม? ถ้าไม่ได้ขอร้องให้หมอส่งตัวไปรพ.จังหวัดได้ไหม? คำตอบของหมอและพยาบาลที่นี่เหมือนเดิมค่ะ บอกว่าไม่ใช่มะเร็งหรอก และไม่ส่งตัวให้ ถ้าอยากไป มีตังค์ก็ไปเอง (คำพูดนี้ยังก้องในหัวฉันจนถึงทุกวันนี้นะ) ในที่สุดพ่อก็รวบรวมเงิน แล้วพาแม่ไปตรวจที่ศูนย์มะเร็ง ค่าใช้จ่ายตอนนั้นก็ถือว่าเยอะพอสมควรสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเงิน ศูนย์มะเร็งนัดฟังผล1เดือนหลังจากนั้น พอวันไปฟังผล แม่เล่าให้ฟังว่า พ่อล้มทั้งยืนเลยที่รู้ว่าแม่เป็นมะเร็งเต้านม จากนั้นศูนย์มะเร็งจึงเขียนใบให้มายื่นที่รพช.แห่งเดิม เพื่อทำใบส่งตัวเข้าไปรักษาต่อที่รพ.จังหวัด(ขอเล่าข้ามๆนะคะ)
หลังจากได้ใบส่งตัวมา แม่ก็เข้ารับการผ่าตัดเต้านมหนึ่งข้างที่รพ.จังหวัด จากนั้น แม่ก็เข้ารับการรักษาตามคอร์สค่ะ มีการให้คีโม ฉายแสง ตอนนั้น บอกเลยค่ะ ฉันคิดว่าฉันจะเสียแม่ไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว อาการของแม่แย่มากๆ แม่ดูอ่อนแอ น้ำหนักลดลงจากผู้หญิงน้ำหนัก 60 กิโล เหลือแค่ 40 กิโล ทุกครั้งที่กลับจากฉายแสง หรือให้คีโม แม่ดูเหนื่อย อ่อนเพลีย แม่ทานอาหารไม่ได้ อาเจียนและคลื่นไส้ตลอดเวลา ผมที่ดกดำของแม่เริ่มร่วง ผิวแม่เริ่มดำกร้าน แม่เรียกฉันเข้าไปคุย บอกว่า ถ้าวันหนึ่งแม่ไม่ไหว ให้ฉันสู้ต่อนะ แม่จะอยู่กับฉันเสมอ บ่อยครั้งที่ได้ยินแม่คุยกับพ่อ แล้วแม่ขอพ่อว่า อย่าทิ้งลูก คือตอนนั้น แม่เตรียมสั่งเสียทุกคนในบ้านแล้ว แม่ขอพ่อจะไม่เข้ารับคีโมและฉายแสง แม่บอกว่าแม่เหนื่อยเหลือเกิน แต่พ่อและฉัน ขอให้แม่สู้ต่อ ขอให้แม่อดทน รอให้ฉันรับปริญญาก่อน ตอนนั้นครอบครัวฉัน ร้องไห้กันแทบทุกวัน ให้กำลังใจกันในครอบครัว สรุปแม่สู้ค่ะ สู้จนครบคอร์ส หลังจากรักษาอยู่2ปี หมอนัดตรวจซ้ำ พบว่าเชื้อมะเร็งหายไปแล้ว (อันนี้ขอเล่าข้ามๆนะคะ ที่จริงตอนนั้น 2 ปีในการรักษาตัวของแม่ มันนานมากๆ เวลาและทุกความรู้สึกยังอยู่ในทุกความทรงจำ)
จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา 13 ปีแล้ว แม่หายดีแล้วค่ะ แต่ก็ต้องคอยตรวจร่างกายเสมอๆ ผมแม่ที่เคยร่วงในตอนนั้นก็ขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังบางกว่าปกติ น้ำหนักที่ลดลงในช่วงนั้น ตอนนี้ก็กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม ผิวที่ดำกร้านก็กลับมาเปล่งปลั่งเหมือนเดิม สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือนมค่ะ เพราะแม่โดนตัดนมไปหนึ่งข้าง ฉันซื้อซิลิโคนให้แม่ใส่ แต่แม่ไม่ใส่เลยนะ แม่บอกว่า เวลาไปเจอคนที่เป็นมะเร็งเต้านม แม่จะเล่าประสบการณ์ให้เค้าฟัง แล้วทำให้คนอื่นมีกำลังใจขึ้น เพราะใครๆที่ป่วยเป็นมะเร็ง ต่างก็คิดว่าไม่มีโอกาสรอด สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำให้แม่ผ่านช่วงเวลานั้นมา สิ่งแรกเลยคือกำลังใจจากครอบครัวที่ส่งผ่านไปให้กับผู้ป่วย เมื่อกำลังใจดี จะทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ การดูแล ความเข้าใจ และเอาใจใส่ก็สำคัญมาก อีกอย่างหนึ่งที่ฉันและครอบครัวเชื่อว่า มีส่วนทำให้แม่หายคือ การทำความดีค่ะ จากวันที่แม่ป่วย ครอบครัวเรา จะทำบุญ ใส่บาตรตอนเช้า คิดดี ทำดี มีโอกาสปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่าบ้าง กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แม่มักจะมีมุมมองดีๆเสมอๆในทุกๆเรื่องการคิดบวกก็ช่วยได้เป็นอย่างดีนะคะ สิ่งหนึ่งที่ฉันขอตอนที่แม่ป่วย คือขอให้แม่อยู่รอวันรับปริญญาของฉัน แต่ถึงวันนี้ ผ่านวันรับปริญญา ผ่านวันแต่งงาน และแม่ยังมีหลานอีก ตอนนี้ครอบครัวเราดีขึ้นมากกว่าตอนนั้นเยอะแล้วค่ะ ตอนนี้เวลาว่าง แม่และพ่อจะชวนกันไปปฏิบัติธรรม และทำโรงทานตามกำลังทรัพย์ที่พอจะทำได้ค่ะ
สุดท้ายนี้อยากจะให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็งทุกคน หวังว่าประสบการณ์ของแม่จะทำให้ผู้ป่วยที่กำลังเผชิญโรคร้ายอยู่มีกำลังใจขึ้นมา ไม่มากก็น้อยนะคะ
เมื่อแม่ฉันเป็นมะเร็งเต้านม......
หลังจากได้ใบส่งตัวมา แม่ก็เข้ารับการผ่าตัดเต้านมหนึ่งข้างที่รพ.จังหวัด จากนั้น แม่ก็เข้ารับการรักษาตามคอร์สค่ะ มีการให้คีโม ฉายแสง ตอนนั้น บอกเลยค่ะ ฉันคิดว่าฉันจะเสียแม่ไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว อาการของแม่แย่มากๆ แม่ดูอ่อนแอ น้ำหนักลดลงจากผู้หญิงน้ำหนัก 60 กิโล เหลือแค่ 40 กิโล ทุกครั้งที่กลับจากฉายแสง หรือให้คีโม แม่ดูเหนื่อย อ่อนเพลีย แม่ทานอาหารไม่ได้ อาเจียนและคลื่นไส้ตลอดเวลา ผมที่ดกดำของแม่เริ่มร่วง ผิวแม่เริ่มดำกร้าน แม่เรียกฉันเข้าไปคุย บอกว่า ถ้าวันหนึ่งแม่ไม่ไหว ให้ฉันสู้ต่อนะ แม่จะอยู่กับฉันเสมอ บ่อยครั้งที่ได้ยินแม่คุยกับพ่อ แล้วแม่ขอพ่อว่า อย่าทิ้งลูก คือตอนนั้น แม่เตรียมสั่งเสียทุกคนในบ้านแล้ว แม่ขอพ่อจะไม่เข้ารับคีโมและฉายแสง แม่บอกว่าแม่เหนื่อยเหลือเกิน แต่พ่อและฉัน ขอให้แม่สู้ต่อ ขอให้แม่อดทน รอให้ฉันรับปริญญาก่อน ตอนนั้นครอบครัวฉัน ร้องไห้กันแทบทุกวัน ให้กำลังใจกันในครอบครัว สรุปแม่สู้ค่ะ สู้จนครบคอร์ส หลังจากรักษาอยู่2ปี หมอนัดตรวจซ้ำ พบว่าเชื้อมะเร็งหายไปแล้ว (อันนี้ขอเล่าข้ามๆนะคะ ที่จริงตอนนั้น 2 ปีในการรักษาตัวของแม่ มันนานมากๆ เวลาและทุกความรู้สึกยังอยู่ในทุกความทรงจำ)
จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา 13 ปีแล้ว แม่หายดีแล้วค่ะ แต่ก็ต้องคอยตรวจร่างกายเสมอๆ ผมแม่ที่เคยร่วงในตอนนั้นก็ขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังบางกว่าปกติ น้ำหนักที่ลดลงในช่วงนั้น ตอนนี้ก็กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม ผิวที่ดำกร้านก็กลับมาเปล่งปลั่งเหมือนเดิม สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือนมค่ะ เพราะแม่โดนตัดนมไปหนึ่งข้าง ฉันซื้อซิลิโคนให้แม่ใส่ แต่แม่ไม่ใส่เลยนะ แม่บอกว่า เวลาไปเจอคนที่เป็นมะเร็งเต้านม แม่จะเล่าประสบการณ์ให้เค้าฟัง แล้วทำให้คนอื่นมีกำลังใจขึ้น เพราะใครๆที่ป่วยเป็นมะเร็ง ต่างก็คิดว่าไม่มีโอกาสรอด สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำให้แม่ผ่านช่วงเวลานั้นมา สิ่งแรกเลยคือกำลังใจจากครอบครัวที่ส่งผ่านไปให้กับผู้ป่วย เมื่อกำลังใจดี จะทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ การดูแล ความเข้าใจ และเอาใจใส่ก็สำคัญมาก อีกอย่างหนึ่งที่ฉันและครอบครัวเชื่อว่า มีส่วนทำให้แม่หายคือ การทำความดีค่ะ จากวันที่แม่ป่วย ครอบครัวเรา จะทำบุญ ใส่บาตรตอนเช้า คิดดี ทำดี มีโอกาสปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่าบ้าง กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แม่มักจะมีมุมมองดีๆเสมอๆในทุกๆเรื่องการคิดบวกก็ช่วยได้เป็นอย่างดีนะคะ สิ่งหนึ่งที่ฉันขอตอนที่แม่ป่วย คือขอให้แม่อยู่รอวันรับปริญญาของฉัน แต่ถึงวันนี้ ผ่านวันรับปริญญา ผ่านวันแต่งงาน และแม่ยังมีหลานอีก ตอนนี้ครอบครัวเราดีขึ้นมากกว่าตอนนั้นเยอะแล้วค่ะ ตอนนี้เวลาว่าง แม่และพ่อจะชวนกันไปปฏิบัติธรรม และทำโรงทานตามกำลังทรัพย์ที่พอจะทำได้ค่ะ
สุดท้ายนี้อยากจะให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็งทุกคน หวังว่าประสบการณ์ของแม่จะทำให้ผู้ป่วยที่กำลังเผชิญโรคร้ายอยู่มีกำลังใจขึ้นมา ไม่มากก็น้อยนะคะ