2 วัน 1 คืนกับความงดงามแห่งทะเลตะวันออก อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า&เกาะแสมสาร
อาจเพราะโตมากับทะเลใต้ สถานที่ที่คนส่วนใหญ่คงเห็นด้วยว่าเป็น ดินแดนมหัศจรรย์แห่งทะเลไทย สำหรับเราจึงไม่ง่ายเลยที่จะมองเห็นความงดงามแห่งทะเลตะวันออก
อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า&เกาะแสมสาร ความงดงามที่ควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้งในชีวิต
หมายเหตุ : การเดินทางครั้งนี้ส่วนใหญ่ใช้ Google Maps บวกกับการถามทาง และเป็นการเดินทางแบบแวะไปเรื่อยๆ
เช้าวันเสาร์ เราออกจากกรุงเทพ มุ่งหน้าสู่ดินแดนภาคตะวันออก เพราะ เป้าหมายของวันนี้คือ เกาะแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
*** เกาะแสมสาร เป็นเกาะที่อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือนักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือไปยังเกาะและดำน้ำดูปะการัง เดินเท้าศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ปั่นจักรยาน แต่ไม่อนุญาตให้พักค้างคืน โดยมีค่าใช้จ่าย 250 บาทต่อคน
เราเดินทางถึงท่าเรือเขาหมาจอ (บริเวณเดียวกับพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาและทะเลไทย)
บ้านแสมสารอำเภอสัตหีบ ชลบุรี ซึ่งเป็นบริเวณที่ใช้ติดต่อซื้อตั๋วไปเกาะ ประมาณเที่ยงกว่าๆ ปรากฏว่าตั๋วสำหรับวันนี้เต็ม
*** เกาะแสมสาร จำกัดนักท่องเที่ยวที่เข้าชมในแต่ละวัน เปิดให้บริการทุกวัน การจำหน่ายบัตรเป็นแบบวันต่อวัน ไม่อนุญาตให้จอง เรือไปเกาะเที่ยวแรก9 โมงเช้า เรือกลับเที่ยวสุดท้าย 16.30 น.
ในเมื่อไปเกาะไม่ได้ เป้าหมายของพวกเราจึงเปลี่ยนไปยังเรือหลวงจักรีนฤเบศร อย่างรวดเร็ว ซึ่งอันนี้เป็นความฝันส่วนตัวที่อยากไปเห็นเรือบรรทุกอากาศยานแห่งราชนาวีไทยสักครั้งในชีวิต
แต่ตอนเรากำลังจะขับรถออกจากท่าเรือ มีพี่ทหารเรือคนนึง แนะนำให้เราไปเที่ยวหาดน้ำใสก่อน เจ้าถิ่นแนะนำซะขนาดนี้ การปฏิเสธจึงไม่ใช่ทางที่เราเลือก
บริเวณหาดน้ำใส (ชายหาดยาวประมาณ 3 กม.) น้ำใสสมชื่อ
เรือหลวงจักรีนฤเบศร ณ ฐานทัพเรือสัตหีบ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นความฝัน
*** ฐานทัพเรือสัตหีบ จะอยู่ไม่ไกลจากบริเวณท่าเรือไปเกาะแสมสาร
เป้าหมายต่อไปซึ่งเราตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว คือ อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ดินแดนแห่งความหวังของนักเดินทางงบน้อยอย่างพวกเรา ประมาณบ่าย 2 เราออกจากสัตหีบมุ่งหน้าสู่ระยอง
***อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองระยอง บริเวณเดียวกับหาดแม่รำพึง และใกล้กับบ้านเพ (แหล่งรวมอาหารทะเลสด)
4 โมงกว่า เราก็ถึงอุทยาน (ปกติอุทยานจะปิดให้เข้าตอน 6 โมงเย็น)จ่ายค่าเข้าอุทยาน 20 บาทต่อคน (ราคานิสิต นักศึกษา) ค่ายานพาหนะอีก 30 บาทต่อคัน
เมื่อเข้าบริเวณอุทยานเราก็แวะติดต่อเรื่องลานกางเต้น โดยจ่ายอีก 30 บาทต่อคนและ เช่าเตาสำหรับย่างอาหารทะเลอีก 100 บาทพร้อมถ่าน (สำหรับคืนนี้เราจึงจ่ายค่าที่นอนแค่คนละ 50 บาท)
และนี่แหละคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เรามองเห็นความงดงามแห่งดินแดนทะเลตะวันออก
จุดกางเต็นท์ ของอุทยาน
สำหรับเราอุทยานคือสถานที่ที่เราสามารถโอบกอดธรรมชาติได้แบบใกล้ชิดที่สุด และเต็นท์ก็เป็นสิ่งที่ปิดกั้นเราออกจากธรรมชาติน้อยที่สุด บนพื้นฐานแห่งความพอดี ในยามค่ำคืน
หลังจากเราสร้างแลนมาร์ก ให้ตัวเองกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาสำรวจโลก
ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า จะมีลานกางเต็นท์ 2 จุดใหญ่ๆ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทะเลได้สุดลูกหูลูกตา มีสะพานทอดออกไปในทะเล สำหรับเดินชมวิวด้วย
สะพานไม้แห่งอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ทอดยาวไปยังจุดชมแสงสุดท้ายของวัน
สะพานไม้จะทอดยาวไปเรื่อยๆตามแนวชายฝั่ง ทางเดินที่ไม่เห็นปลายทางกับสีฟ้าครามของท้องทะเล ทุกอย่างดูลงตัว นี่แหละความงดงามของธรรมชาติที่ควรค่าแก่การรักษา
สุดทางสะพานไม้
สถานที่เฝ้ามองพระอาทิตย์ยามอัศดง
แสงสุดท้ายของวัน
อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้เรื่องเที่ยว คือเรื่องกิน เราจึงโฟกัสไปยัง“ตลาดบ้านเพ” แหล่งรวมอาหารทะเลสด ซึ่งตลาดอยู่ห่างจากอุทยานประมาณ 5 กม.
***ตลาดบ้านเพ เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ ขายทุกอย่าง ทั้งของสด ของแห้ง ของฝาก เสื้อผ้า และมีร้านอาหารอยู่อีกหลายร้านด้วย
อาหารทะเลกับบรรยากาศริมทะเลเป็นความลงตัวที่น่าจดจำเสมอ
ประมาณ 4 ทุ่ม อุทยานจะปิดไฟบริเวณลานกางเต้น และความเงิบก็มาเยือนพวกเรา เพราะ ฝนตก!!! เป็นครั้งแรกที่นอนเต้นแล้วฝนตก แต่เหมือนสวรรค์ยังเมตตาเด็กตาดำๆอย่างพวกเรา เพราะมันตกไม่นาน ขอบคุณ!!!!
คืนนั้นลมกำลังดี ไม่พัดแรง เราจึงหลับได้อย่างสงบ Z z ZZ z
ยินดีต้อนรับสู่วันอาทิตย์
เราตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะตั้งใจจะไปทำความฝันเดิมให้สำเร็จ นั่นคือเกาะแสมสาร ประมาณ 7 โมง เราจึงมุ่งหน้าสู่ชลบุรีอีกครั้ง ถึงท่าเรือเขาหมาจอเกือบ 10 โมง และเราก็ทำได้ เราได้เรือเที่ยว บ่ายโมง รออีกแปปนะ .... แสมสาร
ระหว่างรอ พวกเราเลยขึ้นไปดู พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาและทะเลไทย ซึ่งก็อยู่บริเวณเดียวกับท่าเรือ ค่าบัตรเข้าชมคนละ 50 บาท
***พิพิธภัณฑ์ จะอยู่จะตั้งอยู่บริเวณเนินเขา มีอาคารซึ่งจัดนิทรรศการให้ความรู้อยู่ 5 อาคาร แต่เปิดให้เยี่ยมชมแค่ 3 อาคาร และมีจุดชมวิวบริเวณยอดเขาที่สามารถมองเห็นเกาะแสมสาร เกาะขามและเกาะบริเวณใกล้เคียง รวมถึงหมู่บ้านชาวประมงบ้านแสมสารด้วย
จุดชมวิวจากพิพิธภัณฑ์ (สามารถมองเห็นเกาะแสมสารทางด้านขวา)
บ่ายโมงตรง เรือออกจากฝั่ง ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงเกาะแสมสาร
ภาพตอนนั่งเรือ(ถ่ายจากด้านหลังเรือ)
“สวัสดีแสมสาร”
นี่แหละคือความงดงามของธรรมชาติที่ควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้งในชีวิต
***เมื่อไปถึงเกาะจะมีเจ้าหน้าที่แห่งราชนาวีไทย ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมา และกิจกรรม ณ แสมสาร ซึ่งอย่างน้อยที่สุดคำบอกเล่าเหล่านั้นคงช่วยเพิ่มอรรถรสในการเที่ยวให้เราได้
หาดเทียน บริเวณนี้โดยปกติน้ำทะเลจะเป็น 2 สี สีใสใกล้หาดจะตัดกับโขดหินสีดำสนิท ส่วนสีครามกลางท้องทะเลก็กลืนกับเส้นขอบฟ้าได้พอดิบพอดี
***เราสามารถปั่นจักรยานซึ่งทางเกาะเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวจากบริเวณท่าเรือไปยังหาดนี้ได้ ระยะทางประมาณ 800 เมตร โดยมีค่าบำรุงจักรยานคันละ 10 บาท
หาดลูกลม อีกหนึ่งความงดงามบนเกาะแห่งนี้
นี่แหละเสน่ห์ที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ
ปล่อยให้กาลเวลาทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ
***หาดลูกลมจะมีรถรับส่งคอยบริการจากบริเวณท่าเรือไปยังหาด เนื่องจากไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวปั่นจักรยานไป
เป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ที่ ถ้ามีโอกาสจะกลับไปอีก
ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง
เย็นวันนั้นเรากลับจากเกาะ ด้วยเรือเที่ยวพิเศษ เป็นเรือเร็วของกองทัพเรือ นั่นทำให้ขากลับเราใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงฝั่ง
“สำหรับการเดินทางเรื่องราวระหว่างทางก็สวยงามไม่น้อยกว่าจุดหมาย”
ปล. เราไม่ได้ตั้งใจจะเขียนรีวิวตั้งแต่แรก แต่เพราะความประทับใจเรื่องราวหลายอย่างในการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะความสวยงามที่เกินคาดจากดินแดนทะเลตะวันออก รีวิวนี้เลยคลอดออกมา การรีวิวเส้นทางและค่าใช้จ่ายจึงไม่ละเอียดเท่าที่ควร
ขอบคุณที่อ่าน
!!!
[CR] ความงดงามแห่งทะเลตะวันออก อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า&เกาะแสมสาร
อาจเพราะโตมากับทะเลใต้ สถานที่ที่คนส่วนใหญ่คงเห็นด้วยว่าเป็น ดินแดนมหัศจรรย์แห่งทะเลไทย สำหรับเราจึงไม่ง่ายเลยที่จะมองเห็นความงดงามแห่งทะเลตะวันออก
อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า&เกาะแสมสาร ความงดงามที่ควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้งในชีวิต
หมายเหตุ : การเดินทางครั้งนี้ส่วนใหญ่ใช้ Google Maps บวกกับการถามทาง และเป็นการเดินทางแบบแวะไปเรื่อยๆ
เช้าวันเสาร์ เราออกจากกรุงเทพ มุ่งหน้าสู่ดินแดนภาคตะวันออก เพราะ เป้าหมายของวันนี้คือ เกาะแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
*** เกาะแสมสาร เป็นเกาะที่อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือนักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือไปยังเกาะและดำน้ำดูปะการัง เดินเท้าศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ปั่นจักรยาน แต่ไม่อนุญาตให้พักค้างคืน โดยมีค่าใช้จ่าย 250 บาทต่อคน
เราเดินทางถึงท่าเรือเขาหมาจอ (บริเวณเดียวกับพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาและทะเลไทย)
บ้านแสมสารอำเภอสัตหีบ ชลบุรี ซึ่งเป็นบริเวณที่ใช้ติดต่อซื้อตั๋วไปเกาะ ประมาณเที่ยงกว่าๆ ปรากฏว่าตั๋วสำหรับวันนี้เต็ม
*** เกาะแสมสาร จำกัดนักท่องเที่ยวที่เข้าชมในแต่ละวัน เปิดให้บริการทุกวัน การจำหน่ายบัตรเป็นแบบวันต่อวัน ไม่อนุญาตให้จอง เรือไปเกาะเที่ยวแรก9 โมงเช้า เรือกลับเที่ยวสุดท้าย 16.30 น.
ในเมื่อไปเกาะไม่ได้ เป้าหมายของพวกเราจึงเปลี่ยนไปยังเรือหลวงจักรีนฤเบศร อย่างรวดเร็ว ซึ่งอันนี้เป็นความฝันส่วนตัวที่อยากไปเห็นเรือบรรทุกอากาศยานแห่งราชนาวีไทยสักครั้งในชีวิต
แต่ตอนเรากำลังจะขับรถออกจากท่าเรือ มีพี่ทหารเรือคนนึง แนะนำให้เราไปเที่ยวหาดน้ำใสก่อน เจ้าถิ่นแนะนำซะขนาดนี้ การปฏิเสธจึงไม่ใช่ทางที่เราเลือก
บริเวณหาดน้ำใส (ชายหาดยาวประมาณ 3 กม.) น้ำใสสมชื่อ
เรือหลวงจักรีนฤเบศร ณ ฐานทัพเรือสัตหีบ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นความฝัน
*** ฐานทัพเรือสัตหีบ จะอยู่ไม่ไกลจากบริเวณท่าเรือไปเกาะแสมสาร
เป้าหมายต่อไปซึ่งเราตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว คือ อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ดินแดนแห่งความหวังของนักเดินทางงบน้อยอย่างพวกเรา ประมาณบ่าย 2 เราออกจากสัตหีบมุ่งหน้าสู่ระยอง
***อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองระยอง บริเวณเดียวกับหาดแม่รำพึง และใกล้กับบ้านเพ (แหล่งรวมอาหารทะเลสด)
4 โมงกว่า เราก็ถึงอุทยาน (ปกติอุทยานจะปิดให้เข้าตอน 6 โมงเย็น)จ่ายค่าเข้าอุทยาน 20 บาทต่อคน (ราคานิสิต นักศึกษา) ค่ายานพาหนะอีก 30 บาทต่อคัน
เมื่อเข้าบริเวณอุทยานเราก็แวะติดต่อเรื่องลานกางเต้น โดยจ่ายอีก 30 บาทต่อคนและ เช่าเตาสำหรับย่างอาหารทะเลอีก 100 บาทพร้อมถ่าน (สำหรับคืนนี้เราจึงจ่ายค่าที่นอนแค่คนละ 50 บาท)
และนี่แหละคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เรามองเห็นความงดงามแห่งดินแดนทะเลตะวันออก
จุดกางเต็นท์ ของอุทยาน
สำหรับเราอุทยานคือสถานที่ที่เราสามารถโอบกอดธรรมชาติได้แบบใกล้ชิดที่สุด และเต็นท์ก็เป็นสิ่งที่ปิดกั้นเราออกจากธรรมชาติน้อยที่สุด บนพื้นฐานแห่งความพอดี ในยามค่ำคืน
หลังจากเราสร้างแลนมาร์ก ให้ตัวเองกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาสำรวจโลก
ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า จะมีลานกางเต็นท์ 2 จุดใหญ่ๆ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทะเลได้สุดลูกหูลูกตา มีสะพานทอดออกไปในทะเล สำหรับเดินชมวิวด้วย
สะพานไม้แห่งอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ทอดยาวไปยังจุดชมแสงสุดท้ายของวัน
สะพานไม้จะทอดยาวไปเรื่อยๆตามแนวชายฝั่ง ทางเดินที่ไม่เห็นปลายทางกับสีฟ้าครามของท้องทะเล ทุกอย่างดูลงตัว นี่แหละความงดงามของธรรมชาติที่ควรค่าแก่การรักษา
สุดทางสะพานไม้
สถานที่เฝ้ามองพระอาทิตย์ยามอัศดง
แสงสุดท้ายของวัน
อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้เรื่องเที่ยว คือเรื่องกิน เราจึงโฟกัสไปยัง“ตลาดบ้านเพ” แหล่งรวมอาหารทะเลสด ซึ่งตลาดอยู่ห่างจากอุทยานประมาณ 5 กม.
***ตลาดบ้านเพ เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ ขายทุกอย่าง ทั้งของสด ของแห้ง ของฝาก เสื้อผ้า และมีร้านอาหารอยู่อีกหลายร้านด้วย
อาหารทะเลกับบรรยากาศริมทะเลเป็นความลงตัวที่น่าจดจำเสมอ
ประมาณ 4 ทุ่ม อุทยานจะปิดไฟบริเวณลานกางเต้น และความเงิบก็มาเยือนพวกเรา เพราะ ฝนตก!!! เป็นครั้งแรกที่นอนเต้นแล้วฝนตก แต่เหมือนสวรรค์ยังเมตตาเด็กตาดำๆอย่างพวกเรา เพราะมันตกไม่นาน ขอบคุณ!!!!
คืนนั้นลมกำลังดี ไม่พัดแรง เราจึงหลับได้อย่างสงบ Z z ZZ z
ยินดีต้อนรับสู่วันอาทิตย์
เราตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะตั้งใจจะไปทำความฝันเดิมให้สำเร็จ นั่นคือเกาะแสมสาร ประมาณ 7 โมง เราจึงมุ่งหน้าสู่ชลบุรีอีกครั้ง ถึงท่าเรือเขาหมาจอเกือบ 10 โมง และเราก็ทำได้ เราได้เรือเที่ยว บ่ายโมง รออีกแปปนะ .... แสมสาร
ระหว่างรอ พวกเราเลยขึ้นไปดู พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาและทะเลไทย ซึ่งก็อยู่บริเวณเดียวกับท่าเรือ ค่าบัตรเข้าชมคนละ 50 บาท
***พิพิธภัณฑ์ จะอยู่จะตั้งอยู่บริเวณเนินเขา มีอาคารซึ่งจัดนิทรรศการให้ความรู้อยู่ 5 อาคาร แต่เปิดให้เยี่ยมชมแค่ 3 อาคาร และมีจุดชมวิวบริเวณยอดเขาที่สามารถมองเห็นเกาะแสมสาร เกาะขามและเกาะบริเวณใกล้เคียง รวมถึงหมู่บ้านชาวประมงบ้านแสมสารด้วย
จุดชมวิวจากพิพิธภัณฑ์ (สามารถมองเห็นเกาะแสมสารทางด้านขวา)
บ่ายโมงตรง เรือออกจากฝั่ง ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงเกาะแสมสาร
ภาพตอนนั่งเรือ(ถ่ายจากด้านหลังเรือ)
“สวัสดีแสมสาร”
นี่แหละคือความงดงามของธรรมชาติที่ควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้งในชีวิต
***เมื่อไปถึงเกาะจะมีเจ้าหน้าที่แห่งราชนาวีไทย ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมา และกิจกรรม ณ แสมสาร ซึ่งอย่างน้อยที่สุดคำบอกเล่าเหล่านั้นคงช่วยเพิ่มอรรถรสในการเที่ยวให้เราได้
หาดเทียน บริเวณนี้โดยปกติน้ำทะเลจะเป็น 2 สี สีใสใกล้หาดจะตัดกับโขดหินสีดำสนิท ส่วนสีครามกลางท้องทะเลก็กลืนกับเส้นขอบฟ้าได้พอดิบพอดี
***เราสามารถปั่นจักรยานซึ่งทางเกาะเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวจากบริเวณท่าเรือไปยังหาดนี้ได้ ระยะทางประมาณ 800 เมตร โดยมีค่าบำรุงจักรยานคันละ 10 บาท
หาดลูกลม อีกหนึ่งความงดงามบนเกาะแห่งนี้
นี่แหละเสน่ห์ที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ
ปล่อยให้กาลเวลาทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ
***หาดลูกลมจะมีรถรับส่งคอยบริการจากบริเวณท่าเรือไปยังหาด เนื่องจากไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวปั่นจักรยานไป
เป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ที่ ถ้ามีโอกาสจะกลับไปอีก
ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง
เย็นวันนั้นเรากลับจากเกาะ ด้วยเรือเที่ยวพิเศษ เป็นเรือเร็วของกองทัพเรือ นั่นทำให้ขากลับเราใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงฝั่ง
“สำหรับการเดินทางเรื่องราวระหว่างทางก็สวยงามไม่น้อยกว่าจุดหมาย”
ปล. เราไม่ได้ตั้งใจจะเขียนรีวิวตั้งแต่แรก แต่เพราะความประทับใจเรื่องราวหลายอย่างในการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะความสวยงามที่เกินคาดจากดินแดนทะเลตะวันออก รีวิวนี้เลยคลอดออกมา การรีวิวเส้นทางและค่าใช้จ่ายจึงไม่ละเอียดเท่าที่ควร
ขอบคุณที่อ่าน!!!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น