กองทุนน้ำใจชาวไทย เพื่อช่วยเหลือลูกและภรรยา นายฮวน ฟราสซิสโก นักปั่นระดับโลกชาวต่างชาติที่ทำสถิติกินเนสบุ๊คในการปั่นจักรยาน 5 ทวีป ภายใน 5 ปี ระยะทาง 250,000 กม. ตั้งแต่เดือน พ.ย.2553-พ.ย.2558 แต่กลับต้องมาเสียชีวิตบนท้องถนนของไทย จากความประมาทของคนไทย
*** หมายเลขบัญชีธนาคารจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง
สวัสดีครับ ผม พีระพงค์ อมรพิชญ์ นะครับ
ผมได้ข่าวการเสียชีวิตของนักปั่นระดับโลก ที่เดินทางปั่นจักรยาน 5 ปี ใน 5 ทวีป โดยปลอดภัย แต่กลับมาเสียชีวิตบนท้องถนนเมืองไทย เพราะความประมาทของคนไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุมากเป็นอันดับ 2 ของโลก แล้วรู้สึกอายแทนคนไทย และ สงสารลูกและเมียของเขายิ่งนัก
เมื่อคืนผมเห็นข่าว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมมอบเงิน 3แสนบาท ให้ภรรยานักปั่นจักรยาน 5 ทวีป แล้วรู้สึกว่า มันจะไปพออะไรกับการเลี้ยงดูบุตรของผู้เสียชีวิต ที่มีค่าครองชีพและค่าเล่าเรียนที่สิงค์โปร ซึ่งแพงมาก
ผมจึงอยากเห็นคนไทยระดมเงินกันช่วยเหลือครอบครัวนักปั่นระดับโลกซึ่งเป็นเหยื่อความประมาทของคนไทย
ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ผมจึงโพสต์ว่า “อยากให้มีใครสักคน จัดทำโครงการในการระดมเงินบริจาคของคนไทย เพื่อช่วยเหลือครอบครัวนักปั่นจักรยานระดับโลกที่มาเสียชีวิตในท้องถนนเมืองไทย
ให้เห็นว่าคนไทยแม้นจะประมาท แต่ก็มีความรับผิดชอบเชิงสังคม คือ สังคมได้ช่วยกันระดมเงินเพื่อเยียวยาครอบครัวเหยื่อ จากความประมาทของคนไทยครับ
ซึ่งถ้าทำสำเร็จ ก็จะส่งสารไปคนทั่วโลก ว่าแม้นคนไทยจะมีความประมาทสูง แต่ก็มีความรับผิดชอบและน้ำใจ ต่อเพื่อนชาวต่างประเทศครับ”
ตอนเช้ามืดผมตื่นขึ้นมา พร้อมกับความคิดเรื่องการเปิดบัญชีระดมทุน เข้ามาอีกครั้ง ผมได้ปล่อยความคิดให้แล่นไป “ถ้าผมเปิดบัญชีขึ้นมาเองล่ะ”
ถ้ามีคนโอนเข้ามา แล้วมันจะโปร่งใสได้อย่างไร ว่าผมไม่ได้ยักยอกเงิน ซึ่งผมก็คิดว่าวิธีแก้คือการถ่ายรูป สมุดบัญชีธนาคารที่ถูก update รายการเงินเข้า มาให้เห็น และ ปิดบัญชีเพื่อไม่ให้คนที่โอนมาหลังจากปิดโครงการแล้วโอนเข้ามาอีก ทำให้มีเงินคงค้างหรือเกินในบัญชี แต่กระนั้นก็ตามมันก็ไม่โปร่งใส 100% และ ใครจะเชื่อถือ
ผมก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นเชิญบุคคลที่ 3 ที่น่าเชื่อถือ มาเป็นคนเซ็นร่วมในการถอนเงิน โดยเขียนเงื่อนไนการถอนเงินว่า ต้องเซ็นร่วมกัน 2 คน
ผมก็เลยคิดว่างั้นเชิญใครดีล่ะ แว่บขึ้นมาก็คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จังหวัดที่ผมอยู่ในปัจจุบัน และ ผมไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว
ผมคิดไปอีกว่างั้น 3 คนไปเลยดีมั้ย เชิญผู้บังการทหารบกเชียงรายด้วย ซึ่งทำให้มั่นใจได้อีกชั้น 3 คนคงเตี๊ยมกันไม่ได้ง่าย
ผมคิดต่อว่า แล้วท่านทั้งสองจะมาร่วมมั้ย อะไรต่างๆ นานาๆ แล้วก็ลงไปอาบน้ำ แล้วคิดต่อขณะอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว ซึ่งได้ข้อสรุปดังนี้
ผมจะโพสต์ลง facebook แจ้งความประสงค์ ต่อชาว Social Media ว่า
ผมจะตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือฯ ขึ้นมา โดยจะมีการถอนครั้งเดียวเพื่อปิดบัญชี โดยมีผมและผู้มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถืออีก 2 ท่านเซ็นร่วมกัน เพื่อเป็นพยานและแสดงความโปร่งใส
นอกจากผู้ว่าเชียงราย, ผู้บังการทหารบกเชียงรายแล้ว ผมก็คิดว่าน่าจะเชิญบุคคลท่านอื่นๆ เพื่อแสดงถึงจุดยืนว่าเห็นด้วยและเห็นความสำคัญกับ การแสดงน้ำใจของชาวไทยในเรื่องนี้ และเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวไทย โดยผมคิดถึงท่านเหล่านี้คือ อธิการบดี ม.แม่ฟ้าหลวง รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ คือ ผมได้เรียน ป.โท ที่นี่และอยากให้ มหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงรายของผม มีชื่อร่วมในการทำความดีครั้งนี้ด้วย
ผมคิดถึง อ.เฉลิมชัย, ท่าน ว.วชิรเมธี, ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ปลัดและรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่าอยากให้ท่านมาเป็นสักขีพยานในวันนั้นด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่า “เรา” ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และ ต้องการส่งสัญญาณ สื่อไปให้คนไทยทั้งประเทศตระหนักว่า ณ จุดนี้ เวลานี้ มันไม่ไหวแล้วน่ะ ความเสียหายจากความประมาทของคนไทยมันมากเหลือเกิน เราต้องเริ่มมีทัศนะคติใหม่ ช่วยกันหยุดยั้งความประมาท และ แสดงให้โลกเห็นว่าคนไทยมีน้ำใจในการเยียวยาเพื่อนชาวต่างชาติ ที่มาเสียชีวิตจากความประมาทของเพื่อนร่วมชาติและเพื่อกู้คืนภาพพจน์ของคนไทยในสายตาชาวต่างชาติ
ผมคิดต่อไปว่า แล้วคนเขาจะโจมตีว่าผมอยากดังมั้ย แล้วผมจะทำอย่างไรดี
ผมก็คิดต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นก็เขียนไปว่า “ถ้าท่านใจกว้าง คิดว่าเรื่องที่ผมทำเป็นเรื่องที่ดี ก็ช่วย กด like และ share แต่ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ใจแคบคิดแต่ในแง่ร้ายว่าผมอยากดังโดยมองข้ามผลของความดีที่ลูกและภรรยาของชาวต่างประเทศที่เป็นเหยื่อของความประมาทจะได้รับ ก็ไม่ต้อง like ไม่ต้องแชร์”
ผมคิดต่อไปถึงเรื่องจำนวนเงินว่ามันจะเข้ามามากน้อยแค่ไหนน่ะ จะมีการเขียนเป้าหมายไปดีมั้ยว่าต้องการเท่าไหร่ หรือจะถ่อมเป้าหมายไม่ระบุดี สองวิธีนี้อันไหนจะดีกว่ากัน และ ถ้ามันได้มาก เงินที่ช่วยเหลือลูก ภรรยาและครอบครัวเหยื่อชาวต่างชาติควรจะไม่เกินเท่าไหร่ ที่จะไม่มากเกินไป
ผมก็คิดต่อว่า ถ้าบังเอิญเงินที่ได้มันน้อยมาก เพราะคนหมั่นใส้หรือไม่สนใจ ก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นภาพสะท้อนความใจกว้าง, น้ำใจของคนไทย ว่าเป็นอย่างไร
ถ้าเงินมันได้มากล่ะ แต่ล่ะช่วงของจำนวนจะมีผลอย่างไรน่ะ
ผมก็คิดว่า ถ้าได้ 3 ล้านบาท ก็ 1 แสนเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ
ถ้า 10 ล้านบาท ก็ 3 แสนเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ
ถ้า 100 ล้านบาท ก็ 3 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่ง ณ จุดนี้ก็จะเป็นสถิติโลกของการบริจาค ให้ทัดเทียมกับสถิติโลกของนักปั่นระดับโลกชาวต่างชาติที่เป็นเหยื่อ
ซึ่งไม่ว่าจะได้เท่าไหร่ ก็จะมีการออกข่าวไปทั่วโลกอยู่แล้ว แต่ถ้ามันถึง 100 ล้านบาท น่าจะเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และ สร้างความประทับใจของชาวโลกต่อชาวไทย ซึ่งเป็นการ PR หรือ ประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของเมืองไทย ว่าคนไทยมีน้ำใจ ให้ติดไปในใจของชาวโลก (ภาพลักษณ์ของ Brand Thailand)
ผมคิดต่อไปว่า ถ้ามันได้เย่อะขนาดนั้น เป็นร้อยล้านบาท มันจะมากเกินไปมั้ย ที่คนไทยจะจ่ายเพื่อช่วยเหลือครอบครัวชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทย และ น้ำเงินดังกล่าวออกไปนอกประเทศ
ผมก็ตอบใจว่า ถ้างั้น ก็ให้แจ้งภรรยาซึ่งต้องดูแลลูกของนักปั่นระดับโลกที่เสียชีวิต ว่าเงินจำนวนนี้ที่เราให้ไป ให้เป็นสิทธิ์ของคุณในการที่จะนำไปใช้ในสิ่งที่คุณเห็นว่าสมควร (ผมเคยให้บางอย่างแก่แม่ของผม ถ้าจำไม่ผิด อาจจะเป็นไฟฉาย ตอนที่ผมไม่ได้ทำธุรกิจไฟฉาย หรือ ตอนที่ทำใหม่ๆ (จำไม่ได้แล้วครับ) จำได้แต่ความรู้สึกตอนนั้นว่าสิ่งของอันนั้นมันแพงมากในตอนนั้น แล้วผมได้กำชับแม่ผมไปว่า ถ้าผมให้ไปแล้ว แม่อย่าเอาไปถวายพระน่ะ เพราะผมตั้งใจให้แม่เท่านั้น ซึ่งแม่ผมก็ตอบปฎิเสธมาทันทีว่า ถ้างั้นแม่ไม่รับ ถ้าลูกให้แม่ก็ต้องถือว่าสิ่งนี้เป็นของของแม่ เป็นสิทธิ์ของแม่ ที่จะนำไปใช้ตามที่เห็นสมควร ถ้ามีเงื่อนไข แม่ไม่ขอรับ ผมจึงต้องพูดไปใหม่ว่า OK ผมให้แม่ ส่วนแม่จะใช้อย่างไร หรือ ให้ใคร ก็แล้วแต่แม่จะเห็นควร)
กลับมาต่อ... ถ้าจำนวนเงินนั้นมันมาก เช่น 100 ล้านบาท ตอนที่ทำพิธีมอบหรือก่อนพิธีมอบอย่างเป็นทางการ ก็อาจจะได้แจ้งกับภรรยานักปั่นระดับโลกที่เสียชีวิตจากความประมาทของคนไทยว่า เงินจำนวนนี้เป็นน้ำใจของพวกเราชาวไทยที่มอบแด่ครอบครัวคุณ ซึ่งเสียชีวิตจากความประมาทของเพื่อนร่วมชาติของเรา เป็นการลดความรู้สึกผิดในใจเรา และ เป็นความหวังดีที่เราต้องการส่งมอบให้กับคุณ เพื่อให้คุณนำไปเลี้ยงดู ให้การศึกษาแก่บุตรของคุณ จนเขาสำเร็จการศึกษาต่อไป ซึ่งการจะนำไปใช้อย่างไร ก็ให้เป็นสิทธิ์ของคุณแต่ผู้เดียว ในการที่จะใช้จ่ายในสิ่งที่คุณเห็นว่าสมควร หรือ ถ้าคุณจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งกลับมาตั้งเป็นกองทุนในการทำประโยชน์สาธารณะ เพื่อระลึกถึงสามีซึ่งเป็นพ่อของลูกคุณก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเราให้เกียรติคุณในการที่จะมีอิสระในการนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ โดยไม่มีเงื่อนไข
ผมคิดไปต่อว่า แล้วพิธีเซ็นชื่อถอนเงินจะทำที่ไหน ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่ธนาคารในเชียงราย ซึ่งอาจจะเป็นธนาคารกสิกร หรือ ไทยพาณิชย์ โดยเปิดบัญชีเป็นกระแสรายวัน ซี่งเหมาะสำหรับการรับบริจาค เพราะไม่จำกัดจำนวนครั้งที่โอน แต่ถ้าเป็นออมทรัพย์ ถ้ามีการโอนเกินร้อยครั้งโดยสมุดไม่ update จะโอนเพิ่มไม่ได้อีก
ซึ่งในวันที่มีการเซ็นชื่อร่วมกันเพื่อถอนเงินดังกล่าว จะมีเชิญนักข่าว มาเป็นสักขีพยานและประชาสัมพันธ์ ซึ่งไม่ใช่ต้องการดังเพื่อตนเอง แต่เพราะเห็นว่าการกระทำครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดี คนควรจะรับรู้มากๆ
แล้วเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวนักปั่นชาวต่างชาติที่เสียชีวิตจากความประมาทของคนไทย ที่มีคนหรือคณะบุคคลอื่นๆ ได้ช่วยกันระดม เช่นกันล่ะ ผมจะทำการประชาสัมพันธ์ให้กองทุนนี้เป็นกองทุนหลัก โดยให้กองทุนอื่นโอนเงินมาที่นี่มาร่วมกันให้เป็นกองทุนมีขนาดใหญ่ก้อนเดียว ซึ่งจะได้ประสิทธิ์ผลมากกว่าในการประชาสัมพันธ์ แจ้งไปยังชาวโลก ทางช่องข่าวต่างประเทศ โดยจะมีการลงชื่อผู้บริจาคทั้งหมด และ จำนวนเงินที่แต่ล่ะคนโอนเข้ามา
เพิ่มเติมในเรื่องนี้คือ จะมีการทำรายงานสถิติให้เห็นด้วย ว่ามีจำนวนการโอนเข้ามากี่ครั้งเพื่อเก็บเป็น record ให้ติดกินเนสบุคส์ เช่น คนไทยหกสิบกว่าล้านคน มีเงินโอนเข้ามา 5 แสนครั้ง เป็นจำนวนเงินรวมทั้งหมด 100 ล้านบาทเป็นต้น ซึ่งสถิตินี้จะเป็นตัวเลขที่นักข่าวต่างประเทศนำไปเล่นในข่าวด้วยเช่นกัน
*** ผมจะให้ความสำคัญกับจำนวนครั้งของการโอน ที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมของชาวไทย มาเป็นอันดับหนึ่งครับ (ดังนั้นอย่ากังวลเรื่องว่าเงินที่โอนนั้น อาจจะช่วยได้ไม่มากหรือนิดหน่อย) เพื่อจะได้นำตัวเลขนี้ไปแสดงว่าโอ้โห คนไทยมีน้ำใจช่วยกันมากมายครับ
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณครับมากครับที่อ่านยาวมากมาจนจบ และ ขอให้ช่วยกันกด like และ แชร์ด้วยครับ โดยหมายเลขบัญชีธนาคารจะแจ้งให้ทราบทีหลังครับ
หมายเหตุ: ผมโพสตลง Facebook ด้วยครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10153102222994609
ขอบคุณครับ
พีระพงค์ อมรพิชญ์
กองทุนน้ำใจชาวไทย เพื่อช่วยเหลือลูกและภรรยา นายฮวน ฟราสซิสโก นักปั่นระดับโลกที่เสียชีวิตจากความประมาทของคนไทย
กองทุนน้ำใจชาวไทย เพื่อช่วยเหลือลูกและภรรยา นายฮวน ฟราสซิสโก นักปั่นระดับโลกชาวต่างชาติที่ทำสถิติกินเนสบุ๊คในการปั่นจักรยาน 5 ทวีป ภายใน 5 ปี ระยะทาง 250,000 กม. ตั้งแต่เดือน พ.ย.2553-พ.ย.2558 แต่กลับต้องมาเสียชีวิตบนท้องถนนของไทย จากความประมาทของคนไทย
*** หมายเลขบัญชีธนาคารจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง
สวัสดีครับ ผม พีระพงค์ อมรพิชญ์ นะครับ
ผมได้ข่าวการเสียชีวิตของนักปั่นระดับโลก ที่เดินทางปั่นจักรยาน 5 ปี ใน 5 ทวีป โดยปลอดภัย แต่กลับมาเสียชีวิตบนท้องถนนเมืองไทย เพราะความประมาทของคนไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุมากเป็นอันดับ 2 ของโลก แล้วรู้สึกอายแทนคนไทย และ สงสารลูกและเมียของเขายิ่งนัก
เมื่อคืนผมเห็นข่าว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมมอบเงิน 3แสนบาท ให้ภรรยานักปั่นจักรยาน 5 ทวีป แล้วรู้สึกว่า มันจะไปพออะไรกับการเลี้ยงดูบุตรของผู้เสียชีวิต ที่มีค่าครองชีพและค่าเล่าเรียนที่สิงค์โปร ซึ่งแพงมาก
ผมจึงอยากเห็นคนไทยระดมเงินกันช่วยเหลือครอบครัวนักปั่นระดับโลกซึ่งเป็นเหยื่อความประมาทของคนไทย
ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ผมจึงโพสต์ว่า “อยากให้มีใครสักคน จัดทำโครงการในการระดมเงินบริจาคของคนไทย เพื่อช่วยเหลือครอบครัวนักปั่นจักรยานระดับโลกที่มาเสียชีวิตในท้องถนนเมืองไทย
ให้เห็นว่าคนไทยแม้นจะประมาท แต่ก็มีความรับผิดชอบเชิงสังคม คือ สังคมได้ช่วยกันระดมเงินเพื่อเยียวยาครอบครัวเหยื่อ จากความประมาทของคนไทยครับ
ซึ่งถ้าทำสำเร็จ ก็จะส่งสารไปคนทั่วโลก ว่าแม้นคนไทยจะมีความประมาทสูง แต่ก็มีความรับผิดชอบและน้ำใจ ต่อเพื่อนชาวต่างประเทศครับ”
ตอนเช้ามืดผมตื่นขึ้นมา พร้อมกับความคิดเรื่องการเปิดบัญชีระดมทุน เข้ามาอีกครั้ง ผมได้ปล่อยความคิดให้แล่นไป “ถ้าผมเปิดบัญชีขึ้นมาเองล่ะ”
ถ้ามีคนโอนเข้ามา แล้วมันจะโปร่งใสได้อย่างไร ว่าผมไม่ได้ยักยอกเงิน ซึ่งผมก็คิดว่าวิธีแก้คือการถ่ายรูป สมุดบัญชีธนาคารที่ถูก update รายการเงินเข้า มาให้เห็น และ ปิดบัญชีเพื่อไม่ให้คนที่โอนมาหลังจากปิดโครงการแล้วโอนเข้ามาอีก ทำให้มีเงินคงค้างหรือเกินในบัญชี แต่กระนั้นก็ตามมันก็ไม่โปร่งใส 100% และ ใครจะเชื่อถือ
ผมก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นเชิญบุคคลที่ 3 ที่น่าเชื่อถือ มาเป็นคนเซ็นร่วมในการถอนเงิน โดยเขียนเงื่อนไนการถอนเงินว่า ต้องเซ็นร่วมกัน 2 คน
ผมก็เลยคิดว่างั้นเชิญใครดีล่ะ แว่บขึ้นมาก็คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จังหวัดที่ผมอยู่ในปัจจุบัน และ ผมไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว
ผมคิดไปอีกว่างั้น 3 คนไปเลยดีมั้ย เชิญผู้บังการทหารบกเชียงรายด้วย ซึ่งทำให้มั่นใจได้อีกชั้น 3 คนคงเตี๊ยมกันไม่ได้ง่าย
ผมคิดต่อว่า แล้วท่านทั้งสองจะมาร่วมมั้ย อะไรต่างๆ นานาๆ แล้วก็ลงไปอาบน้ำ แล้วคิดต่อขณะอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว ซึ่งได้ข้อสรุปดังนี้
ผมจะโพสต์ลง facebook แจ้งความประสงค์ ต่อชาว Social Media ว่า
ผมจะตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือฯ ขึ้นมา โดยจะมีการถอนครั้งเดียวเพื่อปิดบัญชี โดยมีผมและผู้มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถืออีก 2 ท่านเซ็นร่วมกัน เพื่อเป็นพยานและแสดงความโปร่งใส
นอกจากผู้ว่าเชียงราย, ผู้บังการทหารบกเชียงรายแล้ว ผมก็คิดว่าน่าจะเชิญบุคคลท่านอื่นๆ เพื่อแสดงถึงจุดยืนว่าเห็นด้วยและเห็นความสำคัญกับ การแสดงน้ำใจของชาวไทยในเรื่องนี้ และเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวไทย โดยผมคิดถึงท่านเหล่านี้คือ อธิการบดี ม.แม่ฟ้าหลวง รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ คือ ผมได้เรียน ป.โท ที่นี่และอยากให้ มหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงรายของผม มีชื่อร่วมในการทำความดีครั้งนี้ด้วย
ผมคิดถึง อ.เฉลิมชัย, ท่าน ว.วชิรเมธี, ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ปลัดและรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่าอยากให้ท่านมาเป็นสักขีพยานในวันนั้นด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่า “เรา” ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และ ต้องการส่งสัญญาณ สื่อไปให้คนไทยทั้งประเทศตระหนักว่า ณ จุดนี้ เวลานี้ มันไม่ไหวแล้วน่ะ ความเสียหายจากความประมาทของคนไทยมันมากเหลือเกิน เราต้องเริ่มมีทัศนะคติใหม่ ช่วยกันหยุดยั้งความประมาท และ แสดงให้โลกเห็นว่าคนไทยมีน้ำใจในการเยียวยาเพื่อนชาวต่างชาติ ที่มาเสียชีวิตจากความประมาทของเพื่อนร่วมชาติและเพื่อกู้คืนภาพพจน์ของคนไทยในสายตาชาวต่างชาติ
ผมคิดต่อไปว่า แล้วคนเขาจะโจมตีว่าผมอยากดังมั้ย แล้วผมจะทำอย่างไรดี
ผมก็คิดต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นก็เขียนไปว่า “ถ้าท่านใจกว้าง คิดว่าเรื่องที่ผมทำเป็นเรื่องที่ดี ก็ช่วย กด like และ share แต่ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ใจแคบคิดแต่ในแง่ร้ายว่าผมอยากดังโดยมองข้ามผลของความดีที่ลูกและภรรยาของชาวต่างประเทศที่เป็นเหยื่อของความประมาทจะได้รับ ก็ไม่ต้อง like ไม่ต้องแชร์”
ผมคิดต่อไปถึงเรื่องจำนวนเงินว่ามันจะเข้ามามากน้อยแค่ไหนน่ะ จะมีการเขียนเป้าหมายไปดีมั้ยว่าต้องการเท่าไหร่ หรือจะถ่อมเป้าหมายไม่ระบุดี สองวิธีนี้อันไหนจะดีกว่ากัน และ ถ้ามันได้มาก เงินที่ช่วยเหลือลูก ภรรยาและครอบครัวเหยื่อชาวต่างชาติควรจะไม่เกินเท่าไหร่ ที่จะไม่มากเกินไป
ผมก็คิดต่อว่า ถ้าบังเอิญเงินที่ได้มันน้อยมาก เพราะคนหมั่นใส้หรือไม่สนใจ ก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นภาพสะท้อนความใจกว้าง, น้ำใจของคนไทย ว่าเป็นอย่างไร
ถ้าเงินมันได้มากล่ะ แต่ล่ะช่วงของจำนวนจะมีผลอย่างไรน่ะ
ผมก็คิดว่า ถ้าได้ 3 ล้านบาท ก็ 1 แสนเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ
ถ้า 10 ล้านบาท ก็ 3 แสนเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ
ถ้า 100 ล้านบาท ก็ 3 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่ง ณ จุดนี้ก็จะเป็นสถิติโลกของการบริจาค ให้ทัดเทียมกับสถิติโลกของนักปั่นระดับโลกชาวต่างชาติที่เป็นเหยื่อ
ซึ่งไม่ว่าจะได้เท่าไหร่ ก็จะมีการออกข่าวไปทั่วโลกอยู่แล้ว แต่ถ้ามันถึง 100 ล้านบาท น่าจะเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และ สร้างความประทับใจของชาวโลกต่อชาวไทย ซึ่งเป็นการ PR หรือ ประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของเมืองไทย ว่าคนไทยมีน้ำใจ ให้ติดไปในใจของชาวโลก (ภาพลักษณ์ของ Brand Thailand)
ผมคิดต่อไปว่า ถ้ามันได้เย่อะขนาดนั้น เป็นร้อยล้านบาท มันจะมากเกินไปมั้ย ที่คนไทยจะจ่ายเพื่อช่วยเหลือครอบครัวชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทย และ น้ำเงินดังกล่าวออกไปนอกประเทศ
ผมก็ตอบใจว่า ถ้างั้น ก็ให้แจ้งภรรยาซึ่งต้องดูแลลูกของนักปั่นระดับโลกที่เสียชีวิต ว่าเงินจำนวนนี้ที่เราให้ไป ให้เป็นสิทธิ์ของคุณในการที่จะนำไปใช้ในสิ่งที่คุณเห็นว่าสมควร (ผมเคยให้บางอย่างแก่แม่ของผม ถ้าจำไม่ผิด อาจจะเป็นไฟฉาย ตอนที่ผมไม่ได้ทำธุรกิจไฟฉาย หรือ ตอนที่ทำใหม่ๆ (จำไม่ได้แล้วครับ) จำได้แต่ความรู้สึกตอนนั้นว่าสิ่งของอันนั้นมันแพงมากในตอนนั้น แล้วผมได้กำชับแม่ผมไปว่า ถ้าผมให้ไปแล้ว แม่อย่าเอาไปถวายพระน่ะ เพราะผมตั้งใจให้แม่เท่านั้น ซึ่งแม่ผมก็ตอบปฎิเสธมาทันทีว่า ถ้างั้นแม่ไม่รับ ถ้าลูกให้แม่ก็ต้องถือว่าสิ่งนี้เป็นของของแม่ เป็นสิทธิ์ของแม่ ที่จะนำไปใช้ตามที่เห็นสมควร ถ้ามีเงื่อนไข แม่ไม่ขอรับ ผมจึงต้องพูดไปใหม่ว่า OK ผมให้แม่ ส่วนแม่จะใช้อย่างไร หรือ ให้ใคร ก็แล้วแต่แม่จะเห็นควร)
กลับมาต่อ... ถ้าจำนวนเงินนั้นมันมาก เช่น 100 ล้านบาท ตอนที่ทำพิธีมอบหรือก่อนพิธีมอบอย่างเป็นทางการ ก็อาจจะได้แจ้งกับภรรยานักปั่นระดับโลกที่เสียชีวิตจากความประมาทของคนไทยว่า เงินจำนวนนี้เป็นน้ำใจของพวกเราชาวไทยที่มอบแด่ครอบครัวคุณ ซึ่งเสียชีวิตจากความประมาทของเพื่อนร่วมชาติของเรา เป็นการลดความรู้สึกผิดในใจเรา และ เป็นความหวังดีที่เราต้องการส่งมอบให้กับคุณ เพื่อให้คุณนำไปเลี้ยงดู ให้การศึกษาแก่บุตรของคุณ จนเขาสำเร็จการศึกษาต่อไป ซึ่งการจะนำไปใช้อย่างไร ก็ให้เป็นสิทธิ์ของคุณแต่ผู้เดียว ในการที่จะใช้จ่ายในสิ่งที่คุณเห็นว่าสมควร หรือ ถ้าคุณจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งกลับมาตั้งเป็นกองทุนในการทำประโยชน์สาธารณะ เพื่อระลึกถึงสามีซึ่งเป็นพ่อของลูกคุณก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเราให้เกียรติคุณในการที่จะมีอิสระในการนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ โดยไม่มีเงื่อนไข
ผมคิดไปต่อว่า แล้วพิธีเซ็นชื่อถอนเงินจะทำที่ไหน ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่ธนาคารในเชียงราย ซึ่งอาจจะเป็นธนาคารกสิกร หรือ ไทยพาณิชย์ โดยเปิดบัญชีเป็นกระแสรายวัน ซี่งเหมาะสำหรับการรับบริจาค เพราะไม่จำกัดจำนวนครั้งที่โอน แต่ถ้าเป็นออมทรัพย์ ถ้ามีการโอนเกินร้อยครั้งโดยสมุดไม่ update จะโอนเพิ่มไม่ได้อีก
ซึ่งในวันที่มีการเซ็นชื่อร่วมกันเพื่อถอนเงินดังกล่าว จะมีเชิญนักข่าว มาเป็นสักขีพยานและประชาสัมพันธ์ ซึ่งไม่ใช่ต้องการดังเพื่อตนเอง แต่เพราะเห็นว่าการกระทำครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดี คนควรจะรับรู้มากๆ
แล้วเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวนักปั่นชาวต่างชาติที่เสียชีวิตจากความประมาทของคนไทย ที่มีคนหรือคณะบุคคลอื่นๆ ได้ช่วยกันระดม เช่นกันล่ะ ผมจะทำการประชาสัมพันธ์ให้กองทุนนี้เป็นกองทุนหลัก โดยให้กองทุนอื่นโอนเงินมาที่นี่มาร่วมกันให้เป็นกองทุนมีขนาดใหญ่ก้อนเดียว ซึ่งจะได้ประสิทธิ์ผลมากกว่าในการประชาสัมพันธ์ แจ้งไปยังชาวโลก ทางช่องข่าวต่างประเทศ โดยจะมีการลงชื่อผู้บริจาคทั้งหมด และ จำนวนเงินที่แต่ล่ะคนโอนเข้ามา
เพิ่มเติมในเรื่องนี้คือ จะมีการทำรายงานสถิติให้เห็นด้วย ว่ามีจำนวนการโอนเข้ามากี่ครั้งเพื่อเก็บเป็น record ให้ติดกินเนสบุคส์ เช่น คนไทยหกสิบกว่าล้านคน มีเงินโอนเข้ามา 5 แสนครั้ง เป็นจำนวนเงินรวมทั้งหมด 100 ล้านบาทเป็นต้น ซึ่งสถิตินี้จะเป็นตัวเลขที่นักข่าวต่างประเทศนำไปเล่นในข่าวด้วยเช่นกัน
*** ผมจะให้ความสำคัญกับจำนวนครั้งของการโอน ที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมของชาวไทย มาเป็นอันดับหนึ่งครับ (ดังนั้นอย่ากังวลเรื่องว่าเงินที่โอนนั้น อาจจะช่วยได้ไม่มากหรือนิดหน่อย) เพื่อจะได้นำตัวเลขนี้ไปแสดงว่าโอ้โห คนไทยมีน้ำใจช่วยกันมากมายครับ
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณครับมากครับที่อ่านยาวมากมาจนจบ และ ขอให้ช่วยกันกด like และ แชร์ด้วยครับ โดยหมายเลขบัญชีธนาคารจะแจ้งให้ทราบทีหลังครับ
หมายเหตุ: ผมโพสตลง Facebook ด้วยครับ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10153102222994609
ขอบคุณครับ
พีระพงค์ อมรพิชญ์